อริยมรรคทั้งสามนี้ เป็นส่วนของศีลหรือวินัย คำว่าศีลและวินัยนี้ จะกล่าวว่าเป็นสิ่งเดียวกันก็ถูก หรือจะแยกให้มองเป็นคนละอย่างก็ได้ คือ วินัย เป็นกฎระเบียบหรือกรอบบังคับที่ตราขึ้นมาสำหรับฝึกหัด มีบทบัญญัติลงโทษเมื่อปฏิบัติผิด แต่หากปฏิบัติจนเป็นปกติแล้วจัดเป็นศีล
วินัยนั้น กล่าวโดยหลักปฏิบัติสำหรับบุคคลแบ่งเป็นสองอย่างคือ วินัยส่วนตัวที่แต่ละคนบัญญัติขึ้นเพื่อฝึกหัดตนเอง และวินัยส่วนรวม ซึ่งแบ่งเป็นสองอย่าง คือ วินัยของคฤหัสถ์เช่นศีลห้าเป็นต้น หรือวินัยต่างๆเช่นวินัยของทหาร ตำรวจเป็นต้น และวินัยของนักบวชเป็นต้น
เมื่อมีความดำริหรือมุ่งหมายถูกต้องแล้ว ประการต่อมาจึงต้องสร้างวินัยสำหรับการแสวงหาคือ
วาจาชอบ ได้แก่ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ เจตนาเครื่องงดเว้นจากการพูดส่อเสียด เจตนาเครื่องงดเว้นจากการพูดคำหยาบ เจตนา เครื่องงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
การงานชอบ คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์,เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว,เจตนาเป็นเครื่องงดเวจากการประพฤติที่ไม่ประเสริฐ
เลี้ยงชีวิตชอบ คือ ละการเลี้ยงชีวิตที่ผิด ประกอบด้วยสัมมาอาชีวะ
วินัยนี้ กล่าวโดยประโยชน์อย่างสูงสุด คือ วินัยที่พระอริยเจ้าพอใจหรืออริยวินัย คือวินัยที่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์
ในโสณทัณฑสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดูก่อนพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น
ไม่มีความเห็น