นี้ผู้เลี้ยงผึ้งขายน้ำผึ้งได้ราคาดี โดยราคาเฉลี่ยสูงกว่าปีที่แล้ว 15-20 บาท แต่รายได้ลดลงเพราะเก็บน้ำผึ้งได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
วันที่ 24 มีนาคม 2549
ผมได้เข้าร่ามประชุมกับกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งภาคเหนือตอนล่าง (ครั้งที่
3/2549) ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับน้ำผึ้งดังนี้
- กลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งภาคเหนือตอนล่างแห่งประเทศไทย
(รวมกับกลุ่มสหกรณ์อุตรดิตถ์) ขอถัง (200 ลิตร) บริษัทเนสท์เล่ไป 1008
ถัง ครั้งแรกเข้าใจผิดดูจาก Fax คิดว่าได้รับจัดสรรถัง 970 ถัง
ก็จะแบ่งให้กลุ่มสหกรณ์อุตรดิตถ์ 500 ถัง (สมาชิกมากกว่า) กับ
กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง 470 ถัง
แต่ภายหลังตัวเลขได้รับจัดสรรถังที่ถูกต้องเป็น 140
ถังก็แบ่งกันกลุ่มละ 70 ถัง (หมายเหตุ
กลุ่มภาคเหนือตอนล่างคาดการณ์ว่าจะผลิตน้ำผึ้งลำไยได้ถึง 3
แสนกิโลกรัมเศษ)
- กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง จัดสรรถัง 70
ใบให้กับผู้เลี้ยงผึ้ง 26 ราย รายละ 3 ถัง (รวม 68 ถัง)เหลือเศษ 2 ถัง
จัดสรรให้ 1 ถึงสำหรับรายที่ยังไม่เคยได้ และอีก 1
ถังให้กับกองกลาง
- ผู้เลี้ยงผึ้งต้องซื้อถังผ่านกลุ่มฯ
ราคาใบละ 1,100 บาท เมื่อขายน้ำผึ้งจะได้เงิน 56.50 บาทต่อกิโลกรัม +
คืนค่าถังกิโลกรัมละ 1.37 บาท
เท่ากับจะได้รับเงินค่าน้ำผึ้งจากเนสท์เล่กิโลกรัมละ 57.87
บาทต่อกิโลกรัม (ขายได้เงินเท่าไรต้องลบค่าถัง 1,100
บาทออกไป
- มีผู้มาเสนอซื้อน้ำผึ้งที่กลุ่มฯ
(พ่อค้า) โดยให้ราคากิโลกรัมละ 51 บาท (ราคาสุทธิเพราะ
คืนถัง)
- ข่าวล่าสุด
มีผู้รับซื้อน้ำผึ้งรายหนึ่งเสนอให้ราคากิโลกรัมละ 52 บาท
(และบวกโบนัสให้อีก 1,000 บาท
คิดว่าโบนัสนี้ก็คือค่าถังนั่นเอง)
- ถามว่า
ผู้เลี้ยงผึ้งทำไมไม่เกิบน้ำผึ้งไว้ขายเอง ตอบว่า
ประการแรกต้องรีบขายเพราะต้องการใช้เงิน (ไปใช้หนี้เขา
หรือไปเอาเงินเขามาก่อนก็ต้องขายน้ำผึ้งใช้หนี้)
ประการที่สองที่ต้องขายเพราะต้องการคบกับพ่อค้านานๆ
และปีนี้น้ำผึ้งได้น้อยไม่พอส่ง (พ่อค้า)
- ผลผลิตน้ำผึ้งลำไยปีนี้ ภาพรวมได้ไม่เกิน
50-60 % ของปี 2548 น้ำผึ้งจึงไม่พอขาย
และน้ำผึ้งที่ขายได้แล้วก็ตกอยู่ในมือพ่อค้า
- กลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งภาคเหนือตอนล่างผลิตน้ำผึ้งคุณภาพดี
(จุดแข็ง)
จึงมีพ่อค้าให้ความสนใจซื้อน้ำผึ้งกับกลุ่มนี้มาก
- เนื่องจากกลุ่มฯ ไม่มีเงินทุน
ดังนั้นจึงไม่สามารถช้อนซื้อน้ำผึ้งเพื่อพยุงราคาได้
(แต่ก็มีน้ำผึ้งในมือไม่ต่ำกว่า 2 ตัน)
- มีกรรมการท่านหนึ่งเสนอว่า
ปีต่อไปเราควรรวมน้ำผึ้งไว้ที่หนึ่ง แล้วขายยก lot ใหญ่
โดยมีฝ่ายการตลาดคอยต่อรองราคา (เข้าภาษิตโบราณว่า
เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่งแต่เอากระดูกมาแขวนคอ)
10 ข้อที่ผ่านมาคือสถานการณ์น้ำผึ้งลำไย
และข้อเท็จจริงของปี 2549 ซึ่งเมื่อเกษตรกรได้รับเงิน (ค่าน้ำผึ้ง)
มาแล้ว ใช้หนี้เกือบหมด
ถึงเวลาแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุนทำผึ้งต่อไปล่ะครับ
อันนี้เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ
ปีนี้ผู้เลี้ยงผึ้งขายน้ำผึ้งได้ราคาดี
โดยราคาเฉลี่ยสูงกว่าปีที่แล้ว 15-20 บาท/กิโลกรัม
แต่รายได้ลดลงเพราะเก็บน้ำผึ้งได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนั้นปัจจัยการผลิตที่สำคัญคือน้ำมันกับน้ำตาลได้ขึ้นราคาไปรอล่วงหน้าแล้ว
นี่คือชตากรรมที่รออยู่ข้างหน้า
-
ราคาน้ำมัน (ดีเซล)
ปัจจัยสำคัญในการขนย้ายผึ้ง ราคาปี 2549 อยู่ที่ เกือบๆ 26 บาท
ในขณะที่ปี 2548 อยู่ที่ราคา 13 บาทกว่า (ราคาควบคุม)
แพงเกือบเท่าตัว
-
ราคาน้ำตาลทรายดิบ
ปัจจัยในการเลี้ยงผึ้งเพื่อเพิ่มประชากร ราคาปีที่แล้ว 10
บาทกว่าแต่ปีนี้ไม่สามารถขอโควต้าซื้อน้ำตาลทรายดิบราคาถูกจาก กนอ.
(คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล) ได้
เพราะว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำตาลปฏิเสธการขาย โดยเหตุผลว่า
ได้ทำสัญญาขายน้ำตาลทรายกับต่างประเทศไว้แล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2549
และแนวโน้มที่อ้อยปีนี้มีลดลงดังนั้นผลผลิตน้ำตาลก็ลดลง
-
ผู้เลี้ยงผึ้งต้องการน้ำตาลทรายมาใช้ในการเลี้ยงผึ้ง
(กลุ่มภาคเหนือตอนล่างฯ) ปีละกว่า 5 แสนกิโลกรัม
(น้ำตาลเอามาเลี้ยงเพิ่มประชากรผึ้ง
แต่ไม่ได้เอามาเลี้ยงทำน้ำผึ้งนะครับ)
-
น้ำตาลทรายในตลาดราคาควบคุมอยู่ที่ 17.50
บาท แต่ในตลาดยังขายกันอยู่ที่ 19-20 บาท
-
น้ำตาลแพงแล้วยังไม่มีให้ซื้ออีกต่างหาก
ผู้เลี้ยงผึ้งปี 2549 มีแต่ตายกับตายเท่านั้น
(เงินไม่มีซื้อน้ำมันและน้ำตาล แถมมีเงินก็อาจซื้อไม่ได้
เพราะว่าขาดแคลน)
-
เป็นที่น่าสนใจว่า
ผู้เลี้ยงผึ้งจะมีวิธีการอย่างไรที่จะฝ่าวิกฤตปี 2549 ไปได้
น่าติดตาม...
ติดตามข้อเขียนเดิม (เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์น้ำผึ้ง)
ได้ที่นี่
-
-
-
-