เส้นทางเดินชีวิต...เราเลือกเองหรือใครกำหนด


วันนี้ได้เข้าร่วมกิจกรรมที่คุณเอื้อของเราได้มาประชาสัมพันธ์ไว้ที่บันทึก กายป่วย จิตเข้มแข็ง... สู่การสร้างสรรค์ศิลปะ ได้ฟังที่มาที่ไปของการเปลี่ยนวิถีชีวิต จากคุณหมอจริยา ไวศยารัทธ์ ซึ่งท่านเปลี่ยนวิกฤตในขณะที่ต้องพักจากการทำงานประจำ เพราะมีอาการป่วย หันเข้าหาดนตรี เล่นไวโอลิน ซึ่งผลจากการเอาจริงเอาจัง มีสมาธิฝึกหัดอย่างยาวนานในแต่ละวัน ทำให้อาการป่วยที่ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าครึ่งซีกที่ไม่ทำงานดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ ทั้งๆที่ได้รับการพยากรณ์โรคไว้ว่าจะใช้เวลานานหลายเดือน ความจริงเรื่องนี้น่าจะเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยอื่นๆด้วย (เสียดายไม่ได้ถามถึงประเด็นนี้ค่ะ)

ท่านเล่าให้ฟังว่า จากการเริ่มต้นตรงนี้ ทำให้ท่านได้มีส่วนร่วมกับการเล่นดนตรีของโรงพยาบาลนครปฐม กลายเป็นกิจกรรมที่สมานฉันท์บุคลากรในโรงพยาบาล ขยายไปถึงคนไข้ด้วย ที่โรงพยาบาลนี้มีจุดคาราโอเกะจัดไว้บริการคนไข้และญาติตั้งหลายจุด (ฟังแล้วอยากเห็นบรรยากาศมากเลยนะคะ) ท่านเปลี่ยนวิถีชีวิตจากที่เคยทำแต่งานพยา-ธิแพทย์ อ่านสไลด์ชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยโรค เลิกงานก็ไปทำคลีนิกแล้วก็กลับบ้าน มาเป็นใช้ชีวิตกับกิจกรรมที่เพิ่มสุนทรีย์ให้ชีวิต ทั้งแต่งโคลง กลอน เขียนบล็อกที่ Bloggang.com นอกจากนั้นก็เริ่มเล่นกล้อง และฝันต่อไปว่าจะเขียนนิยาย (ย้อนยุคและต้องมีกลับชาติไปมา...ฟังแล้วน่าจะสนุกนะคะ)  

คุณหมอมีเพื่อนเป็นคุณหมออีกท่านที่มาร่วมฟัง (ต้องขออภัยที่จับชื่อท่านไม่ทัน จะขอเอามาเพิ่มเติมทีหลังนะคะ) แล้วทั้ง 2 ท่านก็ต่างเปิดเผยความฝันที่ว่า อยากจะเขียนนิยายสักเรื่อง นอกจากนั้นคุณหมอผู้ชายยังเล่าด้วยว่า มีลูกสาวที่กำลังจะสอบ entrance และบอกว่าอยากเรียนดนตรี แต่คุณหมอติดเบรคอย่างแรงขอให้ลูกเรียนหมอก่อน จบแล้วค่อยเลี้ยวไปทำสิ่งที่ชอบ

จุดนี้คือสิ่งที่ติดใจจนมาเป็นบันทึกนี้ คิดไปถึงระบบการศึกษาของบ้านเราที่ตีกรอบให้กับเด็กและพ่อแม่ กรอบนี้แข็งแรงเสียจนหาคนที่ยอมให้ลูกทำในสิ่งที่รักและต้องการได้ยากเหลือเกิน เพราะต่างก็เกรงว่าลูกจะลำบากยากจนในอนาคตหากไม่เลือกเรียนในสิ่งที่ดีที่สุดที่ลูกจะเรียนได้ ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ตัวเลือก หนึ่งในนั้นก็คือ แพทย์ ทำให้เราพบเห็น แพทย์ที่ทำหน้าที่แพทย์เพราะเป็นคนเรียนเก่งเรียนดี มากกว่าเพราะรักที่จะรักษาดูแลผู้อื่น จึงทำหน้าที่อย่างไม่มีความสุขนักมากมาย แถมยังมีแบบที่จบแล้วหันเหไปทำอย่างอื่นก็ไม่ใช่น้อย

เชื่อว่าพวกเราหลายๆคนที่มีโอกาสมาตั้งแต่เด็กๆก็จะมีประสบการณ์นี้เช่นกัน ที่ต้องเลือกเรียนในสิ่งที่ประกันอนาคตว่าจะมีงานทำ มีหน้ามีตาในสังคม ไม่"ลำบาก" หา"เงิน"ได้เยอะๆ โดยไม่ได้เรียนไม่ได้เดินในเส้นทางชีวิตที่เหมาะสมกับตัวตนของเราจริงๆ และมีวี่แววว่า แนวทางนี้ก็จะถูกถ่ายทอดกันต่อๆลงไปยังเด็ก"ที่มีโอกาส"ทั้งหลายอีกเช่นกัน จากเรื่องเล่าในวันนี้ทำให้อยากเอามาพูดคุยต่อว่า จริงๆแล้วเส้นทางเดินของชีวิตที่สังคมตีกรอบให้เรานี้นั้น หากเรา "ฉุกคิด" ให้ได้เร็วๆจากตัวอย่างชีวิตจริงของหลายๆท่าน เราก็จะเป็น"ผู้เลือก"ได้เองแหละค่ะ ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆในชีวิต  

หมายเลขบันทึก: 120097เขียนเมื่อ 16 สิงหาคม 2007 23:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 20:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

หลายสิ่งก็เลือกไม่ได้เพราะไม่เคยสัมผัสทำให้ต้องทดลองเรียนค่ะ  

หมอมีเพื่อนสามีเรียนแพทย์ได้ครึ่งปีแล้วทนฟอร์มาลินไม่ได้ต้องลาออกและไปเข้าวิศวะแทนและสอบได้ที่หนึ่งของชั้นเรียน

หลังจากทำงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตประมาณ 10 ปีก็ลาออกไปเล่นหุ้นโดยไม่ทำงานอื่นเลย   ขณะนี้มีเงินและมีความสุขดีซึ่งถ้าเป็นหมอคงทำแบบนี้ไม่ได้ค่ะ

ขอบคุณที่ไปเยี่ยมค่ะ   หลังเกษียณคงมีเวลามาคุยกับคุณโอ๋มากขึ้นค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท