รายงานการวิจัยเรื่อง Wiriyapinit, Mongkolchai. Is Thai culture the right culture for knowledge management? An exploratory case study research. Chulalongkorn Review 2550; 19 (74) : 80 – 90. ระบุลักษณะของวัฒนธรรมไทยไว้ 8 หมวด ผมจึงได้แนวคิดว่าผมจะเอาแต่ละหมวดมาตีความด้วยประสบการณ์ส่วนตัว ว่าทำอย่างไรจะใช้แต่ละลักษณะในทางบวก ให้ส่งเสริมการจัดการความรู้ คือผมจะข้ามคำถามในงานวิจัยของมงคลชัย วิริยพินิต ไป หันไปถามคำถาม how คือหาทางทำให้คุณสมบัติของคนไทย 8 หมวดนี้ กลายเป็นแต้มต่อ ต่อการจัดการความรู้
หมวดแรกคือ สื่อสารทางเดียว (Less interactive communication)
• ในที่สาธารณะ ชอบถามโดยเขียน มากกว่าลุกขึ้นถามด้วยตนเอง
• ชอบเป็นผู้ฟัง
• ไม่ชอบจด
• ไม่ชอบแสดงความเห็นต่อหน้า
• ไม่ชอบโต้แย้ง
• ไม่ต้องการเป็นศูนย์รวมของการอภิปราย
เราคงต้องยอมรับ ว่าข้อความข้างบนเป็นความจริง แต่ผมมองว่าเป็นความจริงที่มีเงื่อนไขหรือมีบริบท คือผมมองว่าคุณสมบัติข้างต้นจะเป็นจริงก็ได้ ไม่เป็นจริงก็ได้ ขึ้นอยู่กับการสร้างบรรยากาศในที่ประชุม หรือภายในองค์กร
นอกจากนั้น ในชีวิตจริง เราไม่ได้เผชิญกับคุณลักษณะของคนทีละด้าน แต่เราเผชิญกับเขาทั้งคน ซึ่งมีทั้งด้านอ่อนและด้านแข็ง ต่อ KM
การสื่อสารของคนไทย และคนตะวันออก มีลักษณะ tacit มากกว่า explicit คือเราจะพูดอ้อมๆ อย่างนิ่มนวลหรือให้ตีความเอาเอง ในขณะที่ของฝรั่งเป็นทางตรงกันข้าม เขาชอบพูดตรงๆ ผมเข้าใจว่าคนไทยจะเล่าเรื่องเก่งกว่าฝรั่ง การเล่าเรื่องมองว่าเป็นการสื่อสารทางเดียวก็ได้ หรือมองว่าเป็นการสื่อสารหลายทาง และสื่อสารโต้ตอบในทันควันก็ได้ เพราะระหว่างที่มีคนหนึ่งเล่าเรื่องนั้น คนที่ “อิน” กับเรื่อง ก็จะทำตาลุกวาวบ้าง พยักหน้าบ้าง จดบันทึกบ้าง การทำตาลุกวาว พยักหน้า จดบันทึก เป็นการสื่อสารตอบในทางชื่นชม ซึ่งเรารู้ว่าจะเป็น reinforcement ให้ผู้เล่า ยิ่งเล่าได้ลึกและมีสีสันยิ่งขึ้น
เมื่อมีประสบการณ์ KM ผมลดการอภิปรายโต้แย้งคนอื่นโดยตรง แต่จะใช้วิธีเล่าเรื่องที่ให้มุมมองที่แตกต่างออกไป หรือใช้วิธีเสนอบริบทที่แตกต่างกัน ทำให้สภาพความเป็นจริงเปลี่ยนไปตามบริบท หรือผมอาจเสนอการตีความที่ต่างกัน ดังนั้น นิสัยคนไทยที่ไม่ชอบโต้แย้งโดยตรง จึงอาจมองว่าเป็นคุณต่อการใช้ KM ก็ได้
ผมพบเป็นประจำ ว่าเมื่อใช้วิธีให้เล่าเรื่องความสำเร็จ หรือผลงานที่ภูมิใจ และมีการสร้างบรรยากาศเชิงบวก เชิงชื่นชมยินดี คนที่ตอนแรกบอกว่าไม่มีเรื่องจะเล่า ก็จะมีเรื่องเล่าพรั่งพรู ไม่เอาแต่เป็นผู้ฟัง
เมื่อใช้ KM เป็น คุณภาพของการเป็นผู้ฟังจะเพิ่มขึ้นมากมาย กลายเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจ (deep listening) เมื่อเรามีทักษะนี้แล้ว เราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ฟังไม่เป็น หรือไม่เป็นผู้ฟังที่มีคุณภาพ ไม่เป็นผู้ฟังที่เรียกว่า active listener
เมื่อ 3 ปีมาแล้ว ผมพยายามแนะนำให้นักเรียนโรงเรียนชาวนาสุพรรณบุรี (คือชาวบ้านที่ทำนา และมาเรียนวิธีทำนาแบบใหม่ ด้วยกระบวนการ KM) แต่ไม่มีใครจด แต่ในบทเรียนต้องมีการวาดรูปแมลง ต่อมามีคนหนึ่งจดด้วย วาดรูปด้วย “คุณอำนวย” ของโรงเรียน เอามาชม ถ่ายภาพสิ่งที่จดเอาทำ powerpoint ฉายเสนอต่อที่ประชุม และมีคนชื่นชมนักจดท่านนี้มาก แม้จะลายมือโย้เย้ และสะกดการันต์ผิดๆ ถูกๆ ก็ไม่มีใครถือ จึงเกิด “โรคระบาด” ของการจดบันทึกในกลุ่มนักเรียนโรงเรียนชาวนา เวลานี้ชาวนากลุ่มนี้ไปที่ไหนต้องมีสมุดบันทึกและปากกาไปจดแทบทุกคน
วิจารณ์ พานิช
26 ก.ค. 50
ไม่มีความเห็น