คราวนี้เอาเรื่องเบาๆจากที่เขียนลงใน วารสารสายใยพยา-ธิ ของภาควิชาฯ มาลงบ้าง อ่านเองก็ยังคิดถึงบรรยากาศดีๆแบบนั้นอยู่เลย ในหาดใหญ่เองที่บริเวณภายในมหาวิทยาลัยม.อ.ของเรา ก็ยังถือว่าหาธรรมชาติรอบๆตัวชมได้ไม่ยากนัก แต่ก็ยังบริสุทธิ์สู้ที่เมืองเพิร์ธไม่ได้ อาจจะเพราะเรามีรถรามากมายเกินกว่ากำลังของพื้นที่และอากาศบ้านเราจะรับไหวนั่นเองค่ะธรรมชาติคือส่วนประกอบของชีวิตประจำวัน ในช่วง ปีแรกที่เรียนปริญญาโท จะเป็นการเรียนที่เน้นการอ่าน เขียนและพูดไม่มี lab ทำให้มีเวลาเป็นเรื่องเป็นราว กำหนดได้มากกว่าช่วงหลังๆของการเรียนโท และช่วงที่ทำปริญญาเอกซึ่งเป็นการทำ lab ที่ทำกันเป็นบ้าเป็นหลัง หาเวลาว่างแทบไม่ได้ เป็นช่วงที่เราได้มีโอกาสอยู่เป็นครอบครัวกันมากกว่า ทำให้ได้มีโอกาสเรียนรู้บ้านเมืองของเขา ประกอบกับช่วงแรกๆที่เด็กๆเข้าเรียน กำลังปรับตัว ยังไม่มีเพื่อนมากเท่าไหร่ ดังนั้นเราทั้ง 5 คนจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ทั่วทั้งเมืองเพิร์ธจะมีสวนสาธารณะซึ่งมีสนามเด็กเล่นเป็นส่วนประกอบ เรียกได้ว่าทุกย่าน (เทียบแล้วคงเท่ากับตำบลของเรา) เราจะสามารถแพ็คอาหารใส่ตะกร้า พากันไปปิคนิคกางผ้าปูพื้น หรือเอาไปตั้งบนโต๊ะที่เขาจะมีจัดไว้บริการทุกสวนสาธารณะ ปล่อยเด็กๆไปเล่นเครื่องเล่นกัน เด็กฝรั่งตัวเล็กตัวน้อยมักจะหน้าตาน่ารักอยู่แล้ว ส่วนมากคุณพ่อคุณแม่เขาก็จะเป็นมิตรกับเรา เด็กฝรั่งมักจะชอบคนเอเชีย อาจจะเป็นเพราะหน้าตาผิวพรรณเราแปลกไปจากพ่อแม่พี่น้องของเขาก็ได้ ทำให้เรามักจะได้รอยยิ้มและเสียงพูดคุยจากเด็กๆง่ายมาก แฟลตที่เราพักก็จะอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและใกล้แม่น้ำสวอนซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองเพิร์ธ เราก็จะสามารถเดินไปกินข้าวริมแม่น้ำที่มีวิวสวยงาม มีท่าจอดเรือใบอยู่ข้างๆ เราเคยได้เห็นปลาโลมามาว่ายเล่นกันด้วย แต่เขาจะไม่เข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ มีนกเพลลิแกน นกนางนวล และนกอื่นๆอีกหลายชนิด บินไปบินมา ดูๆไปแล้วเหมือนว่าเราอยู่ในสวนนกขนาดใหญ่ เป็นธรรมชาติที่สวยงามน่าอยู่มาก ขนาดเราตั้งกล้องถ่ายรูปเอาไว้จะถ่ายรูปหมู่พวกเราเอง ก็ยังอุตส่าห์มีนกมาเดินตัดหน้ากล้องได้นี่แหละ คิดดูแล้วกันค่ะว่า เขาเป็นมิตรกับคนขนาดไหน ยังจำได้ติดตาถึงภาพที่เห็นตอนนั่งรถเมล์อยู่ในเมืองเพิร์ธ ช่วงเที่ยง ได้เห็นคนที่ออกมานั่งนอนพักผ่อนอ่านหนังสือ ผึ่งแดด (คนที่นั่น ชอบแดดมาก ใส่สูทผูกไท้ค์ก็ออกมานั่งนอนสนามหญ้าในยามพักเที่ยง) มีนกนางนวลมาเดินวนๆ อยู่รอบตัว มหัศจรรย์มากๆเลยค่ะ
