<p>ความเสื่อมของคนเราส่วนหนึ่งเกิดจากการอักเสบ (inflamation) หรือธาตุไฟกำเริบภายในอวัยวะต่างๆ</p>
การอักเสบมีส่วนทำให้อวัยวะต่างๆ เสื่อมเร็วขึ้น เช่น ผนังเส้นเลือดหัวใจที่มีการอักเสบเรื้อรังจะบวม และอุดตันเร็วขึ้น ฯลฯ
ท่านอาจารย์นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ด้านความชรา (anti-aging medicine) แนะนำอาหารต้านธาตุไฟ(การอักเสบ) ในวารสารใกล้หมอ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2550
คำแนะนำในการกินอาหารต้านธาตุไฟ(การอักเสบ)ได้แก่
(1). หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์บก:
ไขมันที่ควรลดได้แก่ ไขมันที่เสริมธาตุไฟได้แก่ ไขมันจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ หมู ฯลฯ และผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันเต็มส่วน
ถ้าดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์นม ควรเปลี่ยนนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นชนิดนมไม่มีไขมัน (nonfat) หรือนมไขมันต่ำ (low fat) นอกจากนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์นมชนิดน้ำตาลต่ำเสมอ โดยเฉพาะโยเกิร์ต
(2). เลือกกินไขมันชนิดดี:
ไขมันที่ควรกินเป็นประจำ เพื่อช่วยต้านธาตุไฟได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (monounsaturated fats) ซึ่งพบมากนน้ำมันมะกอก ถั่ว เมล็ดพืช อะโวคาโด ฯลฯ
อาจารย์ท่านแนะนำให้เลือกน้ำมันพืชที่มีสีเข้มหน่อย เช่น น้ำมันมะกอกชนิดเอกซทราเวอร์จิน (extra virgin) ฯลฯ ไว้ก่อน เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านธาตุไฟได้ดี
(3). กินปลาทะเล:
ควรกินปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ฯลฯ เพื่อให้ได้กรดไขมันชนิดดีมาก (โอเมกา-3)
(4). หลีกเลี่ยงอาหารดัชนีน้ำตาลสูง:
อาหารที่ควรลดได้แก่ อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง (high glycemic index) ซึ่งทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นเร็ว และกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมามาก เช่น ขนมปังขาว พาสต้า ข้าวขาว ขนมหวาน น้ำผลไม้ เครื่องดื่มเติมน้ำตาล ฯลฯ
(5). กินอาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ:
อาหารที่ควรกินเป็นประจำ เพื่อช่วยต้านธาตุไฟคือ อาหารดัชนีน้ำตาลต่ำได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง ฯลฯ เมล็ดพืช ถั่ว ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง ฯลฯ และที่ขาดไม่ได้คือ ผักสด
ข้อควรระวังในการกินเมล็ดพืชคือ เมล็ดพืช เช่น ฟักทอง(มีธาตุสังกะสีสูง) ทานตะวัน ฯลฯ มีน้ำมันปนอยู่ค่อนข้างมาก จึงไม่ควรกินเกินวันละ 1 ฝ่ามือ และไม่ควรกินติดต่อกันทุกวัน
ควรระวังนมถั่วเหลืองที่ผสมเนยเทียมหรือครีมเทียม(คอฟฟีเมต) เนื่องจากมีไขมันแปรรูป หรือไขมันทรานส์ ซึ่งทำให้โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลง และโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) เพิ่มขึ้น
(6). กินผักสดผลไม้สด:
ผักใบเขียวสด เช่น คะน้า บรอคโคลี ฯลฯ และผลไม้สด เพื่อลดธาตุไฟ
ควรกินมะเขือเทศหรือผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ เสริม เนื่องจากมีสารไลโคพีนที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก และมีธาตุสังกะสีสูง
(7). ลดน้ำผลไม้:
น้ำผลไม้มีดัชนีน้ำตาลสูงกว่าผลไม้ทั้งผล เนื่องจากย่อยได้เร็วกว่า จึงควรกินผลไม้ทั้งผลแทน ซึ่งให้ผลดีกับสุขภาพมากกว่า และช่วยต้านโรคอ้วน โรคอ้วนลงพุงได้ดีกว่า
(8). หลีกเลี่ยงไข่แดงและเครื่องในสัตว์:
เครื่องในสัตว์และไข่แดงมีกรดอะแรกคิโดนิค (arachidonic acid) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของสารอักเสบไซโทคายน์ค่อนข้างสูง ถ้ากินมากเกินอาจทำให้ธาตุไฟกำเริบได้ถ้ากินมากเกิน
พวกเราควรหลีกเลี่ยงการกินเครื่องในสัตว์ เนื่องจากมีไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลสูง ส่วนไข่แดงควรถือหลัก “พอประมาณ” ไว้ก่อน คือ ไม่ควรเกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ (ไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอล)
(9). ใส่ใจสุขภาพช่องปาก:
ควรตรวจช่องปากกับทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาโรคเหงือก โรคฟัน ซึ่งอาจมีการอักเสบเรื้อรัง เช่น ฟันผุ ปริทนต์อักเสบ(เนื้อเยื่อรอบโคนฟัน) ฯลฯ
นอกจากนั้นควรเรียนปรึกษาหมอฟัน เพื่อขอคำแนะนำในการแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันให้ถูกวิธี เพื่อป้องกันโรคปริทนต์อักเสบ(เนื้อเยื่อรอบโคนฟัน) ซึ่งอาจปล่อยสารก่อการอักเสบเข้ากระแสเลือด ทำให้ธาตุไฟกำเริบได้คราวละนานๆ
อาจารย์ท่านแนะนำตัวอย่างอาหารดีๆ ไว้ดังต่อไปนี้
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดี ไม่มีธาตุไฟกำเริบ จะได้มีอายุยืนอย่างมีคุณภาพไปนานๆ ครับ
<p>ข่าวประกาศ... </p>
ข่าวประกาศ...
ขอแนะนำ...
แหล่งที่มา:
</span><ul>
</ul></font></span></span></span></span></span></span>
ไม่มีความเห็น