สุรามาเป็นระยะๆ
ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยดื่มเหล้า ไม่ถึงกับขี้เมา แต่ก็เมาเกือบทุกครั้งที่ดื่ม - -'' (ส่วนบุหรี่ก็เลิกสูบตั้งแต่สมัยเรียนเนื่องจากคำขอของพ่อ) มาดื่มเยอะๆก็ตอนช่วงเรียนปวส. ที่เราคิดว่าเป็นสังคมของผู้ใหญ่ รุ่นพี่เกือบจะทุกคนดื่มกันหมด หลังการรับน้องก็เลยกลายเป็นสังคมอีกสังคมหนึ่ง เทคโนฯภาคใต้สมัยนั้นยังถือว่ามีการรับน้องที่โหดและถึงมหาโหดอยู่ มีการแบ่งเป็นแผนกๆ แต่ละแผนกก็มีเรื่องกันบ่อยครั้ง เสียงปืนที่ดังอยู่เกือบทุกเดือนกลายเป็นเรื่องปกติ ขนาดมีป้อมตำรวจมาตั้งอยู่หน้ามหาลัยก็ช่วยอะไรไม่ได้ คณะอาจารย์และผู้เกี่ยวข้องก็จนปัญญาที่จะแก้ ทำได้มากสุดก็คือระงับและป้องกันข้อพิพาท ดีที่เราอยู่ในแผนกที่ถือว่าเรียบร้อยที่สุดของสายช่าง แต่ก็เป็นเสือซ่อนเล็บที่ใช่ว่าจะมีใครรังแกกันได้ง่ายๆ
โฉมหน้าจอมโจร Robin Hood
เนื่องจากชื่อเสีย...งของเราที่มีมาแต่อดีต จึงไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย แต่ละแผนกจึงกัดกันเอง การรับน้องที่มีตลอดเทอมแรก จึงถือเป็นการล้างสมองเลยที่เดียว แต่ก็มีข้อดีตรงที่ภายในแผนกเดียวกันจะรักกัน และภายในคณะเดียวกันจะมี่ค่อยมีเรื่องกัน และล้างความเห็นแก่ตัวที่มีในเด็กที่เราเรียกกันว่าเด็กเมืองได้เยอะทีเดียว (อนาคตอาจจะต้องแก้ปัญหาด้วยการให้อาจารย์มารับน้องด้วยตนเอง)
เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขก็ยังเป็นเพื่อนตายอยู่เสมอ
ถึงเด็กเทคโนฯจะดื่มเหล้า แต่การเรียนก็ไม่เคยเป็นรองใคร เป็นการเกาะกลุ่มกันที่เหนียวแน่น พฤติกรรมการดื่มเหล้าส่วนใหญ่ในตอนวัยรุ่นจะเป็นสังคมของเพื่อนฝูงและการเลี้ยงสังสรรค์ในโอกาศต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการเมาแบบไม่เมาไม่เลิก... ดื่มเพื่อต้องการเมา หลังเรียนจบพฤติกรรมเช่นนั้นก็ยังฝังหัวพวกเราอยู่ แต่แปรเปลี่ยนเป็นการดื่มกินเพื่อพักผ่อนยามเลิกงาน และการพบปะสังสรรค์... ดื่มเพื่อหลับสบาย...
คนดื่มเหล้าไม่ได้แปลว่าเป็นคนไม่ดี?
เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ติดเหล้า และนานๆถึงดื่มครั้ง (ประมาณเดือนละ 3-4ครั้ง) ความถี่ของการดื่มจะขึ้นอยู่กับอารมณ์ส่วนตัวและอารมณ์ร่วม มีเหมือนกันที่อารมณ์ร่วมมีบ่อย แต่จะดื่มในปริมาณน้อยในลักษณะของเพื่อนร่วมวง
ในตอนนั้นเราก็คิดว่า ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยการดื่มเหล้า เราไม่ได้ก่อความเดือดร้อนให้ใคร เราควบคุมการดื่มของเราไม่ให้เมาได้ ซึ่งมีลักษณะของ คนเมาไม่ยอมรับว่าตนเมา และคนผิดไม่ยอมรับว่าตนผิด หากมีใครบอกว่าเหล้ามันไม่ดีอย่าไปดื่มมันเลย เราก็จะเกิดอาการต่อต้านและใช้ข้ออ้างแบบข้างๆคูๆ เช่น
เมื่อไม่รู้ว่าไม่ดี หลงคิดไปว่ามันดี จึงไม่มีใครคิดจะลด ละ เลิก
โชคดีในโชคร้าย
ปกติก็ไม่ได้เป็นคนเลวอะไรหรอก แค่ไม่ใช่คนดีเท่านั้นเอง หลังจากพบกับความทุกข์หนักๆในชีวิต เสมือนเป็นการชักนำให้เข้ามาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง(โชคดีในโชคร้าย) ไม่งั้นก็คงจะเป็นประเภทใกล้เกลือกินด่างไปตลอดชีวิต หากเกิดมาแล้วเสียชาติเกิด ก็นับว่าน่าเสียดายโอกาศอันหายากนี้ (โอกาศการเกิดเป็นมนุษย์ = 0.00ซ้ำแบบไม่จำกัด...01 %) นับได้ว่าพอจะมีบุญอยู่บ้างที่ได้เกิดมา
เปลี่ยนเพียงข้ามคืน
โชคดีของผมอีกอย่างก็คือ การได้อยู่ไกล้พระปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากที่กลับจากงานสีดำ หลวงปู่ได้ถามผมว่า เราดื่มเหล้ามาใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ครับ(แปลกใจที่ท่านทราบ) ท่านจึงเตือนว่าเขาจะลงโทษแล้วนะ ให้หยุดดื่มซะ ผมก็คิดในใจไปว่าเราก็ไม่ได้ดื่มเยอะจนเมานี่นา ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย หลังจากนั้นหลวงปู่จึงเสกน้ำมนต์ให้ดื่ม และบอกว่าหลังจากดื่มแล้วจะเหม็นสุราเหม็นกาแฟจนดื่มไม่ได้ ผมเองในฐานะที่ขัดท่านไม่ได้จึงต้องยอมดื่มในที่สุด ก่อนออกมา หลวงปู่ยังพูดอีกว่า อยากให้เพื่อนเลิกดื่มเหล้าไหม ถ้าอยากให้เอาน้ำมนต์ไปให้เพื่อนดื่ม ด้วยความที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งและเกรงว่าเพื่อนจะไม่ยอมดื่มหรือไม่กล้าดื่มจึงไม่ได้หยิบน้ำมนต์นั้นมาด้วย
ศีลห้าดีอย่างนี้เอง
หลังจากคืนนั้น ผมก็ไม่ดื่มเหล้าอีกต่อไปแม้สักหยดเดียวส่วนกาแฟก็ไม่ดื่มเลยเช่นกัน เป็นที่น่าแปลกคือเราจะไม่รู้สึกเหม็นอย่างที่ท่านบอกแต่อย่างใด แต่ความหมายของท่านน่าจะเป็นความเหม็นในจิตใจที่มีกำลังให้เราไม่ดื่มอีกต่อไป
หลังจากเลิกดื่มสุราอย่างเด็ดขาดมาได้ประมาณสองเดือน ผมเองจึงเริ่มที่จะเห็นข้อดีอย่างมากของการรักษาศีลข้อห้า เป็นข้อดีของคนที่ยังดื่มสุราอยู่ ไม่มีวันได้สัมผัส......... สมองปรอดโปร่ง ร่างกายสดชื่น รู้สึกยังกะคนที่มีวิชาตัวเบาเลยที่เดียว '(^------------^)'
สุราคือภรรยาใจร้ายอย่างไร
คุณเคยรู้สึกเสียดายเวลา และทรัพย์สินเงินทองที่ต้องสูญเสียไปเมื่อเราทุ่มเทให้กับใครสักคน หลังจากที่เลิกกับแฟนหรือตอนที่อกหักไหม?
จากนั้นก็จะเห็นข้อเสียของแฟน ตามมาหลอกหลอนมากมาย (เมียจะทิ้ง รถจะขาย ไม่มีอะไรดีสักอย่าง) พร้อมกับ บ่นกับตัวเองว่า ตูไม่น่าโง่ไปหลงรักมันเลย......
นั่นเป็นอาการหนึ่งของคนที่สามารถเลิกสุราเลิกยาเสพติดได้อย่างเด็ดขาด หากเรายังดื่มอยู่บ้างแม้จะนานๆครั้งก็ตาม เราก็ยังหลงคิดไปว่าเป็นสิ่งดี(ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายอะไร)อยู่เสมอไป... ต้องเลิกกันก่อนถึงจะหายตาบอด
รวบยอดประสบการณ์
หากเทียบปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษากับสังคมของเราแล้ว จะพบว่า
= เด็กๆที่เป็นลูกค้าเป้าหมายของ บ.สุรา
= ปัญหาความเสื่อมทรามของสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
= ค่านิยมที่ผิดๆของสังคม(งานสังสรรค์ และทุกงานตั้งแต่
งานเกิด งานแต่ง งานบวช งานตาย ต้องมีสุรา)
= การส่งเสริมทางการตลาดของผู้ผลิตและจำหน่ายสุรา,
ตัวอย่างที่ไม่ดีของผู้ใหญ่
= การเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหา และงดการโฆษณาของ
บ.เหล้าเบียร์ มาตรการเยียวยา
= การปลูกฝังค่านิยมใหม่ ให้กับสังคม มาตรการป้องกัน
เราจะเห็นว่าปัญหาถูกแก้ไขให้คลี่คลายไปในทางที่ดีได้ แต่สำหรับปัญหาสังคมแล้ว ต้องเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหา ทั้งป้องกันและเยียวยา อาศัยทั้งเวลาและพลังของความดี จึงจะนำพาประเทศชาติให้สมกับที่เรียกว่า การ"พัฒนา"อย่างแท้จริง
แต่ประการแรก เราต้องหันมายอมรับความจริงที่ว่า
ประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ? มีศีลห้าระบุไว้ในศาสนา แต่คนไทยกลับดื่มเหล้าเป็นอันดับ ห้า ของโลก หลายๆอย่างติดอันดับโลก เลวระดับโลก
หากไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ ก็เหมือนกับคนที่หลอกตัวเอง ที่ไม่กล้าเปิดใจยอมรับผิด(รับแต่ชอบ) พอชาวต่างชาติพูดว่าเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านโสเภณีและยาเสพติดฯลฯ เราก็โกรธกันเป็นฟืนเป็นไฟ
หากไม่ยอมรับความจริงแล้ว จะแก้ปัญหาตามที่มันเกิดตามจริงได้อย่างไร มันเหมือนกับคนเมาที่ไม่ยอมรับว่าตนเองเมาใช่ไหม?