เรื่องของ ... คนสามคน


ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริงๆ
คนสามคน
ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
     หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า

  
"ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อยๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ "
  หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า

  "เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น  คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริงๆลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา

  "คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ "

  "มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์  จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้"

  "อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉยๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้นถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร "

  "สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน  คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล "

  " แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อยๆ "     ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา

  " เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา  เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ  ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่  เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร  มีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม"

  "เข้าใจครับ"
         
                   ที่มา : e-mail จากเพื่อนผู้หวังดีครับ
หมายเลขบันทึก: 106879เขียนเมื่อ 28 มิถุนายน 2007 05:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:13 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

สรุปแล้วคนแรกนั่นแหละคือตัวเราไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตัวเราจะรู้ดีที่สุดไม่ว่าชั่วหรือดีและสิ่งที่สำคัญที่สุดความจริงก็คือความจริงสุดสิ่งในดลกนี้อยู่ที่ใจตนเองนั่นแหละสำคัญที่สุด จริงไหมครับอาจารย์

   ขอบคุณอาจารย์  Handy  มากค่ะ

    นำเรื่องดี ๆ มาแบ่งปันกัน ทำให้ได้แง่คิดของการใช้ชีวิตที่ดีคะ ขอบคุณมากนะค่ะ

เมื่อวันนี้นี่เอง  มีคนใกล้ชิดคนหนึ่ง  เธอเป็นอาจารย์  และเธอเป็นคนบ้างาน  เธอไม่ชอบนินทาใคร  ฉะนั้นหน้าที่การงานเธอเลยกระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็ว  จนเพื่อไม่ยอมรับเข้ากลุ่ม

แค่ไม่ยอมรับยังไม่พอ  ยังกระแนะกระแหน  ว่าเธอได้ดีแล้วลืมเพื่อน  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอพยายามทำดีกับเพื่อนแต่เพื่อนไม่ไยดี

ผมก็ให้คำปรึกษาทำนองว่า  หากเราคิดว่าเราทำดี  ทำเพื่อองค์กร  คนที่ตัดสินผลงานก็คือหัวหน้าเรา  เขาเป็นหัวหน้าเขาย่อมมีวิสัยทัศน์มากกว่า  ที่เขาเลื่อนตำแหน่งให้เราก็เพราะเขาเห็นความสามารถเรา

ทีนี้เมื่อเรารู้ว่าเราทำถูกต้อง  จะไปสนใจใครหน้าไหน  ถ้าเพื่อนคนอื่นๆ มัวแต่นั่งนินทากัน  เบียดบังงบประมาณของรัฐที่ได้มาจากภาษีประชาชน  เขาไม่คบก็อย่าไปคบ  ระหว่างคนกับธรรมถ้าต้องเลือกก็ต้องเลือกธรรม (แต่ก็ไม่อยากให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)   หากมัวแต่ตามใจคนอื่นก็ตามใจกันตาย  เพราะคนเราเปลี่ยนใจได้ทุกวัน  วันละหลายๆ ครั้ง  ใครจะไปตามใจไหว  แล้วมีกันตั้งหลายคน

พวกทีี่เกาะกลุ่มนินทาคนอื่นเวลาว่างนั้น  พวกนี้เป็นคนอ่อนแอ  ควรสงสารเขา

อะไรทำนองนี้ครับ

ขอบคุณสำหรับนิทานดีๆ ครับ พี่บ่าว 

ขอบคุณ สำหรับนิทานเตือนสติดีๆ ค่ะ อาจารย์ ทำให้นึกถึงการทดสอบทางจิตวิทยาที่ให้เลือกสัตว์ที่ชอบ 3 ชนิดค่ะ
      ขอบพระคุณอาจารย์ handy มากครับ ที่นำนิทานดีๆ มาช่วยเตือนสติ

เป็นเรื่องราวดีๆๆ ในแง่คิดได้ดีมากมายเลยค่ะ

 ใช่ค่ะ คนสามคน

และ สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่เราเป็นอยู่

และ สำคัญกว่านั้น คือการยอมรับสิ่งที่เราเป็นอยู่

อย่างไร้เงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

ที่ยาก เพราะ คนที่ หนึ่ง สิ่งที่เราอยากเป็นหลายครั้งแรงมากๆ จนเรารับสิ่งที่เราเป็นอยู่จริงไม่ค่อยได้

 

ขอบคุณอาจารย์ค่ะ สำหรับเรื่องราวดีๆๆให้แง่คิดดีๆๆค่ะ

ขอขอบคุณทุกท่านครับ

  • ท่าน ผอ. kaytay ... เห็นด้วยตามที่บอกมาครับ
  • คุณ มะปรางเปรี้ยว ... พอรู้ว่า ทำให้ได้แง่คิดของการใช้ชีวิตที่ดี แค่นี้ก็พอใจมากแล้วครับ
  • น้องบ่าว ธรรมาวุธ .. ต่อยอดได้ยอด .. เยี่ยมครับ
  • paew Sensei .. เอ๊ะ ชักจะลืมไปแล้ว เรื่องมันยังไงนะครับ  การทดสอบทางจิตวิทยาที่ให้เลือกสัตว์ที่ชอบ 3 ชนิด
  • น้องชาย นาย สิงห์ป่าสัก .. ด้วยความยินดีครับ
  • คุณน้อง โอ๋-อโณ ... เราใจตรงกัน ค่ะ พี่ Handy .. ใช่แล้ว  แทบทุกเรื่องเลย นิ
  • คุณหมอ ซันซัน ... สำคัญกว่านั้น คือการยอมรับสิ่งที่เราเป็นอยู่ .. ใช่ครับ สำคัญมากเลย .. ทุกข์จะน้อยลงมากด้วยเหตุนี้

มัวแต่อยากเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ ----- ลืมคิดถึงคนอื่น

มัวแต่กลัวคนโน้นคนนี้ว่า ----- ลืมตัวเราเอง


ไม่สนใจทั้งเขา และ เรา  ------  นิพพาน (ทำได้ยากที่สุด)

ขอบคุณครับ ท่าน กุนซือรับจ้าง

  • ลืมตัวเราเอง  นั้นมี 2 ความหมายครับ
  • ลืม ชนิดหลงตัวเอง คิดอะไรก็วนเวียนแต่ ตัวฉัน  ของฉัน ... อันนี้อยู่ตรงกันข้ามกับฝั่ง "พระนิพพาน" ครับ
  • ลืม ชนิดไม่เห็นว่าตัวเองจะพิเศษกว่าใคร ที่ไหน ก็แค่ธุลีหนึ่งของจักรวาล เช่นเดียวกับคนอื่นๆ  แล้วทำหน้าที่จัดการอย่างถูกต้องกับตัวเองไปเรื่อยๆ .. อย่างนี้ น่าจะช่วยกันลืมให้มากยิ่งขึ้นครับ
      

อ่านครั้งแรก จาก หลวงตาโอ๋ ชอบ

อ่านครั้งที่สองจากหลวงตาแฮนดี้ ยิ่งเข้าใจ ลึกซึ้งขึ้น

ขอบคุณมากๆ นะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท