ไม่รู้จริง
ตอนเป็นเด็ก หรือยังอยู่ในฐานะอ่อนอาวุโสผมเคยรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมท่านผู้นั้นผู้นี้จึงมีความรู้มากจริงๆ ทำอย่างไรเราจึงจะมีความสามารถสักหนึ่งในสิบของท่านผู้นี้ ทำอย่างไรเราจึงจะมีความมั่นใจในความรู้จริงรู้แจ้งเหมือนท่านผู้นี้
ต่อมา ตอนเป็นนักเรียนแพทย์ ก็ปากอ้าตาค้างอยู่บ่อยๆ ว่าอาจารย์บางคนเก่งจริงๆ รู้ไปหมด รู้แบบปรมาจารย์ คือคนถือว่าท่านคือคัมภีร์ คือถ้าท่านผู้นี้ว่าอย่างไรเกี่ยวกับโรคนั้นวิชานั้น คนก็จะเชื่อว่าถูกต้อง คือถือว่าอาจารย์ผู้นั้นเป็นผู้รู้จริง ผู้รู้จริงคือผู้รู้อย่างถูกต้อง เอาตำรามาตรวจสอบได้
ตอนนี้แก่แล้ว (ทำไมเร็วนัก!) ในหลายกรณีตัวเองถูกตั้งให้เป็น “ผู้รู้” โดยที่ผมมองตัวเองว่าเป็นแค่ “นักเรียน” (รู้) และมองว่าตัวเองเป็น “ผู้ไม่รู้จริง” คือในการทำงานส่วนใหญ่ผมไม่มั่นใจว่าที่ทำนั้นจะถูกต้องหรือไม่ จึงต้องคอยระวังตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยปรับปรุงหรือเปลี่ยนวิธีการเล็กๆ น้อยๆ ในรายละเอียดอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยไต่ถามผู้ใกล้ชิดอยู่เสมอว่า ที่มองเห็นเรื่องนั้นๆ อย่างที่ผมเห็น/ตีความ ถูกหรือไม่ เขามอง/ตีความอย่างไร ถ้าให้เขาทำ เขาจะทำอย่างไร คือต้องหมั่นเรียนรู้จากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะเราไม่มั่นใจว่าความรู้ความเข้าใจของเราจะถูกต้องในสถานการณ์นั้นๆ สรุปได้ว่า ผมมองตัวเองเป็น “ผู้ไม่รู้จริง”
ผมมีคำอธิบายว่าทำไมผมจึงเป็นคน “ไม่รู้จริง”
1. เวลาผมเรียนรู้ความรู้เชิงทฤษฎี (explicit knowledge) จากภายนอก ผมมักจะถามตัวเองว่าของจริงเป็นอย่างไร หลักการหรือทฤษฎีนั้นเป็นจริงในกรณีใดบ้าง ไม่เป็นจริงในกรณีใดบ้าง มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ทำให้ทฤษฎีนั้นใช้ได้ หรือใช้ไม่ได้ ในหลายกรณีผมไม่ได้รับคำตอบ
2. เมื่อมีการนำเสนอเรื่องราว เพื่อสรุปหลักการหรือทฤษฎี ผมมักพบว่าการเล่าเรื่องราวนั้นอาจไม่ครบ อาจยังมีรายละเอียดที่ถูกมองข้ามไป หรือผู้เล่าจงใจไม่เล่าบางตอนเพื่อประหยัดเวลา (หน้ากระดาษ) หรือเพื่อทำให้มีจุดพุ่งเป้า (focus) ของเรื่อง (นี่ยังไม่นับที่จงใจบอกเล่าความจริงครึ่งเดียว – half fact) ในกรณีนี้ สิ่งที่เราได้เรียนรู้ดูจะเป็น “ความจริงเชิงสัมพัทธ์” หรือ “ความรู้จากบางมุมมอง” เท่านั้นเอง ความรู้ที่ผมมีและใช้อยู่ในขณะนี้ (ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่ความรู้ทางแพทย์) ก็อยู่ในลักษณะนี้ คือเป็นความรู้ที่ไม่ตายตัว ไม่ชัดเจน หรืออาจกล่าวว่าเป็นความรู้ที่ยังต้องเอาไปปรับใช้ตามสถานการณ์
3. ความเป็นผู้สูงอายุ ทำให้ได้รู้เห็นว่าความรู้หลากหลายเรื่องที่ยึดถือกันมาเมื่อหลายสิบปีก่อนว่าถูกต้อง กลับพบว่าผิด และความจริงกลับตรงกันข้าม เช่นเมื่อก่อนเชื่อว่าเส้นประสาทเมื่อถูกอันตรายจะซ่อมหรืองอกไม่ได้ เวลานี้พิสูจน์แล้วว่าได้ เมื่อก่อนคิดว่าเซลล์สมองของคนมีอายุ มีแต่จะตายไป ไม่มีการเกิดเซลล์ใหม่มาทดแทน ก็พบว่าไม่จริง เมื่อก่อนผมคิดว่าชาวนาหรือชาวบ้านเป็น “ผู้ด้อยความรู้” แต่เวลานี้ผมเห็นชัดเจนว่ามีชาวบ้านที่เรียนจบแค่ ป. ๔ แต่มีความรู้มาก มีไม่น้อยได้รับยกย่องให้เป็นปราชญ์ชาวบ้าน (แม่ของผมก็เป็นตัวอย่างของคนจบ ป. ๔ ที่มีความรู้มาก สร้างฐานะของครอบครัวได้ และเลี้ยงลูกได้ดีทุกคน) วิธีการบำบัดโรคมากมายที่เปลี่ยนไปจากที่ผมยังรักษาผู้ป่วยอยู่เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว คือผมเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า “ความรู้” มันไม่นิ่ง ไม่ตายตัว มีเกิดมีดับมีเปลี่ยนแปลง
4. ผมมองว่า “ความรู้” ที่แท้ คือความรู้ที่เกิดหรือมี ณ จุดปฏิบัติ หรือใช้ความรู้นั้น เป็นความรู้ที่ต้องประมวลองค์ประกอบมากมายตามสถานการณ์ หรือบริบทในขณะนั้น ณ จุดนั้น ซึ่งตอนผมปฏิบัติจริง ผมไม่แน่ใจเลยว่ามุมมองหรือความเข้าใจของผมถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ จึงทำให้ผมบอกตัวเองว่า ผมเป็นคนรู้ไม่จริง และเมื่อรู้ไม่จริง ก็ต้องขวนขวายเรียนรู้จากคนที่อยู่รอบข้างอยู่ตลอดเวลา
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ธค. ๔๘
<p></p>