วันแรกในประเทศจีน


หังโจว,หางโจว

**** หมายเหตุในการบันทึกเรื่องราวผมจะขออนุญาตบันทึกโดยใช้การเดินทางครั้งแรกเป็นหลัก เพราะมีการจดบันทึกไว้ค่อนข้างละเอียด ส่วนในครั้งที่สองจะนำมาเสริมเติมแต่ง ในส่วนที่ไม่เหมือน หรือมีความแตกต่างจากครั้งแรก ****และบางครั้งจะต้องอาศัยรูปภาพจากเว็บอื่นๆมาประกอบด้วย เพราะตัวเองไม่ได้ถ่ายไว้ ก็ขอขอบคุณทุกเว็บที่มีรูปนะครับ*****

สนามบินผู่ตง

วันแรกของการเดินทางออกนอกประเทศ เราเดินทางถึงสนามบินผู่ตง ของนครเซี่ยงไฮ้ในช่วงเช้า ก็สักประมาณ 6.00 น. สนามบินผู่ตงนี้เป็นสนามบินค่อนข้างใหญ่ รูปร่างน่าตาก็เหมือนกับสนามบินสุวรรณภูมิของเราเอามากๆ แต่ที่แน่ๆเขาเปิดก่อนสุวรรณภูมิของเราหลายปี และเมื่อกลับไปครั้งนี้ก็มีการต่อขยายออกไปอีกมาก

สนามบินผู่ตง

กรรมวิธีการเข้าเมืองบริษัททัวร์จะจัดเตรียมกรอกเอกสารให้เราค่อนข้างจะพร้อม เช่น เอกสารเกี่ยวกับทางด้านการตรวจโรคและฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นด่านแรกที่เราจะต้องเดินผ่านเครื่องตรวจอุณหภูมิของร่างกาย ว่าเป็นไข้หรือเปล่า เขากลัวเราจะเอาไข้หวัดนกไประบาดในประเทศเขา หลังจากนั้นก็จะต้องไปผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งจะใช้เวลานานสักหน่อยเพราะเจ้าหน้าที่จะจ้องหน้าเรานานมากว่าเหมือนกันรูปในพาสปอร์ตหรือเปล่า เมื่อประทับตราตรวจคนเข้าเมืองให้แล้ว ก็ไปผ่านด่านพิธีการทางศุลกากร ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากมาย เพราะเราไม่มีอะไรจะต้องแสดง แต่ที่น่าชมเชยกว่าสนามบินของไทยก็คือ ก่อนจะพ้นประตูออกไปจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจกระเป๋า ว่าตรงกับเอกสารการเช็คอินหรือไม่ เพื่อป้องกันการหยิบกระเป๋าของคนอื่นไปโดยเจตนา หรือไม่เจตนาก็แล้วแต่ หลังจากนั้นเราก็จะเจอกับไกด์ชาวจีนที่มาคอยรับคณะของเรา  ซึ่งก็จัดแจงแบ่งคณะของเราขึ้นรถทัวร์สองคัน ออกเดินทางในทันที โดยในวันแรกที่เราถึงเซี่ยงไฮ้ก็จะยังไม่พักที่เซี่ยงไฮ้ แต่จะเดินทางไปเมืองหังโจว ก่อนออกเดินทางไปเมืองหังโจว ทางทัวร์จะแวะให้เรารับประทานอาหารเช้าแถวๆชานเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะเป็นอาหารง่ายๆที่จัดตามแบบอาหารเช้าในโรงแรมทั่วๆไป แต่ก็จะมีอาหารที่แปลกออกไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไอ้เจ้าอาหารลูกกลมๆหน้าตาเหมือนกับลูกชิ้นปลาบ้านเรามากๆ แต่พอตักมากินดันกลายเป็นมันชนิดหนึ่งไปได้

อาหารเช้า 

คณะของเรายังไม่ค่อยจะใส่ใจกับอาหารมากนัก เพราะเพิ่งถูกปลุกให้ลุกขึ้นมากินอาหารเช้าบนเครื่องบินเมื่อประมาณตีสามกว่าๆ ประกอบกับหลังจากลงเครื่องบิน ก็ไม่ได้เข้าห้องน้ำห้องท่ากันเลย อาการปั่นป่วนในท้องมันก็มีเยอะ  หลังจากนั้นเราก็เริ่มออกเดินทางสู่เมืองหังโจว โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง และคุณไกด์ชาวจีนก็พยายามที่จะบรรยายอะไรต่อมิอะไรให้เราฟังไปตลอดทาง จนเห็นว่าลูกทัวร์หลับกันซะเป็นส่วนมาก จึงเงียบเสียงและหลับตามลูกทัวร์ไปในที่สุด ในระหว่างการเดินทางคุณไกด์จะจอดให้เราทำธุระส่วนตัว โดยจะพยายามเลือกจอดในจุดที่มีห้องน้ำห้องท่าสะอาด สะดวกสบาย และแน่ละถ้าเป็นร้านขายของได้ยิ่งดี คราวนี้คุณไกด์พาพวกเราแวะร้านขายดอกเก๊กฮวย ซึ่งระหว่างการเดินทางคุณไกด์ก็จะพยายามสร้างภาพให้เรามองสองข้างทางชี้ชวนให้ดูไร่เก๊กฮวย ว่าเป็นเก๊กฮวยที่มีคุณภาพดีที่สุดในประเทศจีน และการเก็บเก๊กฮวยนั้นจะต้องเก็บตอนเป็นดอกตูมๆอยู่ เพราะคุณค่าของดอกเก๊กฮวยจะอยู่ที่เกสรภายในดอก หากเก็บตอนดอกบาน(ยกตัวอย่างซะด้วย เช่นเก๊กฮวยที่ขายอยู่ในเมืองไทย) จะไม่มีสรรพคุณใดเหลืออยู่แล้ว (แต่ก็ยังมีประโยชน์ในการการไปใช้ในกิจการสปานะ) เมื่อรถจอดแล้วใครจะเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวก็ดำเนินการให้เรียบร้อย หลังจากนั้นลูกทัวร์ทั้งหมดก็จะถูกกวาดต้อน ให้เข้าไปในห้องฟังการบรรยายเกี่ยวกับสรรพคุณของดอกเก๊กฮวย จบท้ายด้วยการเสนอขายพร้อมกับการลดราคาและการแจกแบบมีโปรโมชั่นจูงใจลูกค้า อ้า กว่าจะสึกตัวก็หอบหิ้วดอกเก๊กฮวยกันพะรุงพะรังเสียแล้ว พร้อมๆกับถามตัวเองว่าตูซื้อมาทำไมวะหลังจากหมดเงินหมดทองกับการจับจ่ายใช้สอยไปพอเป็นพิธีกรรมการเปิดกระเป๋าช็อบปิ้งกันแล้ว การเดินทางสู่เมืองหังโจก็เริ่มต่อไป จนเกือบประมาณเที่ยงๆ เราก็เดินทางเข้าเขตเมืองหังโจว กิจกรรมแรกก็เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของอาหารการกิน(อีกแล้ว) คราวนี้ได้มีโอกาสลิ้มรสเบียร์ท้องถิ่นด้วย แต่อย่างว่าเมืองจีนเป็นเมืองหนาว ดังนั้นบรรดาน้ำทั้งหลายจึงไม่นิยมแช่เย็น (ซึ่งก็รวมเบียร์ด้วย) ไปครั้งแรกไปกันในช่วงหน้าฝน ไม่หนาวเท่าไหร่ก็เลยขอน้ำแข็ง มาใส่ให้กินชื่นใจไม่เบา แต่ไปครั้งที่สองไปหน้าหนาว แค่น้ำปกติก็เย็นชื่นใจแล้ว น้ำแข็งไม่ต้อง  เพราะขืนใส่น้ำแข็งอีกสงสัยปากจะแข็งตามแน่นอนหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ การกินอาหารกลางวันกันแล้ว คณะของเราก็ออกเดินทางต่อไปเยี่ยมชมเขตเมืองเก่าของหังโจว ซึ่งเขตนี้เป็นบริเวณที่รัฐบาลอนุรักษ์ไว้ให้คงสภาพเมืองแบบเมืองโบราณ

เมืองโบราณ 

จัดเป็นลักษณะแบบถนนคนเดิน ขายของแบบโบราณ

เมืองเก่า 

สภาพบ้านเรือนยังเป็นแบบห้องแถวไม้(แบบที่เคยเห็นในหนังจีนกำลังภายในแบบนั้นแหละ) มีการทำมาค้าขายด้วยสินค้าพื้นเมือง และกิจกรรมแบบสมัยโบราณ เช่น เอาตาชั่งขนาดยักษ์มาชั่งน้ำหนักนักท่องเที่ยว

ชั่งน้ำหนักแบบโบราณ 

ขายขนมและของกินโบราณ ขายสินค้าที่ระลึก เป็นต้น

จักรยานดับเพลิงในเขตเมืองเก่า 

ซึ่งไกด์ปล่อยให้เราเดินชมและซื้อสินค้ากันสักพัก ก็กวาดต้อนพวกเราขึ้นรถเพื่อให้เดินทางไปนั่งเรือล่องทะเลสาบซีหู ซึ่งการไปล่องทะเลสอบนั้นเนื่องจากบริเวณที่จะขึ้นเรืออยู่ไกลจากที่จอดรถพอสมควร คณะทัวร์จะต้องเดินด้วยเท้าไปท่ามกลางฝนพร่ำๆ และอากาศอันค่อนข้างจะหนาว(อ้อ อย่างที่บอกไงเอาสองครั้งมารวมกัน ครั้งแรกไปหน้าฝน ครั้งที่สองไปหน้าหนาว) การล่องเรือในทะเลสาบซีหูจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที ไปครั้งแรกเรือที่นำเราล่องทะเลสาบจะลำค่อนข้างใหญ่สามารถรับพวกเราได้ทั้งหมด ทางไกด์จะแนะนำเราว่า ให้สังเกตุเรือที่ลอ่งทะเลสาบให้ดี จะมีอยู่สองประเภท

เรือท่องทะเลสาบซีหู 

คือเรือขนาดใหญ่ใช้เครื่องยนต์ แต่เครื่องยนต์จะใช้พลังงานแบตเตอรี่ ไม่อนุญาตให้ใช้น้ำมันโดยเด็ดขาด เพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่ให้มีคาบน้ำมันไหลลงสู่ทะเลสาบ (ถามกันแล้วแบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นแบบที่ใช้กับเรือดำน้ำ มีราคาค่อนข้างแพง เปลี่ยนกันครั้งหนึ่งก็ต้องใช้เงินประมาณหนึ่งล้านหยวนหรือห้าล้านบาทไทย แต่เขาว่าคุ้มเพราะป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษในทะเลสาบได้ และที่สำคัญคือกิจการเดินเรือรับนักท่องเที่ยวในทะเลสาบทั้งหมดเป็นของรัฐบาล ครับ)

 เรือพายในทะเลสาบ

กับเรืออีกประเภทหนึ่งเป็นเรือขนาดเล็กใช้โล้ (พายแบบคนจีนนะ) สำหรับรับนักท่องเที่ยวที่เป็นครอบครัวหรือกลุ่มเล็กๆ นั่งจิบน้ำชา(จีบกันด้วยแหละ) ชมความงามของทะเลสาบ และความงามของต้นหลิวริมทะเลสาบหลังจากล่องทะเลสาบเป็นที่สนุกสนานสำราญบานใจกันแล้ว โปรแกรมการท่องเที่ยวของเราก็ยังไม่เสร็จสิ้นนะครับ เราถูกกวาดต้อนให้ขึ้นรถเพื่อไปดูการผลิตใบชาชั้นยอดของจีนที่เรียกกันว่า

ลอดอุโมงค์ก่อนเข้าหมู่บ้านชา 

ใบชาหลงจิ่ง เมื่อไปถึงบริษัทที่ขายชาขั้นตอนแรกก็จะชมการคั่วใบชาที่จะคั่วในกระทะซึ่งใช้เตาถ่านและใช้การคั่วด้วยมือของมนุษย์(ถึงว่ามันถึงมีรสชาติดี ไม่มีที่ติ)

การคั่วใบชาด้วยมือ 

โดยมีหลักการคำนวณว่า ใบชาสดสี่กิโลกรัม เมื่อคั่วจนได้ที่แล้วจะเหลือเพียงหนึ่งกิโลกรัม และในการคั่วจะมีการใช้น้ำมันชโลมกระทะด้วย แต่เมื่อคั่วจนแห้งแล้วเอาใบชาใส่ในน้ำหรือน้ำร้อนจะไม่มีน้ำมันเป็นคาบออกมาให้เห็น ทางคนทำชาก็บอกว่า เพราะใบชามีสรรพคุณที่วิเศษอยู่อย่างหนึ่งก็คือซึมซับไขมันได้ดี ดังนั้นจึงมักจะบอกกล่าวว่าใบชาช่วยลดไขมัน(ความอ้วน)ได้เคล็ดวิชาของชาจีน อยู่ที่คนจีนส่วนใหญ่จะนิยมดื่มชาเขียว ไม่นิยมดื่มชาแดง(ตามร้านขายก๋วยเตี๋ยวแบบบ้านเรา) สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ไกด์บอกว่าในสมัยก่อนที่พวกฝรั่งมายึดครองเมืองจีน แล้วก็กินชาจีนจนเกิดติดอกติดใจ เวลาจะเดินทางกลับประเทศก็ขนใบชาใส่ถังกลับไปด้วย แต่ในสมัยก่อนการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องเดินทางด้วยเรือ ทำให้ใบชาที่เก็บไว้ในถังเกิดการหมักดอง จนถึงประเทศก็นำใบชาออกตากเลยกลายเป็นชาแดงๆที่เรากิน(ตามฝรั่ง) สำหรับคนจีนแล้วต้องกินชาเขียว และชาเขียวชั้นดีต้องเด็ดเพียงยอดอ่อนที่มีใบแต่สามใบ เหมือนรูปนกกระจอกบินเท่านั้น หลังจากชมการคั่วใบชาเสร็จก็จะต้อน(รับ)คณะที่เดินทางมาในห้องบรรยายพิเศษ ซึ่งจะมีสาวๆเสียงดีมาบรรยายเป็นภาษาจีน โดยมีไกด์ช่วยแปลเป็นภาษาไทย พร้อมกันสาธิตการชงชาที่ถูกวิธี กล่าวคือเมื่อเอาใบชาใส่ในแก้วแล้ว แจกให้ทุกคนวางไว้ตรงหน้าโดยยังไม่มีการเทน้ำร้อนใส่ หลังจากฟังบรรยายสรรพคุณกันไปสักพัก เจ้าหน้าที่หนุ่มๆก็จะถือกาน้ำร้อนมา  แล้วก็เทน้ำร้อนใส่ในถ้วยชาแต่ละถ้วยเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ผู้กินชาได้กินของใบชาก่อน หลังจากนั้นจึงจะเติมน้ำร้อนลงในแก้วอีก สามครั้ง (เขาบอกว่าต้องเทสามครั้งเพื่อเป็นการคารวะ หรือคำนับ หรือให้เกียรติแก่แขกที่มาเยี่ยมเยียน หากเราพอใจการคารวะของเขาก็ให้ใช้นิ้วเคาะโต๊ะสามครั้งเช่นกัน) สาเหตุที่การชงชาครั้งแรกจะเทน้ำร้อนใส่ในแก้วเพียงเล็กน้อยก่อน แล้วทิ้งไว้สักพักให้สูดกลิ่นหอมของชา แล้วจึงเติมน้ำร้อนอีกนั้น ผู้เชียวชาญบอกว่า การชงชาเขียวจะให้ได้รสชาติที่สุด จะต้องชงที่อุณหภูมิ 85 องศา และเมื่อชงชาเขียวแล้วต้องไม่ปิดฝาถ้วยชาด้วยนะ

การรินน้ำชา 

 คุณภาพของชาเขียวตามที่ฟังการบรรยายผ่านไกด์ก็คือ ช่วยละลายไขมัน ลดความอ้วน ลดความดัน ลดเบาหวาน ป้องกันมะเร็ง แต่ไอ้ที่สรรพคุณเยอะแยะนะราคาก็สูงตามไปด้วย คือกระป๋องละประมาณ 200 หยวน หรือ 1,000 บาทไทยเชียวละ หลังจากฟังการบรรยายกินน้ำชากันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เป็นการเปิดการขาย เริ่มด้วยการข่มขู่ก่อนว่าถ้าไปซื้อข้างนอก อาจไม่ได้ของแท้ และราคาอาจจะแพงกว่าที่นี่ พร้อมกับสาธิตการบรรจุใส่กระป๋องแบบอัดแน่นเป็นพิเศษให้แขกที่มาเยี่ยมชมดู และเปิดโปรโมชั่นพิเศษ ซื้อกระป๋องใหญ่ สามแถมกระป๋องเล็กหนึ่งกระป๋อง ฮ่า รายการควักกระเป๋าอีกแล้ว การแสดงแสงสี

และรายการสุดท้ายของวันนี้ก็คือการเข้าชมการแสดงสมัยราชวงศ์ซง ซึ่งสถานที่จะจำลองเป็นเมืองโบราณ มีบ้านเรือนราษฎร ร้านค้าขายสินค้าและอาหาร ให้กับนักท่องเที่ยว มีให้เช่าชุดจีนโบราณถ่ายรูป มีรถม้า ม้า ไว้บริการ

 เมืองโบราณ

และที่เป็นไฮไลท์จริงๆ ก็คือการแสดงในโรงละคร ซึ่งจะเป็นการแสดงละครบ้าง การร่ายรำบ้าง หรือการแสดงกายกรรมบ้าง แต่ที่แน่ๆคือการแสดงชุดหนึ่งที่ในฉากมีฝนตก และบริเวณที่นั่งของผู้ชมก็จะมีฝนตกตามไปด้วย เป็นแบบมีส่วนร่วมจริงๆ นอกจากนี้การแสดงจะยิ่งใหญ่จะตระการตาด้วย แสงเสียง โดยเฉพาะแสงเลเซอร์ที่สร้างบรรยากาศได้สวยสดงดงาม น่าเสียดายที่การถ่ายรูปการแสดงไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ เพราะเกรงใจผู้ชม

การแสดงในโรงละคร

จบการแสดงก็เป็นการไปแวะรับประทานอาหารและเข้าโรงแรมที่พัก เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และที่แน่ๆเลย ตั้งแต่ออกเดินทางจากประเทศไทย ยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าเข้าห้องน้ำห้องท่ากันเลยตั้งแต่เช้าจนเย็นสำหรับการเดินทางครั้งแรกไม่เท่าไหร่ เพราะคณะออกเดินทางตอนเย็นจากสงขลา แต่การเดินทางครั้งที่สองนี่ซิ คณะทั้งหมดต้องเข้ารับการอบรมตั้งแต่เช้าเย็นก็ขึ้นเครื่อง นั่นก็หมายความว่า สองวันแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำอาบท่ากัน ชักเริ่มจะเหม็นตัวเองขึ้นมาแล้วซิ 

เพื่อนร่วทคณะ ปลัดเทศบาลทั้งนั้น

หมายเลขบันทึก: 102482เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2007 15:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 14:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท