วุ่นรักนักดนตรี..คอนเสิร์ตนี้ไม่มีเสียว (1)/ต่อพงษ์


ถ้าโหมโรงเป็นหนังที่ทำให้คุณอยากฟังเสียงระนาด Swing Girl ก็เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คุณอยากฟังแจ๊สยุคบิ๊กแบนด์ ขณะที่ Nodame Cantabile ก็เป็นซีรี่ส์ที่ทำให้คุณอยากเป็นเจ้าของร้านขายเพลงคลาสสิก เพราะคุณจะได้ฟังมันอย่างไม่รู้เบื่อ

       เคยไหมครับที่นั่งดูคอนเสิร์ตของนักร้องไทย จะเป็นฟรีคอนเสิร์ต หรือ จะไม่ฟรีก็แล้วแต่ แล้วเกิดคำถามขึ้นมาขณะที่ดูคนร้องเพลงเหล่านั้นกำลังครวญคราง
       
        คำถามก็คือ ข้อแตกต่างของความเป็นมือสมัครเล่นกับมืออาชีพต่างกันตรงไหน?
       
        สำหรับบรรดานักร้องไทยที่ออกเทปกันเป็นว่าเล่น อาจจะบอกว่านักร้องอาชีพก็คือ นักร้องที่สามารถหาเงินได้จากการขายเทป ขายซีดี หรือ ขายหน้า ขายตา เมื่อสามารถหาเงินได้คุณก็นับว่าเป็นมืออาชีพแล้ว
       
        แต่ถ้าคำถามนี้ไปถามบรรดาตัวละครต่างๆ ในซีรี่ส์ญี่ปุ่นเรื่องเยี่ยมมากๆ ที่ชื่อว่า Nodame Cantabile คำตอบน่าจะอยู่ที่ว่า
       
        "คุณต้องทำให้มัน 'มากกว่า' การเล่นดนตรีเพื่อให้ตัวเองมีความสุข คุณต้องทำมากกว่านั้น คุณต้องฝึกฝนมากกว่านั้น คุณต้องพยายามให้มากกว่านั้น และเพื่อให้กลายเป็นมืออาชีพ คุณจะต้อง 'ชน' กับดนตรีตรงๆไม่มีการประนีประนอมเพื่อให้ได้มา"
       
        และสุดท้ายก็คือ คุณต้องจริงใจกับดนตรีกันหน่อย!!

       
        ผมเองชีวิตนี้ดูหนังมาเยอะมากๆ ในจำนวนเหล่านั้นเป็นหนังที่เกี่ยวกับประวัตินักดนตรีก็เยอะ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับดนตรีคลาสสิก แต่เชื่อหรือไม่ว่า ละครชุดจากญี่ปุ่นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เมื่อดูจบทุกตอนแล้ว มันจะทำให้คุณวิ่งไปหาแผ่นเพลงซีดีคลาสสิกมานั่งฟังกันไปทุกคราว
       
        ถ้าโหมโรงเป็นหนังที่ทำให้คุณอยากฟังเสียงระนาด Swing Girl ก็เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คุณอยากฟังแจ๊สยุคบิ๊กแบนด์ ขณะที่ Nodame Cantabile ก็เป็นซีรี่ส์ที่ทำให้คุณอยากเป็นเจ้าของร้านขายเพลงคลาสสิก เพราะคุณจะได้ฟังมันอย่างไม่รู้เบื่อ
       
        ไม่เจอมานานแล้วครับที่หนังสามารถเลือกเพลงคลาสสิกมาได้เข้ากับเรื่อง...และที่สำคัญหนังแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งเสียงเพลงที่สร้างปราฏิหาริย์ให้แก่ตัวละครในเรื่องได้นับครั้งไม่ถ้วน
       
        เมื่อผมดูจบชุดแล้วก็เกิดความฝันว่า หนังชุดเรื่องนี้มันจะไปผ่านตาผู้บริหารโทรทัศน์สักช่อง แล้วมันจะดลใจให้เขาเหล่านั้นซื้อมันมาฉายให้คนไทยดูกันมากๆ กว่านี้ จะเป็นกุศลต่อตัวเองและต่อลูกหลานคนไทยอีกมาก
       
        พูดก็พูดนะครับ ซีรี่ส์ญี่ปุ่นนั้นกลับไม่เป็นที่รู้จักในเมืองไทยเท่าไหร่นัก ต่างไปจากซีรี่ส์เกาหลีซึ่งฮิตกันเหลือเกิน ส่วนตัวผมชอบซีรี่ส์ญี่ปุ่นและมีข้อสังเกตเอาไว้ว่า เนื้อหาส่วนใหญ่ของซีรี่ส์เหล่านี้แม้จะเบาสมองบ้าง ฮาบ้าง ไปตามวิธีการนำเสนอ แต่แก่นของเรื่องที่แท้จริงที่เคียงคู่ไปกับเรื่องของความรัก กลับเป็นเรื่องของการต่อสู้ในหน้าที่การงานเป็นหลัก ความรักกลับเป็นเพียงแค่ผงชูรสเท่านั้น มิใช่เมนูหลักของซีรี่ส์เหล่านี้เลย
       
