กลับจากวังรีด้วยความประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย ในแง่การจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมผู้ใหญ่ ผู้มีประสบการณ์ ทั้งๆที่เราก็พยายามวิเคราะห์ Performance Gap ของผู้จัดการเครือข่าย PCU แล้ว แต่ปรากฏว่ายังมีจุดที่ต้องแก้ไขอีกมาก ขอบคุณที่พวกเราได้ให้บทเรียน ต้องกลับมาทบทวนเรื่อง Double Loop Learning และคงต้องมีการปรับแก้การฝึกอบรมหน่วยที่ 2 และหน่วยที่ 1 บ้าง สงสัยว่าไอ้ Double Loop Learning มันเป็นยังไง ผู้บริหารทั้งหลายก็ได้โปรดค้นคว้าดูนะ เราไม่ใช่ม้าลำปาง ที่เขาจับครอบกระจังตรงหน้าให้เดินไปตรงๆ ไม่ต้องหลบต้องหลีกอะไร สมัยก่อนผู้ใหย๋เล่าให้ฟังว่า ถ้านั่งม้าลำปางโดยไม่มีเจ้าของขี่ไป มันก็จะพาไปเอง ไปไหน อยากรู้ คอยติดตาม (ม่ายบอก)
เมื่อก่อนเวลาเราจัดฝึกอบรมหรือสอนใคร เรามุ่งไปที่วัตถุประสงค์ หากไม่บรรลุ เราก็ทำอีก อาจเปลี่ยนวิธีการ แต่การฝึกอบรมผู้ใหญ่เราต้องดูทั้งวัตถุประสงค์และวิธีการ รู้ทั้งรู้ว่าไม่บรรลุวัตถุประสงค์เรายังทู้ซี้ทำไป มันก็สูญเปล่า เราต้องมาทบทวนทั้งกระบวนการ หรืออาจต้องปรับวัตถุประสงค์ใหม่ เพราะทางที่บรรลุสู่เป้าประสงค์ (Goal) นั้นมันมีหลายทาง การจัดฝึกอบรมจึงไม่ควร ติดยึด แก้ไม่ได้ การทำงานก็เหมือนกัน เราเป็นผู้บริหารงานบริการ เราก็ต้องเข้าใจผู้รับบริการให้มาก ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่นว่าฉันรู้ดีที่สุด ฉันมีเทคโนโลยี ทำอย่างที่ฉันบอกแล้วเธอจะมีสุขภาพดี สมัยนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วนะ
สมัยก่อน เราเจอปัญหาในลักษณะไฟลามทุ่ง ต้องรีบสกัด ไม่งั้นโรคติดเชื้อก็จะแพร่หลายไปทั่ว และทีสำคัญคือเรามีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ให้ผลชงัด ยัดยาเข้าไป ทำตามหมอสั่ง หาย เขาเรียกว่า เรามีกระสุนวิเศษ สมัยนั้นสุขภาพก็ถูกเปรียบเปรยว่า สุขภาพ=หมอ+ยา เราก็ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขับเคลือ่นการพัฒนา มาถึงสมัยนี้ ปัญหามีทั้งแบบไฟลามทุ่งและไฟสุมขอน สังคมก็ซับซ้อนมากขึ้น ชุมชนติดต่อถึงกันและถูกผลกระทบทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก จำ Ecological Model of Health Outcome ได้ไหม ไข้หวัดนกระบาด EU งดนำเข้าไก่ จากบ้านเรา โรงเชือดไก่ปิด เด็กต้องออกจากโรงเรียนกลับไปอยู่บ้านนอก ปัญหามันซับซ้อนตามความซับซ้อนของสังคมโลกาภิวัตน์ แนวทางการแก้ปัญหาสุขภาพของเราก็ต้องปรับรูปแบบใหม่ กระบวนการปรับเปลี่ยนรูปแบบ (Transformation Process) นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในชั่ววัน และไม่ใช่การปรับเปลี่ยนแบบเอาเหล้าเก่าในรูปขวดใหม่ ต้องมีการปรับเปลี่ยนในระดับโครงสร้าง
การใช้กลไกทางการเงินการคลัง การแยก Provider ออกจาก Purchaser เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของบริการ นำไปสู่การจัดรูปแบบใหม่ในการบริหารจัดการบริการในระดับต่างๆ
กระบวนการปรับเปลี่ยนไม่ได้เกิดจากจุดศูนย์ แต่ปรับจากระบบที่มีพลวัตรของการพัฒนามานานพอควร จากการมุ่งความเป็นเลิศ ประกอบกับค่านิยม และกลไกในการจูงใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานในชนบท เพื่อขยายความครอบคลุมของบริการทางการแพทย์ ฯลฯ ทำให้เรามีแพทย์เฉพาะทางมากในที่ที่ต้องการเวชปฏิบัติทั่วไป ในขณะเดียวกันหากเราย้อนกลับไปดู ในช่วง พ.ศ 2520 เป็นต้นมา เรามุ่งขยายงานสุขภาพภาคประชาชน โดยการพัฒนาตามกลยุทธการสาธารณสุขมูลฐาน หากดูตามปริมาณ เรามีอาสาสมัครสาธารณสุขครอบคลุมในทุกพื้นที่ เรามีการสร้างโรงพยาบาลให้ครบทุกอำเภอ เริ่มจากโครงการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จนเดี๋ยวนี้ เราก็มีครบ ต่อมาเราเข้าสู่ทศววรษแห่งการพัฒนาสถานีอนามัย เรามี Physical Infrastructure ที่ค่อนข้างครอบคลุม ทำหน้าที่ในการให้บริการอนามัยขั้นพื้นฐาน (Basic Health Services) โครงสร้างและการจัดการบริการอย่างนั้น ดูจะสามารถสนองตอบต่อการแก้ปัญหาความจำเป็นด้านสุขภาพในยุคนั้นได้ดีทีเดียว ไอ้ไม่พอที่จะตายก็รอด เราลดอัตราการตายก่อนวัยอันควรได้ชัดเจน บุคลการทางการแพทย์และสาธารณสุขนับว่าเก่งมาก ทำงานกันไปในกลุ่มแพทย์และสาธารณสุข ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุขขับเคลื่อนในการแก้ปัญหา ช่วยให้คนอยู่รอดจนแก่ เดินไม่ไหวต้องเลื้อยไปก็มาก
สาถึงตอนนี้ เราก็ต้องถามว่า ปริมาณชีวิตที่เพิ่มขึ้นนั้น เราได้คิดเพิ่มคุณภาพชีวิตด้วยหรือเปล่า? เราเข้าสู่ยุคที่ผู้ป่วยต้องการรับการดูแลในระยะยาว (Long Term Care) มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคติดเชื้อหรือโรคไม่ติดต่อที่สำคัญ สมัยนี้วัณโรคก็ดื้อยา เอดส์เป็นโรคติดเชื้อแต่รักษายังไม่หาย ไข้เลือดออก โรคท้องร่วง ก็ระบาดกันทั้งปี มาลาเรียก็ทำท่าจะกลับมาเป็นปัญหาใหม่ ซ้ำร้าย คนแก่ต้องนอนติดเตียงก็เพิ่มขึ้น เด็กหนุ่มสาวที่ต้องพิการจากอุบัติเหตุก็เพิ่มขึ้น แถมยังไม่รู้ว่าจะมีโรคใหม่ๆอะไรจะเกิดขึ้นมาอีก อย่าลืมนะว่า ปัญหาที่เราห่วงๆกันเรื่องโลกร้อน มันไม่ได้กระทบเฉพาะกับคนนะ Biology of Disease ก็เปลี่ยนไปด้วย
โจทย์ที่เราต้องแสวงหาคำตอบสำหรับ CUP Manager ก็คือการแสวงหารูปแบบการบริหารจัดการที่ยึดกระบวนการแก้ปัญหาของประชาชนเป็นหลัก จะเป็นรูปแบบใด มีกลไกอะไรบ้างที่จะทำให้เกิดลักษณะที่เป็น Comprehensiveness มีความต่อเนื่อง (Continuity) เป็นที่พึ่งและสามารถรับผิดชอบต่อการแก้ปัญหาของผู้ที่มีปัญหาความจำเป็นได้ ((Accountability) มีการจัดบริการที่มีคุณภาพ (Quality) ฯลฯ
ถึงตอนนี้ ผู้บริหารก็ต้องมีกรอบของลักษณะบริการที่ดี ไว้ในใจ ตั้งแต่ Availability, Accessibility ที่มองในแง่ Geographical, Cutural (Acceptability), Affordability, Quality, Continuity จะเอาแนวคิดทฤษฎีของใครก็ไม่หนีกันหรอก Common sense นะ จินตนาการดูในฐานะที่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา เราอยากได้บริการที่มีคุณลักษณะใด จำได้ไหม ที่เราระดมความคิดกันว่า ทำอย่างไรไม่ให้คนมาใช้บริการ คำตอบที่ได้มี 2 กระแสหลัก กระแสแรก ต้องทำให้เขาประนามบริการของเราว่า "ห่วยแตก" กระแสที่สอง ต้องทำให้ชาวบ้านแข็งแรง ไม่ต้องพึ่งพิงบริการ จากคำตอบนี้ เราก็เห็นว่า การจะพัฒนาระบบบริการของเราต้องทำคู่กัน คือพัฒนาในระบบบริการของเราเอง โดยการลดสภาพการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา เช่น หน้างอ รอนาน บริการไม่สะดวก แก้ปัญหาเขาไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้ เป็นการ React ต่อสภาพการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา โดยความพยายามในการลด ละ เลิก (Fix-it problem solving) สิ่งที่เป็นลบ หรืออาจเรียกว่า Reactive Problem solving ในขณะเดียวกันเราก็คิดเชิงบวก เชิงรุก (Proactive Problem Solving) คือต้องสร้าง (Do-it Problem Solving) สร้างให้ประชาชนแข็งแรง ก็ไม่ต้องใช้บริการเมื่อไม่จำเป็น ไอ้ประเด็นนี้แหละที่เราต้องคิดกันต่อ ว่าจะทำอย่างไร? จะเริ่มต้นอย่างไรที่ PCU?
เลอะเทอะอีกแล้ว ตั้งใจจะเขียนอย่าง เขียนออกมาอีกอย่าง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จะนำเสนออะไรต้องมีการทำแผนที่ความคิดไว้ก่อน ลองเอา Mind map มา Map ประเด็นสำคัญในข้อคิดเห็นเหล่านี้ดูทีนะ
เอ๊ากลับมาดูประเด็นว่าเราจะต้องทำอย่างไร? ย้อนกลับไปที่เรายกเรื่องการแก้ปัญหาข้างต้น เราต้องลดปัจจัยลบ และต้องเพิ่มปัจจัยบวก
คำถามก็คือ จะให้อาตมาทำยังไงโว๊ย จะให้เป็นทศกัณฐ์หรือไง? คนก็มีแค่นี้ งานก็ท่วมหัว จะเอาโน่น เอานี่ เงินจัดสรรมาก็เหมือนดูดไอติม กว่าจะมาถึงฉันก็เกือบเหลือแต่ไม้? จริงหรือป่าว หรือยังไม่ทันคิดก็บ่นแล้ว?
อย่านะอย่ามาว่าฉานนะ ฉานรู้นะว่าคิดอะไรอยู่ กำลังคิดใช่ไหมละว่า อาจารย์ก็พูดได้ซิ พูดตามทฤษฎี ลองมาทำดูซิ ฯลฯ
เอาละไม่ต้องเถียงกัน ไม่ต้องท้อ เราต้องคิดว่าเราทำได้ก่อน จำครู แอ๋ว พูดได้ไหมละ ต้องเริ่มจากเราต้องคิดว่าเราทำได้ เราจะได้คิดต่อว่าจะทำอย่างไร แต่ถ่าคิดว่าเราทำไม่ได้ มันก็ง่ายไป เพราะไม่ต้องคิดต่อ ปัญญาก็หด อย่าเพิ่งท้อนะ อย่าลืมว่า "หากไม่มีก้าวแรก ก็จะไม่มีก้าวที่สอง"
เชื่อฉาน อย่าหลงไปเชื่อใคร ฉานเชื่อว่าพวกเราทำได้ เรามาช่วยกันคิดต่อนะ
ลองคิดดูไปก่อนก็ได้ว่า ที่ PCU เรามีผู้ป่วยเข้ามา เราจะทำอย่างไร เรียนรู้และจัดการความรู้ให้เป็น จะสามารถ Identify case for action ในระดับครอบครัวและชุมชน และสามารถวางแผนต่อไปได้ ไปดูงานก็เห็นว่า แผนทีเดินดินก็มี ผังเครือญาติก็มี Family Folder ก็มี แถมยังเอาข้อมูลมา Plot map ดูการกระจาย ทำได้น่ารัก ถามว่าเคยที่ทำๆนะเอาไว้โชว์คนดูงาน หรือเอามาแปลความหมายเพื่อจะดูให้เห็นแบบแผนของปัญหาเชื่อมโยงถึงครอบครัวและชุมชน สามารถประเมินปัจจัยเสี่ยงทั้งในแง่พฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม ตรงนี้เราต้องเอาความรู้ด้านระบาดวิทยาคลินิกมาใช้ประกอบเพื่อการจัดการความรู้ด้วย จากนั้นจะนำไปสู่การ ระบุปัญหา และ Identify case for Action เราสามารถใช้ข้อมูลที่ได้มาปะติดปะต่อ เป็น Community Syndrome ได้ฯลฯ เอาไว้เจอกัน เรามาแลกเปลี่ยนกันต่อนะ
คิดถึง
ชนินทร์