PBL ย่อมาจาก Project-Based Learning ท่านสามารถเรียนรู้เรื่อง PBL ได้จาก YouTube ที่นี่ หรือจะค้นเรื่องมาอ่านก็ได้ที่นี่
PBL คือการเรียนโดยการลงมือปฏิบัติ หรือโดยการทำงานนั่นเอง โดยมักเป็นงานสมมติ ที่ครูออกแบบหรือตั้งคำถาม เพื่อให้นักเรียนลงมือค้นคว้าเอง โดยทำกันเป็นทีม แล้วนำเสนอเป็นชิ้นงานหรือผลงาน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ 21st Century Skills และได้เรียนอย่างสนุกสนาน น่าตื่นเต้นเร้าใจ โดยที่โจทย์จะต้องช่วยให้นักศึกษาทำโครงงานอย่างตื่นเต้นเร้าใจ
แทนที่จะเอากรณีสมมติมาให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเรียน เราสามารถเอาปัญหาจริงของชุมชนหรือสังคมมาให้นักศึกษาทำ ยิ่งเป็นปัญหาที่ชาวบ้านต้องการแก้ไขยิ่งดี ก็จะกลายเป็นว่า นักศึกษาเข้าไปทำงานรับใช้ชาวบ้านด้วย และได้เรียนรู้ทักษะสำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ด้วย และเรียนรู้วิชาให้แน่นขึ้นด้วย โดยอาจารย์ทำหน้าที่เป็นโค้ช และอาจมีโค้ชมาจากภายนอกมหาวิทยาลัยด้วย
กลายเป็นการทำงานจริงๆ – งานวิชาการรับใช้สังคมไทย
และเป็นการเรียนรู้ของนักศึกษาด้วย เกิดความมีชีวิตชีวาขึ้นในมหาวิทยาลัย
ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เขามีที่ดินกว้างขวางกว่า ๙ พันไร่ ใฝ่ฝันที่จะให้มีบรรยากาศเป็น "เมืองมหาวิทยาลัย" คือมีความคึกคักมีชีวิตชีวา ซึ่งหมายความว่าต้องมีกิจกรรม และมีผู้คนเข้าไปทำกิจกรรมร่วมกันทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
ผมฝัน (จินตนาการ) ว่าในกิจกรรม PBL ของนักศึกษา มีการรับงานจาก อบต. ๓ อบต. ในโจทย์เดียวกัน สมมติว่าเป็นเรื่องการลดปัญหาเด็กอ้วนในชุมชน อบต. ออกเงินให้มหาวิทยาลัยเข้าไปดำเนินการเป็นเวลา ๑ ปี จ่าย อบต. ละ ๑ แสนบาท มหาวิทยาลัยจัดให้เป็นโครงการ PBL ของนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ของคณะแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ และสาธารณสุขศาสตร์ ให้ทำงานร่วมกันเป็นเวลา ๑ ปี ให้ดำเนินการในวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุด โดยให้ นศ. และอาจารย์ที่เป็นโค้ช หรือ facilitator ตกลงเวลากันเอง รวมทั้งให้ออกแบบวิธีทำงานเองด้วย โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อครบ ๑ ปี เปอร์เซ็นต์ของเด็กอ้วนจะลดลงร้อยละ ๒๐ และชุมชนนั้นรู้วิธีแก้และป้องกันปัญหาด้วยตนเอง รวมทั้งให้เตรียมทำวิดีโอความยาวไม่เกิน ๒๐ นาทีเพื่อบอกเล่าวิธีป้องกันเด็กอ้วนในบริบทของสังคมไทย หากทีมใดผลงานดีจะได้รับการสนับสนุนให้ไปนำเสนอในเวทีที่เหมาะสมในประเทศหรือต่างประเทศ
ทีมที่ผลงานเข้าขั้น และมหาวิทยาลัยนำวิดีโอขึ้น YouTube ในนามของมหาวิทยาลัยจะได้รับการบันทึกผลงานใน transcript เพื่อเป็นเกียรติประวัติ
นักศึกษาที่ไปทำงานให้แต่ละ อบต. มี ๖ คน คือ ๒ คนจากแต่ละคณะ
มหาวิทยาลัยได้เจรจากับมูลนิธิสยามกัมมารวย ว่าทีมที่มีผลงานเด่นจะได้รับเกียรติไปนำเสนอในมหกรรมพลังเยาวชน
ผมฝันเห็นมีมหาวิทยาลัยเอาจินตนาการนี้ไปปัดฝุ่น ดัดแปลงและดำเนินการ และมีการจัดการกระตุ้นช่วยเหลือแบบที่ให้ทีม นศ. ช่วยเหลือตนเองให้มากๆ โดยอาจารย์ที่เป็นโค้ชช่วยแนะวิธีค้นหาความรู้สำหรับให้ทีมงานออกแบบการดำเนินการของตน โดยน่าจะแนะว่าจะคิดถึง อสม. ไหม จะไปปรึกษาสถานีอนามัยในท้องถิ่นอย่างไร จะมีการประกวดเด็กสุขภาพดีในตำบลไหม จะไปชวนครูบางคนมาร่วมเป็นทีมงานไหม ฯลฯ อาจารย์แค่แนะอยู่ห่างๆ โดยไม่เข้าไปทำให้
มหาวิทยาลัยมีงบประมาณ (จาก อบต.) ให้ ทีมงานใช้เพียง ๓ หมื่น สำหรับการทำงาน ๑๒ เดือน โดยนักศึกษาจะใช้เป็นค่าอะไรก็ได้ ที่เห็นว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สมควร และให้ทำบัญชีไว้ รวมทั้งเก็บหลักฐานการใช้จ่ายเงินที่มี ให้ตรวจสอบได้ โดยถือว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่งของการทำงานในศตวรรษที่ ๒๑ คือมีความยืดหยุ่นคล่องตัว แต่ต้องให้โปร่งใสตรวจสอบได้
มหาวิทยาลัยหวังว่า อาจารย์ที่ไปช่วยเป็นโค้ช จะคลุกคลีกับสมาชิก อบต. จนอาจรับทำงานวิจัยบางชิ้นให้แก่ อบต. ได้โจทย์วิจัย ทุนวิจัย และอาจได้ผลงานวิจัยตีพิมพ์ใน PLOT เป็นผลงานวิชาการรับใช้สังคมไทยที่มีคุณภาพสูง
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ธ.ค. ๕๓
ไม่มีความเห็น