        เชื่อหรือไม่ครับบรรดาซีรี่ส์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น Attention Please (เรื่องของการฝึกฝนตนให้เป็นแอร์โฮสเตจ) My Ex-Boy Friend (เรื่องของการสู้เพื่อกระตุ้นยอดขายพนักงานห้างสรรพสินค้า) Good Luck (กว่าจะมาเป็นนักบิน) Engine (เรื่องของนักแข่งรถ) Pride (เรื่องของนักฮอคกี้) Sapuri (เรื่องของสาวนักโฆษณาที่ฝันจะขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท) Hero (เรื่องของอัยการ) Top Caster (เรื่องของนักข่าว) Aoi Nurse (เรื่องของพยาบาลสาวที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง) Beautiful Life (เรื่องของช่างตัดผมกับบรรณารักษ์ขาพิการ) ฯลฯ
       
        เรื่องทั้งหมดนี้แสดงภาพพระเอกกับนางเอกจูบกันน้อยมาก จับมือถือแขนก็น้อยมาก ฉากที่จะไปเดินไร้สาระช็อปปิ้งกันแทบไม่มี ฉากที่พระเอกกับนางเอกจะมีเวลาว่างมาไล่จีบกันหรือต่อล้อต่อเถียงกันก็ไม่มี ไม่มีนังตัวร้ายประเภทไม่รู้มึงจะกรี๊ดให้หูแตกอะไรนักหนา ไม่มีฉากที่นังตัวร้ายพยายามใช้เซ็กส์ไปล่อให้พระเอกมาติดกับ ไม่มีฉากที่พระเอกจะต้องหึงและงอนอย่างไรเหตุผล ไม่มีฉากประเภทที่นางเอกปากกล้าท้าทายพระเอกขณะที่เมาจนกระทั่งโดนข่มขืน(ในสภาพที่ตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้) ไม่มีฉากที่นางเอกต้องจำยอมรับรักพระเอก เพียงเพราะ ดันมีไอ้ตัวมารหัวขนมาโผล่ในท้อง ไม่มีคนใช้ประเภทสาระแน และไม่มีคุณหญิงแม่ที่นั่งเชิดเสียจนน่าตบกระโหลก!!
       
        คือความไร้สาระและการขายฝันที่อยู่ในขนบธรรมเนียมและประเพณีของละครไทยนั้น มันไม่ไปปรากฏอยู่ในซีรี่ส์ญี่ปุ่นเหล่านี้เลย

       แต่ก็แปลกอีกเหมือนกันที่เนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องงานเป็นหลักนั้นกลับตรึงให้เราติดหนับกับการไล่ชมกันชั่วโมงต่อชั่วโมงได้อย่างไม่เบื่อ รู้สึกว่าดูแล้วได้ความรู้ รู้สึกว่ารู้แล้วไม่เสียดายเวลา และมีคุณค่าพอที่จะนั่งดูมัน และเมื่อไปไล่เช็กดูเรตติ้งของละครเหล่านี้ ปรากฏว่าก็ฮิตกันทั้งสิ้น
       
        ดูแล้วก็ฝันนะครับว่า เมื่อไหร่ละครไทยจะเลิกขนบธรรมเนียมเก่าๆ ที่เคยปฏิบัติอย่างต่ำก็ 30 ปีนี้แล้วนำพาคนดูไปสู่ยุคใหม่กันบ้าง เพราะในความจริงแล้วละครทีวีก็สามารถที่จะทำให้คนฉลาดขึ้นได้ และประเทศที่เจริญแล้วหลายประเทศเขาก็ผลิตซีรี่ส์ที่ดูแล้วฉลาดๆ ออกมาให้คนดูได้เสพกัน ญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องพูดเพราะเยอะเหลือเกิน อเมริกาก็มีละครไพรม์ไทม์อย่าง C.S.I, House, ER,West Wing, The Practice และอีกมาก
       
        แต่ของไทยกี่ปีกี่ชาติก็ยังอุดมไปด้วยความด้อยปัญญาเช่นเดิม
       
        คำถามคือทำไมคนทำละครบ้านเรา คนคุมทีวีบ้านเรา และนายทุนในบ้านเราถึงยินดีที่จะเห็นคนไทยซึมซับความเขลาเบาปัญญาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
       
        ใครก็ได้ช่วยตอบหน่อยครับว่าทำไม ?
        ..........
        Nodame Cantabile เป็นละครที่พัฒนามาจากการ์ตูนของ Tomoko Ninomiya เป็นเรื่องราวของนักเรียนดนตรีสองคนที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาอยู่หอพักห้องติดกัน ขณะที่พระเอกเป็นพวกเพอร์เฟ็กต์ชั่นนิสม์ เนี้ยบ และคิดๆๆๆๆๆๆ ทุกๆ เรื่องเป็นจริงเป็นจังตลอดเวลา แต่นางเอกโนดาเมะของเรากลับเป็นคนสันหลังยาวสุดโคตร บ้าของกิน ไม่เคยคิดอะไรเลยนอกจากความฝันของตัวเองที่อยากเป็นครูสอนโรงเรียนอนุบาล แต่ที่พระเอกและนางเอกมีเหมือนกันคือพรสวรรค์ทางด้านดนตรีที่เปี่ยมล้น

