สวัสดีค่ะคุณ Conductor
เบิร์ดตามไปอ่านตามลิ้งค์แล้วใจหาย ( ทั้งๆที่ไม่ค่อยเข้าใจศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์เท่าไหร่ ^ ^ ) ...ปัญหามีมากกว่าที่เราทราบและเป็นเหมือนดินพอกเกือบถึงหูหมูเลยนะคะ
เบิณืดชอบที่คูร Conductor พูด เลยยกมาทั้งหมดอีกครั้งเพราะ " โดน " จริงๆค่ะ
ผมคิดว่าที่เมืองไทยแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเราไม่มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง มองไม่เห็นต้นเหตุ ซึ่งถูกการสร้างภาพปิดบังอยู่หมด เรียกว่าไม่กล้าแม้แต่จะมอง พอจะทำอะไรก็มีแต่เงื่อนไข/ข้อแม้/ข้ออ้างทั้งนั้น แต่เรียกอุปสรรคเหล่านี้ว่าเหตุผล แก้อะไรไปก็ไม่โดน
ในเมื่อทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกมาหลายสิบปี ปัญหาก็หมักหมมมาเรื่อยจนซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไขได้ในเร็ววัน ไม่ทันใจขาใหญ่และขาเล็ก -- ผสมกับการเมืองแบบมูมมามอย่างเป็นระบบ และการประเมินผลที่ไม่ให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ระยะยาว ทำให้การแก้ปัญหาไม่มีความต่อเนื่อง ว่ากันตามจริงแล้ว แทบจะเป็นการกลับทิศทาง 180° ทุกครั้งที่เปลี่ยนหัว/เปลี่ยนขั้ว
เราแก้ปัญหาแบบยกข้ออ้างมาปกป้องตัวเราเอง เพื่อบอกว่า " ทำไม่ได้ " " ไม่ควรทำ " หรือ " สมควรอย่างยิ่ง " และ " ต้องทำ " มาโดยตลอด...การพัฒนาต่างๆ เป็นการพัฒนาแบบ " โครงการ " ที่เน้นเงินนำหน้าปัญญาตามหลัง และที่สำคัญกว่านั้นคือไม่ค่อยมีปัญญาสักเท่าไหร่ ทำให้ทุกอย่างเหมือนอยู่ในวงวนที่กินลึกไปเรื่อยๆ
เราไม่ยอมออกจากวังวนที่วนเวียนไม่รู้จบ หรือว่าเราไม่รู้ว่าจะออกไปได้ยังไงกันแน่คะ
เบิร์ดยิ้มกับการประชุมผู้ใหญ่บ้านของมหาดไทย ที่ท่านลุกขึ้นพูดว่าชาวบ้านปัจจุบันไม่ได้ขาดเงิน (เพราะมีให้กู้เยอะแยะ ติดตามเสาไฟ ตามข้างทาง ตามรั้วก็มี อันนี้เบิร์ดเติมเองค่ะ ^ ^ ) แต่ขาดความรู้ ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน โครงการต่างๆที่เอาลงไปในหมู่บ้าน แต่ละฝ่ายก็ต่างคนต่างทำพอหมดเงินก็หายไป มีเงินก็เข้ามาใหม่ แต่ชาวบ้านยังต้องอยู่ อยู่กันไปแบบไม่รู้ว่าจะเดินทางไหนดี...ช่างเป็นวาทกรรมที่ลึกซึ้งเสียนี่กระไรเลยนะคะ
เราขาดความรู้ที่เป็นความรู้จากการปฏิบัติจริงจนเกิดปัญญาใช่มั้ยคะ..เบิร์ดจำไม่ได้ว่าอ่านวาทกรรมของใครแต่จำได้ว่า " ความรู้ที่แท้จริงคือสิ่งที่ยังอยู่หลังจากที่จบจากโรงเรียนแล้ว " เพราะเบิร์ดเป็นอย่างนี้จริงๆค่ะ เรียนมามากมายแต่สิ่งที่จำได้และได้ใช้กลับไม่ใช่สิ่งที่ท่องๆๆๆๆ มาก่อนหน้านี้เลย เป็นการประยุกต์ใช้ในหลายๆวิชาและนอกทฤษฎีก็มี ยิ่งตอนนี้ยิ่งต้องใช้ในสิ่งที่ไม่เคยเรียนมาก่อนต้องมาเรียนรู้เอาจากการคิดแล้วทำ ทำแล้วคิด ทำให้เบิร์ดคิดว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อได้ปฏิบัติจริงนะคะ และความรู้ที่แท้จริงคือสิ่งที่ยังคงอยู่เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว อิ อิ อิ
แล้วธรรมเนียมปฏิบัติที่เปลี่ยนหัวทีก็เปลี่ยนนโยบายที นี่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ และเกิดขึ้นเพราะอะไร...อำนาจทำให้เราไม่อยากเดินตามรอยของใครเหรอคะ หรือว่าเสียเกียรติ ?
ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับบันทึกนี้ที่ทำให้เบิร์ดคิดซะยืดยาวเข้ารกเข้าพงไปหมดเลย ตอนแรกเบิร์ดก็กะจะถามเหมือนพี่ศศินันท์ว่าเจ้าตัวกลม ขนฟูสุดหล่อนี่เป็นตัวที่รุ่งริ่งเพราะไปกัดคนอื่นในบันทึกของคุณ Conductor หรือเปล่า แต่ตอนนี้ได้คำตอบแล้วก็เลยเดินตามเค้ามาเรื่อยๆเพราะหล่อเหลือใจเลยค่ะ ชอบจริงๆ ^ ^