ธรรมชาติคือส่วนประกอบของชีวิตประจำวัน ในช่วง ปีแรกที่เรียนปริญญาโท จะเป็นการเรียนที่เน้นการอ่าน เขียนและพูดไม่มี lab ทำให้มีเวลาเป็นเรื่องเป็นราว กำหนดได้มากกว่าช่วงหลังๆของการเรียนโท และช่วงที่ทำปริญญาเอกซึ่งเป็นการทำ lab ที่ทำกันเป็นบ้าเป็นหลัง หาเวลาว่างแทบไม่ได้ เป็นช่วงที่เราได้มีโอกาสอยู่เป็นครอบครัวกันมากกว่า ทำให้ได้มีโอกาสเรียนรู้บ้านเมืองของเขา ประกอบกับช่วงแรกๆที่เด็กๆเข้าเรียน กำลังปรับตัว ยังไม่มีเพื่อนมากเท่าไหร่ ดังนั้นเราทั้ง 5 คนจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ทั่วทั้งเมืองเพิร์ธจะมีสวนสาธารณะซึ่งมีสนามเด็กเล่นเป็นส่วนประกอบ เรียกได้ว่าทุกย่าน (เทียบแล้วคงเท่ากับตำบลของเรา) เราจะสามารถแพ็คอาหารใส่ตะกร้า พากันไปปิคนิคกางผ้าปูพื้น หรือเอาไปตั้งบนโต๊ะที่เขาจะมีจัดไว้บริการทุกสวนสาธารณะ ปล่อยเด็กๆไปเล่นเครื่องเล่นกัน เด็กฝรั่งตัวเล็กตัวน้อยมักจะหน้าตาน่ารักอยู่แล้ว ส่วนมากคุณพ่อคุณแม่เขาก็จะเป็นมิตรกับเรา เด็กฝรั่งมักจะชอบคนเอเชีย อาจจะเป็นเพราะหน้าตาผิวพรรณเราแปลกไปจากพ่อแม่พี่น้องของเขาก็ได้ ทำให้เรามักจะได้รอยยิ้มและเสียงพูดคุยจากเด็กๆง่ายมาก แฟลตที่เราพักก็จะอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและใกล้แม่น้ำสวอนซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองเพิร์ธ
เราก็จะสามารถเดินไปกินข้าวริมแม่น้ำที่มีวิวสวยงาม มีท่าจอดเรือใบอยู่ข้างๆ เราเคยได้เห็นปลาโลมามาว่ายเล่นกันด้วย แต่เขาจะไม่เข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ มีนกเพลลิแกน นกนางนวล และนกอื่นๆอีกหลายชนิด บินไปบินมา ดูๆไปแล้วเหมือนว่าเราอยู่ในสวนนกขนาดใหญ่ เป็นธรรมชาติที่สวยงามน่าอยู่มาก ขนาดเราตั้งกล้องถ่ายรูปเอาไว้จะถ่ายรูปหมู่พวกเราเอง ก็ยังอุตส่าห์มีนกมาเดินตัดหน้ากล้องได้นี่แหละ คิดดูแล้วกันค่ะว่า เขาเป็นมิตรกับคนขนาดไหน ยังจำได้ติดตาถึงภาพที่เห็นตอนนั่งรถเมล์อยู่ในเมืองเพิร์ธ ช่วงเที่ยง ได้เห็นคนที่ออกมานั่งนอนพักผ่อนอ่านหนังสือ ผึ่งแดด (คนที่นั่น ชอบแดดมาก ใส่สูทผูกไท้ค์ก็ออกมานั่งนอนสนามหญ้าในยามพักเที่ยง) มีนกนางนวลมาเดินวนๆ อยู่รอบตัว มหัศจรรย์มากๆเลยค่ะ
คิดถึง Perth ผมกำลังเก็บตังค์ว่าจะไปเยี่ยม Perth พร้อมๆ กับครอบครัวในงานรับปริญญาในเดือนกันยายนครับ
รักและคิดถึงพี่โอ๋ พี่เล็ก น้อง Once น้อง Nen และน้อง Phoong ครับ