ชีวิตของยอด-2
โสภณ เปียสนิท
.............................
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ท)
เช้าขึ้นผมแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยแต่เช้า หยิบเงินที่แม่เตรียมไว้ให้ใส่กระเป๋า กินข้าวในครัวเงียบๆ ขณะที่แม่เตรียมข้าวของไว้ขายอยู่หน้าร้าน แต่ผมไม่ได้มุ่งตรงไปมหาวิทยาลัยโดยทันที ผมต้องไปรับเพื่อนคนนั้นคนนี้ใกล้บ้างไกลบ้าง เพื่อเดินทางไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน
พวกเรายังคงจับกลุ่มคุยกันที่ม้านั่งหน้าอาคารเรียน แม้ว่าจะเลยเวลาเรียนไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็ตาม จะรีบเข้าเรียนไปทำไมกัน ให้เรียนกันไปก่อนสักพักแล้วค่อยเข้าไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร อาจารย์ประจำวิชาตักเตือนก็ทำเฉยเสียบ้าง ทำท่าทีไม่พอใจบ้าง ไม่นานท่านก็จะระอาไปเอง เลิกเรียนแล้วชักชวนเพื่อนขับรถมอร์เตอร์ไซด์ไปเที่ยวกันสนุกสนาน เทอมแรกผลการเรียนของผมไม่น่าพอใจ ได้ A รายวิชาพลานามัย Cสองวิชา D+ สองวิชา D สองวิชา เอาละพออยู่ได้ตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องรีไทร์ในเทอมแรก
คิดเอาว่าเทอมที่สองนี่แหละจะเอาจริงสักที แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผีซาตานตนใดพาผมจมปลักอยู่กับกิจกรรมเดิมๆ ยามจะอ่านหนังสือ ท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษมันก็ให้รู้สึกเบื่อหน่ายเกินทนทาน ต้องออกไปนั่งมองคลื่นริมทะเลยามไม่เพื่อนอยู่ใกล้ เหงานักก็ไปหาเพื่อนคนโน้นคนนี้ เข้าเรียนบ้างไม่เรียนบ้างตามอารมณ์ เมื่อพฤติกรรมไม่เปลี่ยน ผลการเรียนก็ไม่เปลี่ยนเช่นกัน แค่สองเทอมแรก ผมถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก “เอาน่าไม่ต้องเสียใจ สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมชาติ”
มองหาเพื่อนร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน “อ้าว ทิ้งกันเสียแล้ว”ไม่เห็นมีใครถูกเชิญออกจากมหาวิทยาลัยเหมือนผมสักคน ไม่มีเหตุผลเสียเลย เล่นด้วยกัน เข้าห้องช้าด้วยกัน ขับรถมอร์เตอร์ไซด์เล่นด้วยกัน โดดเรียนด้วยกัน เราไปรับมาเรียนด้วยกัน แล้วไฉนปล่อยเราออกไปคนเดียว “ไม่เป็นไรปีหน้าจะสอบเข้าใหม่อีกครั้ง”
ปีการศึกษาใหม่ผมเป็นนักศึกษาใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกสำนึกได้ คราวนี้ต้องไม่ซ้ำรอยเดิมแน่ ผมตั้งปณิธาน แต่เพียงแค่สัปดาห์ผ่านไป ชีวิตของผมเหมือนลูกโบว์ลิ่งตกร่อง วิ่งตามทางเดิมจนได้ นั่งเหม่อมองทะเล คุยกับเพื่อนหน้าตึก ขับมอร์เตอร์ไซด์กินลม รับเพื่อนไปเที่ยวสถานบันเทิงยามมีเงิน ถามว่ารู้ไหมว่าจะถูกรีไทร์อีกครั้ง รู้แต่ว่ามันยั้งใจไม่อยู่ ผมต้องถูกคุณไสย์เข้าแน่ๆ
ครั้งนี้ผมเกือบจะไม่ต้องถูกรีไทร์อออกเสียแล้ว แต่ฟ้ายังเมตตาผมอยู่ เหตุการณ์ก็คือ เพื่อนผมเกิดขบเกลียวกับเพื่อนต่างคณะในฐานะคนรักเพื่อนผมต้องออกหน้า วันนั้นผมกับเพื่อนพากันไปยืนแอบตักคู่อริที่หน้าบันไดตึกของเขา เมื่อคู่อริมา ผมวิ่งไล่เตะต่อยจนมันล้มทั้งยืน ดีแต่ว่ามีคนอื่นห้ามปรามเอาไว้ก่อนจะมีการตายเกิดขึ้น
ผมและเพื่อนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนอย่างเคร่งเครียดนานหลายครั้ง แต่เหมือนโชคช่วย ผมรอดมาได้ไม่ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยด้วยความเมตตาของคณาจารย์ เพียงแค่ถูกทัณฑ์บนไว้ว่าห้ามทำอย่างนั้นอีก แต่มันก็ไม่ได้เป็นความผิดอะไรนักหนา แค่ผมช่วยเพื่อนรักเท่านั้น
แต่เมื่อผลการสอบสองเทอมออกมา เกรดเฉลี่ยรวมไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ผมจำต้องออกจากมหาวิทยาลัยอีกครั้ง มองหาเพื่อนเก่าปีแรก อ้าว พากันจบการศึกษาไปแล้ว เพื่อนใหม่ทยอยกันขึ้นไปเรียนปีสองกันแล้ว ผมคิดปลอบใจตัวเองว่า“ไม่เป็นไรเรียนหลายปีทำให้มีเพื่อนมาก ปีหน้าสอบเข้าใหม่อีกครั้ง”
ปีต่อมาผมตัดสินใจเข้าศึกษาหลักสูตร 4 ปี สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ แม้จะรู้ว่าการประพฤติตัวเช่นเดิมจะทำให้ผมต้องวนเวียนเรียนซ้ำชั้นมาสองรอบแล้ว แม้ว่าผมจะตั้งใจอย่างดี แต่ไม่นานนักความตั้งใจก็โอนอ่อนหย่อนคลายลงเหมือนเดิม ผมต้องทุกข์ทรมานผลักดันตนเองให้พ้นจากนิสัยเดิมๆ อย่างสุดกำลัง แต่นิสัยของผมไม่ให้ความร่วมมือกับผมโดยง่าย มันดื้อมันดิ้นจะกลับที่เก่าท่าเดียว ในที่สุดผมก็ชนะ จบปริญญาตรีจนได้ด้วยคะแนนเฉียดฉิว
แม้ว่าจะจบปริญญาตรีแต่กรรมของผมก็ยังไม่สิ้น เดินหางานจนรองเท้าสึก ฟังข่าวเพื่อนคนนั้นทำงานดีๆ ที่โน่นที่นี่แล้วดีใจไปกับเพื่อน ส่วนผมเองหางานไปเรื่อยไอ้ที่ได้ก็ไม่ดี ไอ้ที่ดีก็ไม่ได้ ในที่สุดได้งานเป็นบริกรในร้านอาหารแถวริมชายหาดแห่งหนึ่ง เพื่อนหลายคนถามว่าได้เงินเดือนเท่าไร ผมก็ได้แต่แกล้งยิ้มแล้วชวนคุยเรื่องอื่น ก่อนจบผมขอถามหน่อยว่า ผมควรแก้ไขชีวิตของผมเองในช่วงนั้นอย่างไรบ้าง
(บันทึกปี 2548)