ฟังชื่อเรื่องแล้ววันนี้มาแนวไสยศาสตร์ยังไงก็ไม่รู้นะ(ตอนนี้กระแสมาแรง) ซึ่งปกติ counselor อย่างดิฉันก็เป็นแนววิทยาศาสตร์ (ที่ไม่เก่งวิทยาศาสตร์) อยู่แล้ว แต่เมื่อมาต้องเจอกุมารทอง(เขาว่ากันอย่างนั้นนะ) แล้วอะไรจะเกิดขึ้น...โปรดติดตามนะคะ...
ตอนที่1. จัดการกับสิ่งที่เรียกว่า.....ค้างคาใจ เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้ขึ้นไปตึกอายุรกรรม # หลายครั้งเพื่อให้การปรึกษาผู้ป่วยเอดส์เพศชาย อายุ 23 ปี ซึ่งมีปัญหาเป็นโรคแทรกซ้อนหลายโรค ร่างกายก็ผ่ายผอมเอามากๆเสียด้วย เข้าขั้น Advanced AIDS บางวันอาการดีขึ้น บางวันก็ทรุดลง ที่เกิดปัญหาเช่นนี้เพราะหนุ่มคนนี้มีพฤติกรรมที่ทำให้ครอบครัวแสนจะปวดหัว และอืมระอา ตั้งแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ขโมยเงินแม่ ประชดแม่ด้วยการไม่กินยา บางทีก็แอบทิ้งยา ทั้งรักษาวัณโรคและยาต้านไวรัส....แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หนุ่มน้อยคนนี้ก็อยากหายจากโรค ไม่ใช่ “หายจากโลก” นะคะเพราะหนุ่มคนนี้บอกว่า “กลัวตาย”
ทั้งหลายทั้งปวงทำให้แม่ผู้ป่วยเครียดมาก ด้วยกลัวว่าลูก(คนเดียว)ของเธอจะเสียชีวิต ซึ่งเป็นธรรมดาที่แม่ทุกคนจะรักลูก ญาติผู้ป่วยเคยเล่าว่าแม่ของผู้ป่วยเป็นร่างทรงของกุมารทอง เวลามาเยี่ยมลูก เคยมาส่งเสียงร้องกรี๊ดๆลั่นตึก เป็นที่ตกใจของผู้ป่วยและญาติเตียงอื่นๆกันหมด ทำให้ญาติรู้สึกอับอายจึงไม่อยากให้มาเยี่ยม
บ่ายวันนึง ดิฉันขึ้นไปดูผู้ป่วยตามปกติ ผู้ป่วยบ่นว่าถูกทอดทิ้งเหมือนคนไข้อนาถา ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย โดยญาติแอบบอกดิฉันว่า ตั้งใจไม่มาสักพักเมื่อดัด...เอ้อไม่ใช่...แก้นิสัยที่ผู้ป่วยไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการรักษาเลย....ซึ่งวิธีนี้ก็ไม่ได้ผล ดิฉันให้เขาได้ประเมินผลดี/ผลเสียของการรักษา และไม่รักษา ตลอดจนการปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อสุภาพตัวเขาเอง...ก็ไม่ได้ผลเหมือนกันเช่นกัน (ประเภทอยากหาย...แต่ขี้เกียจรักษา)ผู้ป่วยเริ่มร้องไห้บอกว่า “คิดถึงแม่มาก”และ “อยากกอดแม่ สักครั้ง ”และ “อยากบอกว่า รักแม่ ” อยากให้ดิฉันโทรติดต่อแม่ให้หน่อย ดิฉันเห็นว่าสุขภาพเขาก็ไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าเกิดเสียชีวิตไปโดยไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องการ หรือได้พบแม่ ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าค้างคาใจ ทั้งตัวผู้ป่วย,แม่ของเขา,และตัวดิฉันที่ทำหน้าที่ให้การปรึกษา(ซึ่งปกติก็ไม่ชอบค้างคาใจกับใครเสียด้วยซิ) ดิฉันก็ใจอ่อน(ตามประสาคนเป็นแม่คนนึง) หลังลงจากตึกผู้ป่วยดิฉันรีบโทรติดต่อแม่ของเขา โดยได้คำตอบว่าอีก 2 วันจะมาเยี่ยม ขอจัดการธุระก่อน ซึ่งผู้ป่วยก็รับรู้
และแล้ววันที่รอคอยของผู้ป่วย/ดิฉัน ก็มาถึง ตอนเที่ยง ญาติมาหาและอยากให้ดิฉันขึ้นไปคุยกับแม่ผู้ป่วยหน่อย เพราะเห็นลูกไม่ดีขึ้นแล้วเครียดมาก แนะนำให้มาปรึกษากับดิฉันก็ไม่ยอมมา ซึ่งcounselor เราๆจะรู้ดีว่าถ้าผู้รับบริการไม่พร้อมจะคุย เราจะไม่เข้าไปหา หรือไม่ยัดเยียดให้ในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ...เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดการต่อต้านขึ้น ซึ่งไม่ได้ประโยชน์สำหรับใคร....
มาติดตามและให้กำลังใจครับ
ผมเองเคยทำงานในหน้าที่ เข้าใจสถานการณ์ที่เล่ามาครับ
งานมีคุณค่าและใช้พลังในตัวเองสูงมากครับ การเล่าเรื่องที่แทรกความรู้เข้าไปแบบนี้น่าสนใจมากๆครับผม
ให้สีสวยดีค่ะ น่าอ่าน