พุทธวิธีแก้เซ็ง!


ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอุทิศ เวลากินไม่ได้นอน เวลานอนไม่ได้กิน ผู้ข่าวยังตามตื๊อถามแต่เรื่องที่ไม่อยากให้ถาม เซ็งฉิบหาย จนต้องยกป้าย “ไม่สร้างสรรค์”

พุทธวิธีแก้เซ็ง!

           วันสองวันมานี้ผู้เขียนได้ยินเสียงบ่น(ดังๆ) ของใครบางคนในชุมชนแห่งนี้  ว่าเบื่อเหลือเกิน  เซ็งเหลือเกิน

           ผู้เขียนว่าอารมณ์เช่นนี้แทบทุกคนคงเคยเป็น  แล้วแต่ว่าใครเป็นมากเป็นน้อย  ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเซ็งหรือเบื่อบ่อยๆ มาก่อน  และก็ไม่รู้วิธีแก้ด้วย  ก็ปล่อยให้มันหายเซ็งไปเอง  แต่กว่ามันจะผ่านพ้นไปได้ก็หดหู่  ทรมานเหลือเกิน

           แต่มาตอนนี้ความเซ็งก็มากล้ำกลายน้อยลง  หรือแม้แต่อารมณ์อื่นๆ ก็ตาม  พลอยห่างหายไปด้วย  โดยผู้เขียนใช้วิธีดูมันอย่างเดียว ย้ำ ดู อย่างเดียว

           ดูโดยไม่ต้องแทรกแซง  ดูจนกว่ามันจะหายไป  แต่ไม่ได้บังคับ แต่ดูเฉยๆ เหมือนกับเราดูหนัง  เราไม่สามารถเปลี่ยนหนังให้เป็นไปตามใจเราได้

           ดูไปๆ มันคงกลัวหรือไรไม่ทราบ  อารมณ์ขุ่นมัวเหล่านั้นก็มาเยี่ยมน้อยลง  แต่ก็ยังมานั่นแหละ  มาแบบหลบๆ ซ่อนๆ เวลาเราเผลอ

           หากปรึกษาท่านผู้รู้ด้านวิปัสสนาท่านก็คงแนะคล้ายๆ กับที่ผู้เขียนทำ  แต่ถ้าผู้รู้ด้านสมถะก็คงเป็นทำนองให้กำหนดรู้อารมณ์แน่วอยู่กับสิ่งเดียว  ก็แล้วแต่ใครถนัดสิ่งใด

          ฉะนั้นอยู่ที่เราเองครับว่าเราเหมาะกับแบบไหน  หรือถูกจริตกับแบบไหน  ก็เหมือนทานข้าว  ทุกคนก็ชอบทานกับข้าวที่ต่างชนิด ต่างรสชาติกัน

          นอกจากวิธีข้างต้น  ผู้เขียนได้คัดลอกวิธีแก้เซ็ง  ซึ่งเป็นบทหนึ่งในหนังสือที่ชื่อว่า "ธรรมะ How to"  แต่งโดยคุณ เสฐียรพงษ์  วรรณปก  ผู้เป็นปราชญ์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา  และท่านสามารถเขียนหนังสือได้สนุกด้วย  อาจยาวสักหน่อย  ทนอ่านกันหน่อยนะครับ  เผื่ออนาคตเราเกิดเซ็งขึ้นมา  จะได้หยิบใช้ได้ทัน

           ลองมาฟัง (อ่าน) กันครับ

วิธีแก้เซ็ง

 

            “เซ็ง”  คำนี้พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คำจำกัดความว่า จืด, จืดชืด, หมดรส, หมดความตื่นเต้น แถมวงเล็บด้วยว่า  เรียกสิ่งที่ควรบริโภคแต่ทิ้งไว้นานเกินไป (คืออะไรไม่รู้ซิครับ)

            เท่าที่ผมทราบ  อะไรที่มันซ้ำซากจำเจ  มันทำให้เกิดความเซ็งหรือเบื่อ  ทำงานในตำแหน่งผู้น้อย  รับใช้เขาตลอดเวลา  ไม่ได้รับโปรโมตเลื่อนขั้นสักที  มันเซ็งว่ะ  เป็น ส.ส. ผู้ทรงเกียรติมานาน  ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีกะเขาสักที  มันเซ็งฉิบหาย  หรือเป็นอยู่แล้ว  ไม่ได้เลื่อนชั้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกรดเอสักที  แว่วๆ ว่าจะโดนปลดเสียอีก  ไม่เซ็งคราวนี้จะเซ็งคราวไหน

            ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอุทิศ  เวลากินไม่ได้นอน  เวลานอนไม่ได้กิน  ผู้สื่อข่าวยังตามตื๊อถามแต่เรื่องที่ไม่อยากให้ถาม  เซ็งฉิบหาย  จนต้องยกป้าย “ไม่สร้างสรรค์”  อุตส่าห์เลียนแบบลูกชายมาเล่นมุข (ทำไมไม่เป็นมุก  อย่าถามผม  เพราะผมเคยชินอย่างนั้น)  ยังไม่ยอมขัน  มันจะเครียด (เหมือนผม)  ไปถึงไหนวะ (ฮา)

            บวชเป็นพระมานาน  เป็นลูกวัดอยู่นั่นแล้ว  ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครู  เจ้าคุณกับเขาสักที  “อาตมาเซ็งจริงๆ”  ว่าเข้านั่น  ไหว้พระไหว้เจ้ามาก็มากแล้ว  ไม่เห็นร่ำรวยอะไร  เซ็งเหลือเกิน  จุดธูปไหว้ปลาไหลเผือกดีกว่า  อาจถูกหวยบ้าง

            “เซ็ง”  ภาษาพระท่านเรียก  “อุกกัณฐิโต”  แปลตามศัพท์ว่า  “ชูคอ”  คือชูคอแหงนดูว่ามีอะไรที่ตื่นเต้นบ้าง  มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไหม  เมื่อไม่มีก็เกิดอาการ  “อุกกัณฐิตภาวะ” (ความเซ็ง) ทันที

            ในสมัยพุทธกาล  มีพระเซ็งกันบ่อยครั้ง  พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาแก้เซ็งให้ท่านเหล่านั้น  ขอประมวลมาโดยย่อดังนี้

               

1.      วิธีแก้เซ็งที่ได้ผลชะงัดประการแรกคือให้เปลี่ยนวิธีคิด

เปลี่ยนอย่างไร ลองอ่านเรื่องจริงนี้ก็จะรู้เอง  พระหนุ่มหลานพระเถระรูปหนึ่ง  ได้จีวรอย่างดี  นำไปถวายหลวงลุง  หลวงลุงกลับไม่รับ  ก็น้อยใจว่าหลวงลุงไม่ให้ความสำคัญ  ขณะนั่งพัดวีหลวงลุงอยู่  จึงคิดฟุ้งซ่านไปไกลเพราะความเซ็ง

หลวงลุงไม่รับ  เราก็จะขายผ้าผืนนี้  ได้เงินมาจำนวนหนึ่งก็จะสึก  ไปซื้อแพะสักคู่มาเลี้ยง  เมื่อแพะมันตกลูกมาสักสองสามตัว  เราก็จะขายลูกมัน  ได้เงินจำนวนหนึ่งก็จะไปซื้อที่นา  ทำนาตามประสา  อยู่คนเดียวมันเหงา  เราก็จะไปขอลูกสาวเขามาเป็นภรรยา  อยู่กันสองคนตามประสายาก  อยู่สักพักหนึ่งก็ได้ลูกชายน่าเกลียดน่าชังมาคนหนึ่ง...  โอ๊ย  ฟุ้งซ่านไปไกล  คิดไป  พัดวีหลวงลุงไป

เมื่อโอกาสเหมาะ  เราก็จะพาเมียและลูกน้อยนั่งเกวียนมานมัสการหลวงลุง  ระหว่างทางลูกน้อยร้องไห้เพราะความหิว  เมียบอกให้เราอุ้มลูกด้วย  อุ้มอยู่คนเดียวเมื่อยแขนเต็มที  เราก็ว่าจะอุ้มได้ยังไง  ไม่เห็นเรอะข้ากำลังขับยาน  เอ็งก็อุ้มไปสิ...  เตลิดไปกู่แทบไม่กลับเลย

ทันใดนั้น  เราก็สะดุ้งเพราะได้ยินเสียงลูกน้อยร้องไห้จ้า  หันไปดู  หนอยแน่ะ  เดอะเมีย  มันโยนลูกลงพื้นกระดานเกวียนเพราะยัวะว่าเราไม่ช่วยอุ้มลูก  เราโมโหสุดขีด  เอาปฏักฟาดหัวเมียดังโป๊ก!...  ทานโทษ  แทนที่จะตีหัวเมีย  พระหนุ่มเธอฟาดพัดใบตาลลงบนศีรษะหลวงลุงดังโป๊กเลย  จึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์  รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  ก็วิ่งลงกุฏิหนีไปด้วยความอาย  พระทั้งหลายต้องช่วยกันจับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า  สังฆรักขิต (นามของพระหนุ่ม)  ทำไมเธอตีศีรษะอุปัชฌาย์

มันเซ็งพระพุทธเจ้าข้า

เซ็งเรื่องอะไร  เซ็งแล้วทำไมทำร้ายครูบาอาจารย์

ก็ถวายจีวรแด่พระอุปัชฌาย์แล้ว  ท่านไม่รับทำให้ข้าพระพุทธเจ้าคิดมากว่าท่านคงรังเกียจ  จึงคิดเตลิดไปไกล  แล้ว...ยังไงมายังไงไม่ทราบ  เกิดไปตีศีรษะท่านเข้าโดยไม่รู้ตัว  พระพุทธเจ้าข้า

เล่าเองก็ไม่ปะติดปะต่อ  แต่พระองค์ทรงทราบเรื่องโดยตลอด  จึงประทานกลวิธีแก้เซ็งให้  พระองค์ทรงทราบว่าจริงๆ แล้วในส่วนลึกของหัวใจของพระนวกะรูปนี้  เธอเซ็งมิใช่เพราะน้อยใจอุปัชฌาย์ปฏิเสธไม่รับผ้าจีวรที่เธอถวายดอก  เซ็งด้วยสาเหตุอื่น  แต่ไม่กล้ากราบทูล  ทรงซักจนเธอยอมจำนน  จึงเผยความในใจว่า

ที่อยากสึก  เพราะต้องรักษาศีลมากเกินไป  รู้สึกไม่มีอิสระ  ดูเหมือนจะเหยียดแข้งเหยียดขา  จะเดินจะเหินไปไหน  ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว  กลัวผิดศีลไปหมด  แบบนี้มันก็เซ็งตายสิ  นั่นไงความในใจออกมาแล้ว  จึงตรัสถามว่า  มันมากไปใช่ไหม  ศีลน่ะ

พระพุทธเจ้าข้า  เธอรับสารภาพ

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า  ถ้าตถาคตจะลดให้เหลือสักข้อเดียว  เธอจะบวชอยู่ต่อไปไหม

ยินดีบวชต่อไปพระพุทธเจ้าข้า  รับรองไม่เซ็งแน่นอน  เธอยืนยัน  ดีใจที่ไม่ต้องรักษาศีลถึง ๒๒๗ ข้อ

ถ้าเช่นนั้น  ต่อแต่นี้ไปให้เธอรักษาศีลเพียงข้อเดียวคือ  เธอจงรักษาจิตของเธอให้ดี

ตกลงว่าพระหนุ่มรูปนั้นรับปากกับพระพุทธองค์แล้วว่าจะบวชอยู่ต่อไป  ในที่สุดก็ต้องบวชต่อไป  และความเซ็งค่อยหายไปในที่สุด  เพราะได้ปรับความคิดใหม่ว่า  รักษาศีลเพียงข้อเดียวเท่านั้น  ไม่มากเหมือนศีลในพระปาฏิโมกข์ตั้ง ๒๒๗ ข้อ (แม้ว่าความเป็นจริงก็มากเท่าเดิมนั่นแหละ  แต่เมื่อคิดว่ามีข้อเดียวคือรักษาจิตให้ดีมีกำลังใจมากขึ้น  และเมื่อรักษาจิตได้  ศีลทั้งหลายก็เป็นอันว่าได้รักษาโดยอัตโนมัติ)

นึกถึงนิทานจีนเรื่องหนึ่ง  นายคนหนึ่งเลี้ยงลิงไว้ฝูงใหญ่  ต่อมาข้าวของแพงขึ้น  ไม่มีเงินซื้อเกาลัดมาให้ลิงกิน  จึงไปตกลงกับพวกลิงว่าจะลดจำนวนเม็ดเกาลัดลง  เช้าเหลือตัวละสี่เม็ด  เย็นหกเม็ดเท่าเดิม  พวกลิงก็ร้องเจี๊ยกจ๊ากไม่พอใจ  เกิดเซ็งขึ้นมาทันที

นายคนนั้นปฏิภาณไว  บอก “เอาละ  ไม่เปลี่ยน  เอาตามเดิมคือเช้าหก  เย็นสี่ก็แล้วกัน  พวกลิงได้ยินคำว่า  หก  ไม่ใช่  สี่  เหมือนครั้งแรก  ก็ร้องด้วยความพอใจ  “มันต้องอย่างนั้นสิ  จะมาลดอาหารเราทำไม  เจี๊ยกๆ”

ตกลงกระทาชายนายนั้น  ได้ประหยัดลูกเกาลัดคราวละหลายผล  เพราะรู้จักให้ลิงเปลี่ยนวิธีคิด  เช่นเดียวกัน  พระพุทธเจ้าทรงแนะวิธีคิดในการรักษาศีลเสียใหม่แก่พระหนุ่ม  แทนที่จะคิดว่ามากไปๆ ทำให้กลุ้ม  ก็คิดเสียว่ารักษาไม่มากอะไร  เพียงรักษาจิตให้ได้ก็พอ

ยะถาฉันใด  เอวังก็ฉันนั้น  =  Even as even so...ว่างั้นเถอะ

 2.      เทคนิคที่สองให้เปลี่ยนวิธีทำ

ทำอะไรบางอย่างซ้ำซาก  ไม่ได้ผลก็เซ็ง  ต้องหาทางเปลี่ยนวิธีทำใหม่  เผื่อจะได้ผล

พระรูปหนึ่ง  ปัญญาค่อนข้างทึบ  เพราะไม่ได้จบด๊อกเตอร์  และไม่มีประสบการณ์ทางการค้าขายประเภทปั้นอากาศให้เป็นตัว  จนร่ำรวยเหมือนด๊อกเตอร์บางคนในยุคต่อมา  ท่านก็อุตส่าห์ท่องโศลกสี่บรรทัด  สามเดือนก็ยังจำไม่ค่อยจะได้  ก็เลยเกิดความเซ็ง  พระพุทธเจ้าเสด็จมาพบเข้า  ตรัสว่าเธอท่องหรือสาธยายซ้ำๆ ซากๆ  วันๆ ก็ท่องอยู่อย่างนี้  เมื่อจำไม่ได้ก็เลยหมดกำลังใจหรือเซ็ง  ว่างั้นเถอะ  แล้วเธอทำไมไม่เปลี่ยนวิธีทำบ้าง

เปลี่ยนอย่างไร  พระพุทธเจ้าข้า   พระหนุ่มทูลถาม

พระพุทธองค์ตรัสว่า  มานี่  เราะจะบอกวิธี  แล้วพระองค์ก็ทรงนำผ้าขาวมาผืนหนึ่งมอบให้พระหนุ่ม  ซึ่งแสดงอาการงงๆ ตรัสว่า  นั่งลง  แล้วเอามือลูบผ้าขาวนี้  บริกรรม (คือพูดเบาๆ) ว่า  ผ้าเช็ดธุลีๆๆ ลูบไปบริกรรมไป  จนกว่าเราจะสั่งให้หยุด

พระหนุ่มเลิกวิธีท่องแบบเดิม  หันมาทำวิธีใหม่  คือเอามือลูบผ้าขาว  ลูบไปก็ภาวนาเบาๆ ว่าผ้าเช็ดธุลีๆๆ  เมื่อเปลี่ยนวิธีทำ  จิตใจก็กระตือรือร้นอยากเห็นผล  ทำอย่างใจจดใจจ่อ  ไม่นานใจก็เป็นสมาธิ  ลืมโลกภายนอกหมด  เมื่อจิตเป็นสมาธิ  ก็แน่วดิ่งเกาะอยู่กับเรื่องที่คิด  กิจที่ทำ  ไม่ช้าไม่นานก็ได้รู้แจ้ง

ถามว่า  พระพุทธเจ้าทรงให้พระหนุ่มทำอะไร  ตอบว่า  ทรงให้เปลี่ยนวิธีทำจากแบบเก่า  เพื่อไม่ให้จำเจ  แล้วก็บอกวิธีให้ควบคุมจิตให้เป็นสมาธิ  พูดง่ายๆ ทรงบอกกรรมฐานนั้นเอง  แต่ไม่บอกตรงๆ  เพราะถ้าบอกตรงๆ ว่า  มาเราจะสอนกรรมฐานให้  อาจไม่ได้ผลก็ได้  สู้ให้ทำโดยไม่บอกจะดีกว่า  แล้วก็ได้ผลดังพุทธประสงค์  แต่ต้องเป็นการทำแบบใหม่จริงๆ  ไม่ใช่แบบที่โฆษณาไว้  คิดใหม่ทำใหม่  มันก็ทำแบบเดิมๆ นั่นแหละว้า  ไม่งั้นคอร์รัปชั่นไม่โผล่ที่นั่นที่นี่ร้อก!


           เอ้า!  เสนอแนวทางมามากขนาดนี้แล้ว  ยังไม่หายเบื่อหายเซ็ง  ก็จนปัญญาผู้เขียนแล้วแหละครับ

          ใครมีทีเด็ดยังไงก็ฝากไว้ได้นะครับ  เผื่อท่านอื่นและผู้เขียน  จะได้นำไปทดลองใช้บ้าง  ชีวิตบนโลกร้อนๆ ใบนี้จะได้อยู่เย็นและเป็นสุข  อย่างน้อยก็ชาว G2K เรานี่แหละครับ

 ธรรมะสวัสดีครับ

หมายเลขบันทึก: 105037เขียนเมื่อ 21 มิถุนายน 2007 03:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 21:51 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ

ถึงแม้จะยังไม่เซ็ง ..แต่ก็ยินดีแอบมารับพุทธวิธีไปด้วยความปิติเป็นล้นพ้น..และดีใจสุดๆที่คุณธรรมาวุธกลับมาแล้ว...ว

โอย ! วันนี้มีแต่เรื่องดีๆแต่เช้าเลยค่ะ มีความสุขจัง

^             ^

ขอบคุณมากๆค่ะ

 

 

อ่านแล้วรู้สึกดีจังค่ะ จะแวะมาอ่านอีกนะค่ะ

เขียนบ่อย ๆ นะ

 

P

สวัสดีครับคุณเบิร์ด

  • ผมได้ยินมาว่าคุณเบิร์ดเป็นคนหนึ่งที่ทำงานหนัก  (จนเพื่อนร้อยโอยแทน อิอิ)
  • แต่ผมไม่เคยได้ยินคุณเบิร์ดบอกว่าเบื่อหรือเซ็งสักที
  • กลับได้ยินคำว่า ความสุขๆๆๆๆ หรือ ฮี่ๆๆๆ แทนบ่อยเหลือเกิน
  • ผมว่าคุณเบิร์ดต้องมีวิธีแก้เซ็งเด็ดๆ แน่ๆ เลย
  • ลองแบ่งปันกันบ้างซีครับ
P

สวัสดีและยินดีต้อนรับครับ

  • ดีใจครับที่คุณรู้สึกดี  และยินดีจะแวะมาเยี่ยมอีก
  • ไม่ทราบว่าคุณปาน(ไม่รู้เขียนชื่อถูกหรือเปล่า) มีวิธีแก้เซ็งอะไรน่าสนใจบ้างครับ
  • อาจไม่เด็ดนัก  แต่อาจเด็ดกับคนอื่นก็ได้นะครับ

ธรรมะสวัสดีครับ

  • P  น้องเทพ
  • รู้สึกว่าจะมีคนบ่นถึงอ่ะ
  • ขอบคุณมากค่ะ  แบบว่าวันนี้ก็ประชุมตั้งแต่เช้า ตอกย้ำความเครียดเข้าไปอีก
  • อ่านจบแล้ว   คิด และคงต้องหาแนวทางในการแก้ปัญหาของพี่ (อ้อ...อาการที่เป็นเนี่ยเรื่องงานนะคะ  ไม่ใช่เรื่องความรัก เดี๋ยวจะเข้าใจผิด)
  • น้องบ่าวครับ
  • ยอดเยี่ยมครับ
  • ง่ายครับ .. ยากครับ
  • ง่ายที่จะพูด .. ยากที่จะทำให้สำเร็จ
  • แต่ทำได้ทุกคน .. ทำบ่อยๆ จะเห็นผล .. ช้า-เร็ว ไม่ต้องกังวล
  • ... ขอบคุณ "อย่างแรง" ครับ

สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ

ลองนั่งคิดดูแล้วก็แปลกตรงที่พบว่าเบิร์ดไม่ค่อยเซ็ง !..มีบ้างเหมือนกันค่ะแต่ไม่นาน มาเป็นพักๆพอรำคาญก็หายไป  น่าจะเป็นเพราะงานเบิร์ดไม่ซ้ำ..มีเรื่องราวหลายรูปแบบให้คิดก็เลยเปลี่ยนความจำเจไปได้เรื่อยๆ

แต่เวลาเบื่อสิ่งแรกที่ทำคือวางทุกอย่างแล้วฟังเพลง ประเภทเพลงหวานๆหรือเพลงบรรเลงน่ะค่ะ ( เบิร์ดฟังอยู่สองแนวหลัก อิ อิ )...ถ้าไม่มีเพลงก็อ่านหนังสือ เพราะเวลาอ่านหนังสือเบิร์ดจะถูกดึงออกจากโลกปัจจุบันไปอยู่ในโลกของหนังสือทันทีทำให้ลืมทุกอย่างไปเลย...หรือนั่งดูธรรมชาติ ( ถ้าบรรยากาศเอื้อนะคะ เคยนอนแผ่กลางสนามหญ้าดูดาวบนฟ้า  ดูเมฆสวยๆที่เปลี่ยนรูปร่าง  มองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างห้องนอน  นั่งดูสายน้ำที่ไหลริน  เหม่อมองความเขียวสวยของต้นพลูด่างบนโต๊ะทำงาน ฯลฯ )..ถ้าไม่สามารถทำทั้งหมดได้เบิร์ดจะนั่งดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น ดูนิ่งๆเหมือนเบิร์ดเป็นคนอื่นแล้วอารมณ์แย่ๆที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆหายไปเอง...เห็นเกิด ดับชัดแจ๋วเลยล่ะค่ะ

พอถึงเวลาที่ต้องสวดมนต์ + ทำสมาธิก่อนนอน / ตอนเช้าอารมณ์เหล่านี้ก็หายไปน่ะค่ะ อาจเกิดจากพุทธวิธีที่คุณธรรมาวุธว่าก็ได้นะคะ

ถ้าดูน่าจะเป็นเพราะเบิร์ดไม่ให้อารมณ์หล่านี้มาเกาะตัวเบิร์ดจนกินลึกเข้าไปข้างใน  พอมันมาเพียงผิวๆ แค่รู้สึกเบิร์ดก็ลงมือแล้วน่ะค่ะเลยพอ " รับมือ " ไหว...

ขอบคุณสำหรับการชวนคุยที่ทำให้เบิร์ดได้มานั่งมองตนเองนะคะ

สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ

แวะมาอ่านเรื่องแก้เซ็ง แล้วก็เห็นด้วยกับวิธีที่สรุปไว้ทั้ง ๒ วิธีอยู่แล้ว เลยไม่มีอะไรจะเพิ่มค่ะ ^ ^ เพราะว่าถ้าเป็นเซ็งก็จะคอยดูอยู่แล้ว..แต่ตอนหลังๆ ไม่ค่อยยึดกับอะไรมาก ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรจะเซ็งค่ะ อิอิ.. เน้นดูอย่างเดียวแหละค่ะ

แวะมาทักทายค่ะ ดีใจที่ได้เห็นบันทึกนะคะ หวังว่าคงสบายดีเจริญสติโดยการเดิน-วิ่งไปหลายกิโล(กรัม)แล้วนะคะ ^ ^

  • P
  • ก็ทราบอยู่แล้วครับว่าเรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องความรัก
  • เอ๊ะ หรือร้อนตัว? อิอิ
P
  • สวัสดีครับพี่บ่าว
  • จริงๆ แล้วอย่างที่พี่บ่าวว่าแหละครับ พูดง่าย แต่ทำยากจริงๆ
  • แต่ก็ต้องฝึกครับ ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นเอง
  • เห็นเวลาเรียนหนังสือ ก็พากเพียรกันตั้งหลายไป  เรียนจบมาบางคนไม่เห็นเอาไปทำยาอะไรได้  ยังจะทำกันเล้ย
  • ปฏิบัติธรรมก็น่าจะง่ายกว่านะครับ...พี่บ่าว

ขอแก้คำผิดครับ....

ก็พากเพียรกันตั้งหลายปี

P
  • สวัสดีครับคุณเบิร์ด
  • ขอบคุณที่บอกเทคนิคการแก้เซ็งครับ
  • ผมว่าวิธีของคุณเบิร์ดนี้มีหลายหลายดีครับ ล้วนแต่ไม่ห่างจากพุทธวิธี
  • ประโยคที่ว่า "ถ้าดูน่าจะเป็นเพราะเบิร์ดไม่ให้อารมณ์หล่านี้มาเกาะตัวเบิร์ดจนกินลึกเข้าไปข้างใน " นี่สำคัญนะครับ  ถ้าเรามัวปล่อยให้มันกลืนกินเรานานๆ เนี่ยก็เสร็จมันเลย
  • เหมือนๆ กับมีดที่เราปล่อยให้สนิมจับ ไม่รู้จักชโลมน้ำมัน ไม่รู้จักลับ ไม่รู้จักใช้ ปล่อยไว้นานสนิมจับ กัดกร่อน ก็ใช้การไม่ได้

ขอบคุณสำหรับความเห็นดีๆครับ /|\

P
  • /|\ สวัสดีครับ อ.กมลวัลย์
  • การปฏิบัติธรรมเนี่ยสำคัญจริงๆ นะครับ มันแก้ได้ทุกโรคเลย ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้อง
  • ไม่ว่าจะขับรถ  เดินข้ามถนน ทำงาน ใช้ได้หมด
  • ไม่ว่าจะทุกข์ จะขุ่นมัว จะเซ็ง จะเหงา จะเศร้า เอาอาวุธอย่างเดียวคือ "สติ" ไปจัดการ เป็นอันเสร็จหมด
  • ฝึกเข้าๆ เราก็ไม่หลง เมื่อไม่หลง ก็ตรงทาง เมื่อตรงทาง ทีนี้ก็หมดปัญหา จะช้าจะเร็วก็ถึง
  • ช่วงนี้ผมเริ่มเปลี่ยนจากเดินอย่างมีสติ เป็นวิ่งอย่างมีสติแล้วครับ เพราะการเดินลดพุงช้าไปครับ อิอิ

ธรรมะสวัสดีครับ

สวัสดีค่ะ..คุณธรรมาวุธ

         คิดถึงจริงๆนะเนี่ย...ดีจังวันนี้มีอะไรดีๆ มาฝากคนอื่นๆ..ด้วย...ดีค่ะ...เป็นกัลยาณมิตรกับเครือข่ายไม่เสื่อมคลาย..อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ..กับการสร้างสุขด้วยการลดความเซ็ง..."ตามรู้..ดูด้วยจิตที่เป็นกลาง..ไปเรื่อยๆ..ทำได้บ่อยก็เซ็งน้อยหน่อย..วิธีนี้ เท่าที่พอจะทำได้บ้างก็เห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ..ใช้ได้ทุกที่ ไม่ต้องหาอุปกรณ์ใด้ๆ เสริมเลย....

       ขอบคุณอีกครั้งค่ะ..ก่อนไป...สวัสดีค่ะ..

P

สวัสดีครับคุณ พชรวรัตถ์

  • อ่านชื่อคุณทีไรลิ้นพันกันทุกที  ขนาดคนไทยนะเนี่ย  ฝรั่งคงไม่ต้องพูดถึง
  • รู้สึกคุณจะชื่อ แหวว ใช่ไหมครับ?
  • ยินดีที่แวะมาเนืองๆ ครับ
  • ผมก็แทบไม่ได้แวะไปที่บันทึกคุณเลย
  • ว่างๆ ก็แสดงความคิดเห็นแบ่งปันกันบ้างก็ดีนะครับ ผมอยากได้อ่านความเห็นของคุณบ้าง

ธรรมะสวัสดีครับ

สวัสดีค่ะ..แหวว..เองค่ะ

  • รอบันทึกทางธรรมอยู่ตลอดค่ะ..แต่ตัวเองค่อนข้างยุ่งกับงานเลยไม่ค่อยมีเวลามาบันทึกหรืออ่านมากนัก
  • ทุกวันนี้ยังอยากมีอาจารย์ทางธรรมที่สามารถปรึกษาหารือ หรือขอคำแนะนำตัวต่อตัว เพราะบางทีไม่มั่นใจหรือสงสัยอยู่บ่อยๆ...รู้สึกบุญน้อยที่เกิดมาเป็นผู้หญิง จะปรึกษาพระก็ลำบากโข...อยู่ค่ะ ช่วงนี้มีคนที่ต้องการศึกษาธรรมะก็มาขอเราให้เป็นอาจารย์ เราก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าใด..ตัวเองก็ยังเอาไม่รอด...แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร..ก็ให้ความเห็นเท่าที่ตนเองรู้และให้ชื่ออาจารย์และหนังสือที่น่าอ่านไปบ้างค่ะ
  • เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเซ็งนานเพราะตามรู้ทัน..ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องใช้ตัวช่วยเยอะเช่น..ธรรมชาติ,เพลง,การอาบน้ำ,การอ่านหนังสือ..ฯลฯ
  • ยินดีที่ได้เครือข่ายทางธรรมนะคะ...ขอบคุณค่ะ
P

สวัสดีอีกครั้งครับคุณแหวว

  • ผมก็หาอาจารย์เหมือนกันครับ  แต่ระหว่างนี้ผมมีวิธีแก้ที่ดีมาเสนอครับ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเราจะโชคดีเจออาจารย์ที่ต้องการหรือเปล่า
  • วิธีแก้ก็คือ ใช้ตัวเองเป็นอาจารย์ครับ  ไม่มีใครสอนใครได้เท่าตัวเราเองครับ อาจารย์(หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า) ท่านก็เป็นแต่ผู้ชี้ทางให้ครับ  ใช้วิธีตามรู้ตามดูจิตตัวเองไป โดยไม่แทรกแซง  ท่านว่าสักวันรู้ผลแน่นอนครับ
  • ที่สำคัญถ้าได้กัลยาณมิตรด้วยก็ดีมากๆ ครับ ผมว่าในสังคมนี้น่าจะมีเยอะครับ
  • ส่วนเรื่องความเป็นหญิงนั้น  ผมว่าพอๆ กับเพศชายครับ  เผลอๆ อาจดีกว่าด้วยซ้ำ  เพราะผู้หญิงมีความอดทนสูง  มีอารมณ์ให้ดูมากกว่าผู้ชาย  ลองสังเกตดูซีครับ ในสถานที่ปฏิบัติธรรมนั้นผู้ชายมีไม่ถึงครึ่งเลยครับ เผลอๆ มีสักสิบยี่สิบเปอร์เซ็นต์ได้มั้งครับ
  • ไม่มีอุปสรรคสำหรับคนตั้งใจจริง(อย่างคุณแหวว) หรอกครับ

พระคุ้มครองครับ

  • วันนี้ได้กำลังใจแต่เช้า...ขอบคุณอย่างสูงนะคะ..มิตรทางธรรม...
  • ช่วงนี้ก็คงต้องเป็นครูให้กับตัวเองไปก่อน...มีมิตรทางธรรมก็ถือว่าโชคดีแล้วค่ะ...
  • และก็ขอบคุณนะคะที่แวะไปเยี่ยมเยือนพร้อมด้วยข้อคิดเห็นที่ดีงาม...ขอบคุณด้วยใจจริงค่ะ..
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท