ที่จริงหัวข้อของตอนนี้น่าจะให้ชื่อว่า "เรียนรู้จากพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ม.มหิดล ประจำปี 2548" เพราะผมได้เรียนรู้มากจากการนั่งสังเกตพิธีทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายของวันที่ 6 ก.ค.49 ได้นั่งคุยกับท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ศ. นพ. พรชัย มาตังคสมบัติ ซึ่งเป็นคนสมองดี ความจำดีเยี่ยมและมีความรู้กว้างขวางมาก
รูปที่เห็นการตกแต่งเวทีชัดที่สุด ถ่ายกับ ศ. นพ. ศรีประสิทธิ์ บุญวิสุทธิ์
- สิ่งแรกคือการจัดตกแต่งเวที ที่ให้ความรู้สึกสง่า สะอาด สงบ น่าประทับใจมาก
- เป็นพิธีรับปริญญาที่ผู้เข้าร่วมพิธีไม่เหงาเลย
ไม่รู้สึกว่าต้องรอเพราะแม้จะต้องเข้านั่งประจำที่ก่อนเวลาพิธีพระราชทานกว่าชั่วโมง
แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าต้องรอ
เพราะมีวงดนตรีเครื่องสายฝรั่งบรรเลงอย่างไพเราะ
มีนักร้อง (เป็นนักศึกษา) ระดับได้รับรางวัล
มาร้องเพลงให้ฟัง เพลง The Sound of Music เพราะมาก
- ปริญญาบัตรมีขนาดเล็กกว่าสมัยก่อน
ผมปรารภประเด็นนี้ต่อท่านอธิการบดีพรชัย
ท่านอธิบายว่าเป็นความจงใจเพื่อลดน้ำหนัก
มีเป้าหมายเพื่อลดภาระในการยกน้ำหนักขององค์พระราชทาน
-
มหาวิทยาลัยมหิดลมีครุยสำหรับอาจารย์และกรรมการสภาเหมือนกันหมด
ทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
กรรมการสภาติดตรามหาวิทยาลัย 2 ข้างอก
อาจารย์ติดข้างเดียว
นายกสภากับอธิการบดีมีสังวาลย์คล้องไหล่ด้วย
- ผมได้เห็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่พระเป็นครั้งแรก
โดยเขาจัดให้พระ (13 รูป) มานั่งรอบนปะรำยกพื้น
ตอนพระราชทานมีผ้าวางบนโต๊ะเตี้ย ๆ สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ
เสด็จมาทรงวางใบปริญญาบัตรบนผ้าโดยที่พระยืนถือชายผ้าด้านหนึ่งไว้แล้วพระปล่อยผ้า
หยิบปริญญาบัตรไป
- เป็นพิธีที่มีพระภิกษุ 5 รูปสวดชยันโตอยู่ตลอดเวลา
ผมนั่งอยู่ในพิธีบอกตัวเองว่าพระเหนื่อยกว่าเราเยอะ
เราอ่านรายงานถวาย 2 - 3 นาทีแล้วก็ได้นั่งเฉย
ๆ ได้มีเวลาสังเกตเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
ในรายละเอียด แต่พระ 5 รูปต้องสวดตลอดเวลา 2
ชั่วโมงตอนเช้า และ 2 ชั่วโมงตอนบ่าย
- ปีนี้สมเด็จองค์ประธานฉลองพระองค์ครุยปริญญาพยาบาล
- ผมสังเกตว่าบัณฑิตหญิงบางคนถอนสายบัว
บางคนโค้งคำนับ
ท่านอธิการบดีพรชัยอธิบายว่าคนที่สวมชุดปกติขาวถือเป็นชุดราชการ
จะทำความเคารพโดยการโค้งคำนับ
เฉพาะคนที่ไม่แต่งชุดราชการเท่านั้นที่ถอนสายบัว
- เขาตัดการอ่านชื่อ นาย นาง นางสาว ออกหมด
รวมทั้งการโค้งคำนับก็ทำเพียง 2 จังหวะ
เพื่อทำให้การเข้ารับพระราชทานเร็วขึ้น เขาบอกว่าความเร็วนาทีละ 28
คน
- ที่นั่งนายกสภาติดกับกองทัพช่างกล้อง
มีคนแซวว่าให้เป็นผู้คุมทีมช่างกล้อง
ผมชองกล้องถ่ายรูปอยู่แล้วจึงเดินสังเกต
เห็นว่าเขาใช้กล้อง Nikon F4 และ F3 (เกือบทั้งหมดเป็น F4)
วางบนขาตั้งรวม 8 ตัวและมีสำรองอีก 3 ตัว
ใช้ฟิล์มฟูจิชนิด ASA400 เขาถ่ายพร้อมกัน 2 กล้อง
ใช้สายลั่นชัตเตอร์
-
ผมนึกเปรียบเทียบกับประสบการณ์สมัยกว่ายี่สิบปีก่อนที่ผมต้องไปนั่งเป็นพระอันดับสมัยเป็นรองอธิการบดี
มอ. หรือไปอ่านรายชื่อบัณฑิตสมัยเป็นคณบดี
พบว่าสมัยนี้สบายกว่ามากเพราะแอร์เย็น
แม้จะสวมชุดปกติขาวคลุมด้วยครุยก็ไม่มีปัญหาเหงื่อแตก
คืออุณหภูมิเย็นสบาย
-
มีการซักซ้อมบัณฑิตให้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถวายตอนเสด็จกลับ
ไพเราะ มีพลังและซึ้งใจมาก
ผมยิ่งซึ้งเมื่อเห็นแววตาบัณฑิตที่มองตามสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ
ด้วยใบหน้ายิ้มละไมและแววตาปลาบปลื้มเทอดทูน
ถ่ายกับผู้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ครุยชมพู ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ศ. พญ. อนงค์ เพียรกิจกรรม และ ศ. นพ. ดิเรก จุลชาต
รับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ
พิธีถวายปริญญาแก่พระภิกษุ
วิจารณ์ พานิช
8 ก.ค.49
ขอบพระคุณท่านอาจารวิจารณ์เป็นอย่างสูง สำหรับบันทึกในมุมมองที่เราจะหาฟังได้ยากค่ะ ตัวเองเคยนึกเสมอว่า อยากรู้จริงๆว่าคนแต่ละคนในพิธีแบบนี้คิดอย่างไร โดยเฉพาะคนใหญ่ๆโตๆ
โดยปกติแล้วเป็นคนแอนตี้พิธีการเป็นอย่างมาก และพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตลอดชีวิตขอรับปริญญาเดียวจากพระหัตถ์ของในหลวง ซึ่งถือว่านั่นคือพิธีที่คุ้มค่าที่สุด และมีความประทับใจอย่างใหญ่หลวง ส่วนปริญญาอื่นๆไม่เคยคิดจะเข้าพิธีอีกเลยค่ะ
ขอบพระคุณจริงๆค่ะ อาจารย์