       
        ปมมันอยู่ตรงนี้ว่าพระเอกเองเก่งสุดๆ แต่ก็ไปฝึกฝนและหาประสบการณ์ที่เมืองนอกไม่ได้ เพราะกลัวเครื่องบินและกลัวเรือ นางเอกมีพรสวรรค์แบบเด็กมหัศจรรย์ในตำนานของนักดนตรีโลก นั่นคือ ฟังเล่นครั้งเดียวก็บรรเลงเพลงกันได้เลย แต่เพราะพรสวรรค์แบบนี้นี่เองที่ทำให้เจ้าหล่อนไม่เคยอ่านสกอร์และโน้ตเพลงเลย อาศัยหูฟังล้วนๆ แล้วเล่นออกมา มั่วบ้าง ตรงบ้าง และมีมนต์ขลังเหลือเกิน
       
        พระเอกไม่เคยรักนางเอกมาก่อน ออกจะรังเกียจความสกปรกเสียด้วย แต่ก็ติดใจในมนต์ขลังของเสียงเปียโนที่นางเอกบรรเลง นางเอกกรี๊ดพระเอกแต่ต้นเรื่อง เอ่ยปากว่ารัก และแสดงท่าทีฮาๆ เหมือนเจอของเล่นตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยที่จะทำอะไรเกินเลยไปมากกว่ามาขอข้าวกิน ขออาบน้ำ เพราะไฟในห้องเธอถูกตัด
       
        แต่ความอ่อนของนางเอกกลับทำให้พระเอกที่เป็นพวกเพอร์เฟ็กต์ชั่นนิสต์ได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองขาดไปและสุดท้ายมันทำให้เขาได้ในสิ่งที่หวังไว้นั่นคือ การเป็นคอนดักเตอร์ระดับโลก
       
        เนื้อหาของเรื่องมีแค่นี้ แต่ทว่ารายละเอียดและตัวละครที่มีแต่ความใสซื่อ เนื้อหาที่สะอาดทั้ง 11 ตอน อารมณ์ขันที่ใส่มาเสียหมดแม็ก รวมกับอารมณ์ปิติที่พระเอกและนางเอกเอาชนะอุปสรรคของตัวเองไปทีละขั้น ทีละตอนนั้นทำให้คนดูเอาใจช่วยอย่างไม่รู้ตัว
       
        ดูเรื่องนี้ระวังอย่างเดียวก็คือกรามจะค้างโดยไม่รู้ตัว เพราะหนังมันสนุกจริงๆ ครับ
       
        แต่ที่โดดเด่นและเป็นตัวแสดงที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนี้มิใช่ Juri Ueno สาวน้อยที่เคยแสดงบทเด่นในเรื่อง Swing Girl และก็ไม่ใช่ Hiroshi Tamaki พระเอกของเรื่องที่เป็นไอ้หน้าตายจอมยะโสตลอดทั้งเรื่อง ไม่ใช่ Naoto Takenaka ซึ่งสวมบทเป็นคอนดักเตอร์ระดับโลกซึ่งมาชี้ทางสว่างให้นางเอกและพระเอก แล้วก็ไม่ใช่ Eita Nagayama ผู้สวมบทนักไวโอลินที่อยากเป็นดาราร็อก
       
        พระเอกตัวจริงของเรื่องกลับเป็น ดนตรีคลาสสิกที่ประดังกันเข้ามาทุกๆ ฉาก ทุกอารมณ์ของตัวละคร เรียกว่าเป็นซีรี่ส์เรื่องหนึ่งที่ใช้เพลงคลาสสิกได้อย่างทรงพลังและซาบซึ้งตรึงใจมากที่สุด
       
        เนื้อที่หมดแล้วครับเดี๋ยวคราวหน้าจะมาพูดถึงซีรี่ส์น่าประทับใจเรื่องนี้กันต่อ แต่ก่อนจบขอทิ้งท้ายด้วยเพลงคลาสสิกเพราะๆ 1 เพลงที่ถูกนำมาใช้ในเรื่องนี้ได้อย่างสวยงาม เป็นท่อนหวานของ ไวโอลิน โซนาต้า หมายเลข 5 ที่เรียกชื่อว่า Spring ซึ่งเป็นบทเพลงแห่งฤดูใบไม้ผลิ
       
        ฟังเพลงนี้แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างขณะที่ฝนกำลังตกอยู่จะได้อารมณ์เป็นอย่างยิ่งครับ

 

ที่มา : http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9500000056697

หมายเลขบันทึก: 116118เขียนเมื่อ 1 สิงหาคม 2007 16:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท