คาถาที่ ๑๐ ว่า
คำว่า โลก แปลตรงตัวว่า สิ่งที่ถูกเห็น ... ส่วนความหมายตามคัมภีร์ก็บ่งชี้บางสิ่งบางอย่างแตกต่างกันออกไป บางครั้งหมายถึง บรรดาสัตว์ที่อาศัยอยู่ในโลก ... บางครั้งหมายถึง แผ่นดินเป็นที่อาศัยอยู่... หรือบางครั้งก็หมายถึงกายและใจนี้เอง.... ส่วนความหมายในคาถานี้ตามสำนวนปัจจุบัน โลก ก็คือ ชีวิตและสังคม นั่นเอง
โลกธรรม คือ ธรรมอยู่คู่กับโลก หรือสิ่งที่ครอบงำชีวิตและสังคมไว้นั้นเอง... พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีใครสามารถหลีกหนีโลกธรรมไปได้ (แม้แต่พระองค์เองก็ตาม) เพียงแต่ว่า จิตใจของเราจะหวั่นไหวหรือไม่ในเมื่อถูกโลกธรรมเหล่านี้เข้ามาครอบงำ เท่านั้น
โลกธรรม จำแนกเป็นสองฝ่าย กล่าวคือ ฝ่ายเป็นที่พึงพอใจ (สุข มีลาภ มียศ และสรรเสริญ) และฝ่ายไม่เป็นที่พึงพอใจ (ทุกข์ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ และนินทา)... ทั้งสองฝ่ายนี้ จะทำให้จิตใจของเรา ฟูๆ ยุบๆ หรือ สูงๆ ต่ำๆ ตลอดไป... ส่วนจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางจิต หรือภูมิธรรมของแต่ละคน...อย่างไรก็ตาม โลกธรรมเหล่านี้ มีอำนาจต่อการดำเนินชีวิตของเราเสมอมา...
......
คุณลักษณะประการแรกของผู้บรรลุธรรมกล่าวคือผู้ถึงพระนิพพานก็คือ เป็นผู้มีจิตไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมเหล่านี้
เมื่อจิตใจไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมเหล่านี้ จิตใจก็จะเรียบสงบ ไม่มีความเศร้าโศรก นั่นคือ คุณลักษณะประการต่อมา....
เมื่อไม่เศร้าโศรกแล้ว จิตใจก็จะไม่มีความขุ่นมัวหรือมัวหมอง ด้วยอำนาจของกิเลสอีกต่อไป นั่นคือ คุณลักษณะอีกประการหนึ่ง....
จิตใจที่ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศรก และไม่มัวหมองดังกล่าว จะเป็นจิตใจที่ปลอดโปร่ง สดใส ชื่นบาน สุขสงบ.... นี้คือ คุณลักษณะประการสุดท้ายของพระนิพพานที่ระบุไว้ในคาถานี้.....
........
จิตใจของผู้บรรลุธรรมกล่าวคือผู้ถึงพระนิพพานดังที่เล่ามา อาจค้นหาได้ยากในโลกแห่งความเป็นจริง...
แต่โดยการเทียบเคียง บางคนในโลกนี้มีจิตใจหวั่นไหวต่อโลกธรรมตลอด กลายเป็นผู้โลเล ทำนองไม้หลักปักเลน... ขณะที่จิตใจของคนบางคน มีความหนักแน่น มั่นคงดุจขุนเขา ยากที่จะสั่นไหวไปกับโลกธรรมที่ครอบงำอยู่.... เหตุดังนี้ เพราะปารมีธรรมของแต่ละคนแตกต่างกันนั่นเอง...
ดังนั้น จิตใจที่ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมที่เข้ามาสัมผัส ไม่สนุกสนาน โศรกเศร้า หรือยินดียินร้ายไปกับสิ่งเหล่านั้น จึงเป็นอุดมคติในทางพระพุทธศาสนา สำหรับผู้ที่ยังห่างไกล..... และคงต้องบำเพ็ญปารมีต่อไป เพื่อให้อุดมคิตที่ห่างไกลนั้น ค่อยๆ ใกล้เข้ามา และเป็นจริงในที่สุด.... ซึ่งนี้คือ จุดหมายแห่งคำสอนในมงคลสูตร
ผู้เขียนได้เล่าปรัชญามงคลสูตรมาจนจบตามความตั้งใจ จะสรุปอีกครั้งในตอนสุดท้าย....
กราบนมัสการหลวงพี่BM.chaiwut
ดิฉันขออนุญาตอ้างอิงบันทึกนี้ของหลวงพี่ ที่บันทึกนี้ของดิฉันค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
สาธุ...
จิตใดสัมผัสแล้ว |
โลกธรรม |
จิตนิ่งไม่ไหวตาม |
เสื่อมได้ |
ยามชอบแต่พองาม |
ยามเสื่อม สงบนา |
ปลอดโปร่งรู้ทันไซร้ |
บ่งไว้ มงคล |
เจริญพร