นำมาเกริ่น ฉายให้เห็นเป็นตัวอย่างครับ“..................เมื่อครัวเรือน หมู่บ้าน เรียนรู้ต่อเนื่องแต่และรุ่นเป็นเวลา 4 ปี หรือเมื่อครบ 6 ปี ในระยะเวลาของโครงการนี้แล้ว ก็จะทำให้กระบวนการเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่ฝังลึกในครัวเรือน ในหมู่บ้าน ในที่สุดจะเป็นครัวเรือนหมู่บ้านที่เข้มแข็ง สมบูรณ์ (มีการพัฒนาครอบคลุมครบถ้วน รอบด้าน) และเมื่อกระบวนการนี้สืบทอดไปสู่เยาวชนคนหนุ่มสาว ก็จะทำให้เป็นชุมชนที่สามารถเข้มแข็งสมบูรณ์อยู่ได้นานๆ หรือเรียกว่าเป็นชุมชนที่พัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นชุมชนอินทรีย์ที่มีชีวิตชีวาด้วยการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต เปรียบเสมือนไม้ยืนต้นที่ฝังรากลึกยึดแน่นติดดิน ไม่ล้ม ได้ง่ายๆ แผ่กิ่งก้านสาขา เมื่อรวมกันเป็นป่าใหญ่ก็จะมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงมั่นคง เช่นเดียวกันกับครัวเรือนหมู่บ้านที่มีความเป็นอินทรีย์มารวมตัวกัน ก็จะกลายเป็นสังคมใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกัน เมื่อถูกกระทบด้วยกระแสใดๆก็จะไม่ทำให้เสียกระบวนได้ง่ายๆ เมื่อได้ดำเนินการอย่างนี้แล้ววิสัยทัศน์ของจังหวัดที่ว่า นครศรีธรรมราชเมืองแห่งการเรียนรู้ เมืองเกษตรและท่องเที่ยวน่าอยู่ สู่สังคมที่พัฒนาอย่างยั่งยืน ก็จะเกิดขึ้น……”
เรียนคุณหมอนนนทลี แห่งเพื่อนร่วมทาง
ถ้าว่านครศรีธรรมราชน่าอยู่ แสดงว่าแนวคิดเรื่องชุมชนอินทรีย์ น่าจะถูกทางแล้วใช่ไหมครับคุณหมอ หวั่นกันว่างบซีอีโอถูกตัดให้ทุกจังหวัดเหลือจังหวัดละ 10 ล้านบาท จะทำให้โครงการนี้สะดุด ผู้ว่าฯได้เรียกประชุมหัวหน้าส่วนฯ(วงคุณเอื้อจังหวัด)และแจ้งว่าใส่ให้ KM แก้จน 3 ล้านบาท บวกกับงบประจำของแต่ละหน่วยงานทำอีก 600 หมู่บ้านในปี 2550 ทุกหน่วยงานแฮปปี้ได้เดินงานชุมชนอินทรีย์ต่อ อย่างไงก็เลิกแนวคิดชุมชนอินทรีย์ KM Inside บรรดาเหล่าคุณเอื้อจังหวัดนครศรีฯไม่ได้แล้ว คุณหมอคงจะเพิ่มความอิจฉามากขึ้นไปอีกก็ได้...(หัวเราะ.....ขำขำๆ ...ครับ)