" ชีวิต " และ " ความตาย "


ประชดชีวิต

          " ชีวิต " และ  " ความตาย " เป็นของคู่กัน  เพราะเมื่อใดที่ชีวิตเกิดขึ้นมาแล้ว  ก็ต้องมีความตายรออยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นอน  เรื่อนี้ถึงแม้จะเป้นความจริงแท้แน่นอนอย่างไรก็ตาม  แต่ดูเหมือนคนทั้งหลายในโลกกลับพยายามหลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยง  กระทั่งไม่อยากแม้จะได้ยินได้ฟังหรือยอมรับรู้ว่า  " ตัวเองก็มีวันที่ต้องตายไปเช่นกัน !  

           มีคนจำนวนไม่น้อยเลย  ที่พยายามหากิจกรรมต่าง ๆ มาทำให้ตังเอง  วิ่งวุ่นเข้าไว้  เพื่อจะได้ลืมไปเสียว่า  ตัวเองกำลังมีชีวิตอยู่ 

           หลายคนประชดประชันชีวิตด้วยการกระทำที่บ้าบิ่นเสี่ยงตาย  บ้างก็ใช้ชีวิตให้มันสนุกสุดเหวี่ยง  ชนิดที่เรียกว่าตกขอบไปเลย

           บางพวกก็มอมเมาชีวิตของตนด้วยอบายมุขทุกรูป  ให้ชีวิตในแต่ละวันอยู่ไปอย่างมึน ๆ งง ๆ เลื่อนลอยไร้จุดหมาย

           พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง  ความมืดมนของชีวิต  อันเนื่องมาจากการไม่อาจค้นหา  คำตอบที่ถูกต้องกระจ่างชัดให้แก่ชีวิของตนเอง

หมายเลขบันทึก: 113331เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2007 20:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 19:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ครับ อัตราการฆ่าตัวตาย นั้นมีสูงเกือบเท่ากับอุบัติเหตุ เลยครับ

แต่การฆ่าตัวตายมันเหมือนการหนีหรือหาทางออกที่ผิดๆ เพราะ ส่วนใหญ่ จะเป็นช่วงอายุ18-25 ปี

ช่วงนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวตอ ต้องให้การเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีหน่อย

     ขอบคุณครับ

         ฤทธิณันท์ ศรร.ลำปาง

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความตายเป็นสิ่งที่จริงที่สุด
เราไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน จะเป็นอย่างไรมิอาจบอกได้ แต่ที่แน่ๆต้องตุนความดีไว้เย่อะหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล
ชีวิตคนเราเหลือน้อยเต็มที หากแต่ว่าเราจะทำอะไรกับชีวิตที่เราเหลืออยู่ให้คุณค่าชีวิตนี้มีคุณค่า

สวัสดีครับ ....กลุ่มไตรมิตร ศูนย์ฯดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ครับ......ความจริงที่เราต้องรู้ก่อนคือ หลักของไตรลักษณ์  (ทุกขัง,อนิจจัง,อนัตตา)  ทุกอย่างเป็นทุกข์ ในโลกนี้(ทุกข์น้อยก็มีสุข)  ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง (ยกเว้นความตาย ไม่เปลี่ยนแปลง) ทุกอย่างควบคุมไม่ได้ (ยกเว้นจิตที่ฝึกอบรมดีแล้ว ควบคุมได้)

ต้องรู้ความจริงอีกเรื่อง คือ ๑.ชีวิตมีกรรมเป็นตัวกำหนด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  ๒. มีชีวิตเพราะเรามีวิบากกรรม "อยู่คนเดียวระวังความคิด ..อยู่กับมวลหมู่มิตรระวังคำพูด" ๓.เชื่อเรื่องกรรม ว่าคนเราเมื่อทำอย่างไร ก็จะได้รับผลอย่างนั้น (แม้ไม่ได้รับผลตอนนี้ ก็ต้องได้รับผลในภพชาติหน้า) ๔.เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง

 เมื่อรู้ สอง เรื่องนี้...จะทำตัวประชด ประชันกัน หรือมอมเมาตัวเองทำไมครับ??  เราควรจะยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบานว่า จะเกิดอะไรก็เกิด แต่เราจะทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศล และไม่ทำบาปทั้งปวง ไปเรื่อย ๆ จนสิ้นอายุขัยของเราครับ......

พระบรมศาสดาได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า
"หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ"
"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงให้กิจทั้งปวง ถึงพร้อมด้วยความไม่ประ มาทเถิด"
พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญความไม่ประมาทครับ

ตายแล้วไปไหนหรือครับ ถ้ายังไม่มีคำตอบ แต่ผมรู้คำตอบนี้ชัดเจนครับ ถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ Email: มาถามสิครับ จะตอบให้ง่ายนิดเดียว เพียงแต่คุณต้องทำตามทำนั้นเอง เรื่องนี้ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นครับ Email:,มาเท่าน้นครับ ห้ามโทรมาเด้อ แล้วจะบอกวิธีให้ ฮิฮิ วิญญู กล่ม 5 น่ารักเหมือนเดิมครับ

ผมเพิ่งไปงานศพ คุณป้าผม ท่าน อายุแค่ 98 ปี เอง และได้ถามผู้รู้หลายคนว่าตายแล้วไปไหน ไปอย่างไร ใครหนอเป็นผู้ที่พาไป ไปแล้วจะอยู่ที่ไหน ใครจะดูแล และจะเจอใครบ้าง  คนที่ไปร่วมงานก็ตอบผมว่า ทำไม่ถามคำถามแบบนี้ และไม่มีใครตอบในคำตอบที่ชัดเจนเลย  แบบฟันธง มีแต่คำตอบที่ว่า ใครจะไปรู้ว่า จริงๆแล้วตายแล้วไปไหน มีแต่ความเชื่อเท่านั้น เชื่อว่าอย่างนี่อย่างนั้น  แล้วแต่ใครจะเชื่อ   เพราะยังไม่มีใครเห็น ที่ ที่ เราจะไปกัน มีกแต่การคาดเดา เออ เอวัง ..........

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท