ความเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย


ที่จับตามองมากๆ ของนักธุรกิจทั่วโลกในตลาดอินเดียในขณะนี้ก็คือ ประชากรจำนวนมหาศาลน้องๆ ประเทศจีนทีเดียว ทั้งยังมีลูกค้าที่เป็นชนชั้นกลางซึ่งเป็นกำลังซื้อสำคัญอยู่มาก ถึงประมาณกว่า 200ล้านคน ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสทางการตลาดอันมหาศาล ถึงแม้ว่าชาวอินเดียจะเคยได้รับคำวิจารณ์ว่า รายได้ต่อหัวยังต่ำ มีความอนุรักษ์นิยมสูง และไม่ค่อยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคหรือดำรงชีวิตเท่าใดนักแต่ปัจจุบัน อินเดียเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นค่ะ โดยรายได้ต่อหัวพุ่งสูงขึ้นมาก จากการที่ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของจีดีพีมากถึง 8% รวมถึงทางด้านโครงสร้างประชากรศาสตร์ที่ มีสัดส่วนของประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นสัดส่วนถึง 1ใน5 ของประชากรที่มีอายุดังกล่าวของทั้งโลกซึ่งสะท้อนถึงอนาคตอันสดใสของตลาดอินเดียนั่นเอง นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อพฤติกรรมของประชากรที่มีแนวโน้มเปิดรับมากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้นต่อการบริโภคด้วยนั่นเอง
 ดังนั้น การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแนวคิดและพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มนี้ จะช่วยให้เราไม่ตกเทรนด์หากต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดที่มีศักยภาพสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยได้มีการวิจัยและติดตามการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าอินเดียในช่วงปี 1996 ถึง 2006 ได้ข้อมูลหลักๆที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้ค่ะประเด็นแรก คือ ชาวอินเดียกำลังเข้าสู่ยุควัตถุนิยม โดยจากวิถีในการดำรงชีวิตเดิมที่ชาวอินเดียนั้นเคร่งครัดในความเชื่อทางด้านศาสนามาก และไม่ใส่ใจเรื่องของคุณค่าทางวัตถุ เริ่มที่จะเป็นอดีตเสียแล้ว โดยจากงานวิจัยปรากฏว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของชาวอินเดียในเมือง ได้ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตนเองเป็น ผู้ที่ทำงานหนักและต้องการความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจโดยชาวอินเดียยุคใหม่ มีความกระตือรือร้นและทะเยอทะยานต่อความสำเร็จในการทำงานสูงมาก สังเกตได้จากการใช้เวลาในที่ทำงานมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว โดยมีระยะเวลาการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ถึง 50 ชั่วโมง เรียกว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ทำงานหนักที่สุดในโลกทีเดียว เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ทำงาน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และชาวยุโรปตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ซึ่งทำงานเพียงน้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยประเด็นนี้ ทำให้เห็นได้ชัดว่า เมื่อทำงานหนัก เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางด้านวัตถุของตน ดังนั้นความมั่งคั่งที่ได้จากการทำงานดังกล่าว ก็จะกลายมาเป็นการใช้จ่ายเพื่อความสุขความสบายของตนมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีโอกาสในการขยายตัวสูงมากขึ้นนั่นเอง ตลาดอินเดียจึงมีแนวโน้มของความเย้ายวนใจมากขึ้นประเด็นถัดมา คือ การบริโภคนิยมกำลังกลายเป็นวิถีชีวิตหลักของชาวอินเดียแล้ว ซึ่งจากสถิติที่รวบรวมมาแม้ว่าชาวอินเดียจะมีรายได้สูงขึ้นมาก แต่อัตราการเก็บออมเงินกลับน้อยกว่าการบริโภคอยู่มาก ซึ่งแม้ว่าการวางแผนเพื่อความมั่นคงในระยะยาว จะยังเป็นสิ่งที่คำนึงถึงกันมาก แต่การบริโภคเฉพาะหน้าก็มีความสำคัญไม่แพ้กันค่ะโดยชาวอินเดียตอนนี้ มีสัดส่วนการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคจากรายได้ทั้งหมดสูงขึ้น ซึ่งรายจ่ายที่พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ รายจ่ายเพื่อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าถาวรต่างๆ รวมถึง เพื่อการท่องเที่ยวและความบันเทิงหลากรูปแบบก็ได้รับความสนใจไม่น้อยกว่ากัน
 และสิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ แนวโน้มดังกล่าว ไม่ใช่เป็นเพียงแนวโน้มของคนรุ่นใหม่อายุน้อยเท่านั้น แต่ในประชากรที่มีอายุระหว่าง 15-55 ปี ก็มีแนวโน้มดังกล่าวชัดเจนอย่างมากอีกด้วย รวมถึงผู้คนที่อยู่อาศัยตามหัวเมืองหรือเมืองเล็กๆ ก็เริ่มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นลักษณะดังกล่าวเช่นกันค่ะ
 อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อควรระวังเช่นกันค่ะ เนื่องจากถึงแม้ว่าชาวอินเดียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงแต่ก็ยังนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว โดยมากกว่า 30% ของชาวอินเดียยังมีรายได้น้อยกว่า 1 ดอลล่าร์ต่อวัน ซึ่งในระยะสั้น ยังถือว่ามีความเสี่ยงในด้านของขนาดและการแย่งชิงส่วนตลาดมากพอควรโดยสินค้าที่มีความนิยมสูงสุดในช่วงที่ผ่านมา คือ สินค้าจำพวกไฮเทคหรูหรา อาทิเช่น โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ซึ่งจำนวนของชาวอินเดียที่มีโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นถึง 1,600 % โดยมีผู้ใช้เข้าสู่ระบบมากมายถึง 3 ล้านคนต่อเดือน รวมถึงจำนวนผู้ที่ครอบครองคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 100 % ทีเดียว นอกจากนี้ก็คือสินค้าจำพวกโทรทัศน์ เครื่องเสียง ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากนอกจากนี้ สิ่งที่ค้นพบจากการวิจัยที่กระตุ้นต่อมความสนใจของนักการตลาดอย่างมากๆ ก็คือ ส่วนใหญ่ของลูกค้าดังกล่าว เป็นลูกค้าแบบ First-time customers นั่นคือ เพิ่งเข้ามาซื้อหาสินค้าเป็นครั้งแรกๆนั่นเอง ซึ่งเป็นดัชนีที่บ่งบอกอย่างดีว่าตลาดกำลังมีศักยภาพในการขยายตัวสูงมากๆ นับเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการจะขยายตลาดในอินเดียค่ะ
 ประเด็นสุดท้าย ซึ่งน่าสนใจมากคือ ชาวอินเดียซึ่งเมื่อก่อนเคยมีความนิยมชมชื่นสินค้าจากต่างประเทศมาก ในขณะนี้แนวโน้มดังกล่าวเริ่มลดน้อยลงมาก สินค้าที่พะยี่ห้อว่า Made in India ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้มากขึ้น โดยในปี2006 ชาวอินเดียถึง 56% เริ่มมีความเชื่อมั่นในสินค้าของตน เพิ่มจาก 34% ในปี 1996 ค่ะ เนื่องจากมีความเชื่อมากขึ้นว่าสินค้าที่ผลิตมาจากภายในประเทศนั้น น่าจะเข้าใจและตอบสนองความต้องการของตนได้ดีกว่าสินค้าจากต่างชาติซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนจาก 20 แบรนด์ยอดนิยมของชาวอินเดีย มีแบรนด์ท้องถิ่นติดโผถึง 8 แบรนด์ เช่นTata และมีเพียง 5 แบรนด์เท่านั้นที่เป็นแบรนด์ใหม่จากต่างชาติ ซึ่งที่ประสบความสำเร็จก็เพราะได้มีการปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับรูปแบบการดำรงชีวิตของชาวอินเดียอย่างชัดเจนนั่นเอง เช่น โนเกีย ซัมซุง ฮัทช์ ฯลฯ โดยโทรศัพท์ของโนเกียมีไฟแฟลชซึ่งสามารถใช้ส่องสว่างในไฮเวย์ที่ค่อนข้างมืดของอินเดีย เป็นต้น ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมาก ส่วนแบรนด์ที่เหลือก็เป็นแบรนด์ต่างชาติที่เข้ามาครอบครองตลาดยาวนานแล้วนั่นเอง แต่ก็มักเป็นธุรกิจที่เข้ามาร่วมทุนกับชาวอินเดียและผ่านการ “Indianizing” มาแล้วเรียบร้อยเช่นกัน
 นอกจากนี้ ตลาดผู้หญิงของอินเดียก็กำลังเปิดกว้างขึ้นค่ะ เนื่องจาก 83% ของครอบครัวชาวอินเดียอนุญาต ให้ผู้หญิงทำงานนอกบ้านได้ ส่วน 74% ก็ยินยอมให้สตรีชาวอินเดียชะลอการแต่งงานออกไป ทำให้สตรีวัยทำงานมีบทบาทธุรกิจมากขึ้น
 นักธุรกิจชาวไทยควรที่จะพิจารณา อินเดียเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ไม่แพ้จีนทีเดียว โดยเฉพาะ ขณะนี้อยู่ในขาขึ้นที่กำลังมีการขยายตัวสูง น่าจะเป็นโอกาสของธุรกิจบ้านเราที่จะเติบโตขยายเครือข่ายทางการตลาดเข้าไปในอินเดีย โดยเฉพาะหากทำความเข้าใจในทัศนคติของลูกค้าชาวอินเดียเป็นอย่างดีแล้ว น่าจะนำสู่ความสำเร็จได้ในที่สุดค่ะ


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท