การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ที่มักมีการตั้งคำถามกันว่า สมัยนั้น สมัยนี้ประเทศไทยเรามีอาณาเขตถึงไหนบ้าง? คำถามอย่างนี้อาจมีผลดีในแง่การสร้างความภูมิใจเชิงชาตินิยม การสอนแบบนี้มักมีทั้งที่ทำให้เยาวชนไทยรู้สึกฮึกเหิมภาคภูมิใจ มีทั้งชิงชังชนชาติศัตรูที่เคยเอาชนะเราได้ในประวัติศาสตร์ และย่อมมีบ้างที่มีทัศนะในทางลบในยามที่บ้านเมืองตกต่ำในอดีต
การเหยียดหยันเยาะเย้ยชาติที่ด้อยกว่า การเคียดแค้นชิงชังชาติที่เคยชนะเรา มีส่วนอย่างมากต่อการคิด การทำ การวางตัวตนของเราในปัจจุบัน ไม่รู้จบสิ้น...
น้อยนักที่ครูจะสอนนักเรียนว่า รัฐชาติ ที่มีประเทศนั้นประเทศนี้ หรือชาตินั้นชาตินี้ มีมาไม่นานมานี่เอง การปลดปล่อยประชาชาติเล็ก ๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การล่มสลายของรัฐศักดินาเจ้านครหลายแห่ง การตกลงเป็นสนธิสัญญายอมรับอำนาจในดินแดนของมหาอำนาจนักล่าเมืองขึ้นด้วยกันเอง หรือกับชนชาติพื้นเมืองเดิม จนกลายเป็นรัฐ หรือประเทศต่าง ๆ ในปัจจุบัน ราวไม่เกิน100 ปี มานี้
ผมได้อ่านบทความกึ่งรายงานเรื่อง กรุงศรีอยุธยา "มรดกโลก" ในเพลงเล่าประวัติศาสตร์ ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2550 คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม หน้า 34 ซึ่งได้ยกเนื้อหาเพลงต่าง ๆ มาแสดงไว้ โดยกล่าวนำว่า
"วงดุริยางค์สากลซิมโฟนีออเครสตรา ของกรมศิลปากร กำลังสร้างเพลงดนตรีเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ไทยในสุวรรณภูมิ มีเนื้อหาแตกต่างจากที่ หลวงวิจิตรวาทกร เคยใช้ได้ผลมาแล้ว จะคัดเนื้อร้องเล่าเรื่องบางเพลงที่เกี่ยวข้องกับอยุธยามาให้อ่านก่อนดังนี้"
ในบทรายงานได้ลงเนื้อหาเพลงดังกล่าวจำนวน 8 เพลง คือเพลงกรุงศรีอยุธยา เพลงชิงช้า เพลงไทยรบพม่า เพลงชักว่าว เพลงธรรมิกราช เพลงจันทน์เกษม เพลงคนไทย และเพลงไล่น้ำ
มีอยู่เพลงหนึ่งคือเพลงไทยรบพม่า ผมเห็นว่ามีเนื้อหาชัดเจนที่ทำให้เรามองเห็นเส้นแบ่ง หรือจุดที่ใกล้กันของ "รัฐชาติ" กับ "รัฐของเจ้าผู้ครองนคร" ได้ดี คือเพลง "ไทยรบพม่า" ทำนอง กราวนอก ส่วนผู้ประพันธ์คำร้องมิได้บอกไว้ มีบทร้องว่า
1) ประวัติศาสตร์แห่งชาติราชวงศ์ กับสงครามไทยรบพม่า ล้วนรักชาติขาดดิ้นสิ้นชีวา ชาติไทยชาติพม่าฆ่ากัน
2) อนิจจังครั้งนั้นโบราณราช รัฐชาติยังไม่เกิดเฉิดฉันท์ ชาติพม่ายังไม่มีมาตีรัน ชาติไทยทั้งนั้นก็ไม่มี
3) ที่มีทุกย่านคือบ้านเมือง รุ่งเรืองร่วงโรยตามถิ่นที่ เมืองใครเมืองมันตรงนั้นนี้ ต่างมีราชาชูเคารพ
4) หากราชาเมืองนี้กับเมืองนั้น ขัดกันก็สงครามตามขนบ เพียงหงสากับอยุธยารบ ไทยรบพม่านั้นไม่มี.
น่าสังเกตุว่าในท่อนที่ 3 "เมืองใครเมืองมันตรงนั้นนี้ ต่างมีราชาชูเคารพ" สามารถทำความเข้าใจร่วมได้ว่า ความเป็น "ปึกแผ่น" ของบ้านเมืองในประวัติศาสตร์ของเรามีลักษณะเป็น "สห" ของกันและกัน โดยมีสิ่งผูกพันธ์ต่อเมืองหลวงในลักษณะ ส่วย บรรณาการประจำปี การยกกำลังช่วยรบยามสงคราม ส่วนเวลาปกติ ต่างเมืองต่างปกครอง
เพลงนี้มีเนื้อหาที่ชวนขบคิด ชวนสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ อาจมีทั้งคนที่ชอบเนื้อหาแนวนี้ และไม่ชอบก็ได้ ผมว่าชวนคิดชวนคุยมากครับ...
สวัสดีครับ
นครรัฐโบราณ ล้วนมีการปฏิสัมพันธ์กันครับ ลูกสาวเมืองนี้ไปเป็นแม่เมืองโน้น เกี่ยวพันทางสายเลือดกันมาครับ แต่บางครั้งก็ขัดแย้งรบพุ่งกัน
ผมนึกถึงนิยายที่คุณ กฤษณา อโศกสิน เปรียบเทียบไว้เป็นชื่อของนิยายอิงประวัติสาสตร์เรื่องนั้นว่า
เวียงแว่นฟ้า
แต่ละเมืองมีอิสระต่อกันแต่อยู่ร่วมกัน
ขอบคุณครับ
ขอแสดงความเห็นนะครับ
ตอนเรียนกฎหมายระหว่างประเทศ(ป.ตรี) ท่านอาจารย์บรรยายในชั้นเรียนว่าหากพิเคราะห์ถึงคำว่ารัฐชาติแล้วเราเสียกรุงให้พม่าเพียงครั้งเดียว คือใน พ.ศ. ๒๑๑๒ โดยมีสมเด็จพระเนรศวรเป็นองค์ประกาศอิสระภาพ โดยไม่รวมว่าการที่พม่าเข้าเผากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมราชากษัตริย์บวรสุจริต (พระเจ้าเอกทัศน์) เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ เนื่องจากในครั้งหลังเราเพียงแต่แพ้สงครามโดยพม่าไม่ได้เข้าครอบครองอีกทั้งยังไม่มีอำนาจเหนือดินแดนทั้งหมดของอาณาจักรอยุธยา (เข้าครอบครองเมืองหลวงไว้ได้เท่านั้น)
เห็นได้จากเมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อปี ๒๓๑๐ หัวเมืองต่างๆล้วนประกาศตนเป็นอิสระไม่ขึ้นต่ออำนาจส่วนกลางอีกต่อไปรวมได้ ๕ ชุมนุม (ไม่นับสุกี้พระนายกองที่ดูแลกรุงศรีอยุธยา) และพระเจ้ามังระก็ไม่ติดใจที่จะไปกวาดล้างบรรดาหัวเมืองที่แข็งเมืองให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของด้วย
...พอรับฟังได้ไหมครับ
นอต
เพียงหงสากับอยุธยารบ ไทยรบพม่านั้นไม่มี.
ชอบตรงนี้จังครับ ในอดีตที่เราไม่เคยแบ่งแยกอาณาเขต ไทย ลาว เขมร พม่า ก็ไปมาหาสู่กันฉันพี่น้องแต่พอผู้ใหญ่รบกัน หญ้าแพรกก็แหลกราญทุกที...
สวัสดีครับท่านอัยการ
เพลงนี้ดีตรงที่กล้าเขียนเนื้อหาอย่างนี้ ถ้าเป็นสมัยคลั่งชาติแบบไม่ลืมหูลืมตา คงมีอะไรหรือไม่ครับท่าน
หญ้าแพรก หรือคนไทยโบราณ นี่คุณภาพชีวิตคงลำบากนะครับ ไหนจะโรคภัยไข้เจ็บ การเกณฑ์แรงงาน เกณฑ์ทัพ โจรผู้ร้าย ทำมาหากินส่วนตนและครอบครัว
ขอบคุณครับผม
แหม
ขนาดผมอยู่กรมศิลปากร
ยังไม่เคยได้ฟังเพลงนี้เลยนะครับนี่
คุณครูชาคะ
ด้วยความอ่อนด้อยในความรู้ด้านประวัติศาสตร์ อ๋อจึงขอสารภาพว่าอ่านบันทึกครูชาแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างค่ะ แต่ก็จะพยายามเรียนรู้นะคะ
นึกถึงคนไข้ทำฟันท่านหนึ่ง ท่านเป็นอดีตอธิบดีกรมศิลปากร คุณลุงนิคม มูสิกะคามะ หากท่านยังมีชีวิตอยู่ อ๋อคงได้พูดคุยขอความรู้จากท่านบ้าง ช่วงที่ท่านมาทำฟันก็คุยกันแต่เรื่องการเมืองค่ะ เรื่องที่น่าจะคุยเพื่อหาความรู้มากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กับผู้รู้ตัวจริงก็ไม่ได้คุย
ขอเรียนประวัติศาสตร์กับบันทึกครูชาไม่ให้เสียโอกาสอีกนะคะ
อ๋อ
เรียน คุณครูชาและทุกท่านครับ
ผมเข้าใจว่า เพลงนี้ผู้แต่งอยากจะบอกพวกเราว่า "อย่านำปัจจุบันไปกำหนดอดีต" ไม่อย่างนั้น จะกลายเป็น "คนคลั่งชาติขาดสติ"
ขอบคุณครับ
เรียน คุณครูชา ครับ
ผมยังไม่ได้สมัคร
แต่ติดตามเรียนรู้จาก Blog Gotoknow อยู่เสมอครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับคุณพี่ผมเป็นหนึ่งคนที่สนใจวิชาประวัติศาสตร์มากถึงจะไม่ได้เรียนโดยตรง แต่ก็ยังพอรู้อยู่บ้างครับ วันนี้ดีใจที่ได้อ่านงานของคนที่สนใจในเรื่องเดียวกันอย่างคุณพี่และอยากให้คนรุ่นใหม่สนใสเหมือนกันแต่ยากหน่อยพระกระแส (ต่าง)ชาตินิยมมันแรงเหลือเกิน
การรวมชาติอย่าสงเป็นทางการของไทยการกำหนดอานาเขตที่แน่นอนนั้นเพิ่งมีในสมัยร.4 นี้เองครับ ทรงให้ชาวต่างชาติมาทำแผ่นที่ให้เห็นแล้วอยากบอกว่าใหญ่มาก แต่เนื่องด้วยการล่าอานานิคมของชาติตะวันตกไทยเลยต้องแบ่งดินแดนไปมากในช่วงร.5 ถึงยังไงเราก็ยังมีที่ซุกหัวกันอยู่ แต่ถ้าเราไม่รักษ์อผ่นดินให้มากไปกว่าปากหรืออย่างน้อยๆเท่ากับที่เราพูดมีหวังว่าไม่มีแผ่นดินให้ลูกหลานแน่ ทุกวันนี้เราก็เกือบจะตกเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมเกาหลี ญี่ปุ่นและชาติตะวันตกกันเกือบหมดแล้ว
แล้วผมจะแวะเวียนเข้ามาอ่านบ่อยๆครับ
ด้วยความเคารพ
โอม
สวัสดีค่ะ
...ดีทีเดียวค่ะ ...เป็นประเด็นให้คนคิดถึงประวัติศาตร์ และให้รักกัน(อย่าทะเลาะกัน) และรักชาติไทยมากขึ้น ขอบคุณค่ะ
มาช้าไปหน่อย
อณาเขตแผ่นดินประเทศ ล้วนเป็นเขตแบ่งของผลประโยชน์
ธรรมชาติไม่เคยแบ่งแยกเขตแดน
ดีใจมากครับ มาขออนุญาตินำบทความดีๆไปรวมครับ ขอบคุณมากครับ
ยอดมาก ผมว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นครับ
เราน่าจะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ ตีความหมายตามความน่าจะเป็น น่าจะดีกว่าการเขียนเพื่อสร้างชาตินิยม
เรื่องนี้ท่านบรมครู จิตร ภูมิศักดิ์ ก็แจงไว้ดีมาก ว่าขนาดอยุธยาก็มิได้เป็นอาณาจักรที่ถาวร แต่ศูนย์อำนาจก็ย้ายไปมาตามราชวงศ์ที่ครองอำนาจ และมีเมืองสำคัญๆ มากมาย อยุธยาเป็นเพียงเมืองหนึ่งเท่านั้น และใช้เป็นสัญญลักษณ์ในการเรียก "ยุค" เท่านั้น
แต่ประวัติศาสตร์ก็พยายามเน้นความยิ่งใหญ่ของอยุธยาจนลืม เมืองอื่นๆที่สำคัญไม่น้อยเหมือนกัน
ผมว่าเมืองไทยก็ไม่น่าจะต่างจากสามก๊กเท่าไหร่ครับ
ธรรมชาติไม่เคยแบ่งแยกเขตแดน"
น่าคิดตามดีแท้ครับ ผมคิดตามว่า "หลายภูมิภาคในโลกประชาชนท้องถิ่นถูกกลืนวัฒนธรรม เพราะไปอยู่ในเขตแดน ที่ถูกแบ่งตามเหตุผลที่ท่านกล่าวถึง บ้างยินดีถูกกลืน(ลืมชาติตน) บ้างไม่อยากถูกกลืน"
ขอบคุณมากครับ