คำแก้ว
บันทึกคนเดินทาง ชลิต ลุงตุ๊ก คำแก้ว

อนุทินล่าสุด


คำแก้ว
เขียนเมื่อ

นรก - สวรรค์ (อ่านพบเก็บมาฝาก)

พระพุทธศาสนา พูดเรื่องนี้ไว้เป็น ๓ ระดับ :-
ระดับที่ ๑. นรก-สวรรค์ ภายหลังการตาย 
สำหรับประเด็นนี้ตามพระไตรปิฎก "เมื่อตีความตามตัวอักษรแล้ว ก็ต้องบอกว่า มี" 
วิธีลงโทษในนรกด้วยประการต่างๆ มีใน พาลบัณฑิตสูตร และ เทวทูตสูตร... โดยมากพูดถึงนรก ไม่ค่อยพูดถึงสวรรค์.. นอกจากนี้ยังมีบางแห่งพูดถึงอายุเทวดาในชั้นต่างๆ เช่น ชั้นจาตุมหาราช หรือชั้นโลกบาล ๔ ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ยังมีอายุมนุษย์ ถึงรูปพรหม แสดงไว้ในฝ่ายพระอภิธรรม 

ระดับที่ ๒. นรก-สวรรค์ ที่อยู่ในใจ 
"สวรรค์ในอก นรกในใจ" เป็นเรื่องที่มีในชาตินี้ นรก-สวรรค์แม้ในชาติหน้า มันก็สืบไปจากที่มีในชาตินี้..." 
"ระดับจิตของเราอยู่แค่ไหน เวลาตายโดยทั่วไปถ้าไม่ใช่กรณียกเว้น มันก็อยู่ในระดับนั้นแหละ ส่วนในกรณียกเว้น ถ้าเวลาตายนึกถึงอารมณ์ที่ดี เช่นทำกรรมชั่วมามาก แต่เวลาตายนึกถึงสิ่งที่ดี ก็ไปเกิดดีได้ ถ้าหากเวลอยู่ ทำกรรมดี แต่เวลาตายเกิดจิตเศร้าหมอง ระดับจิตตกลงไป ก็ไปเกิดในที่ต่ำ" 

ระดับที่ ๓. นรก-สวรรค์ แต่ละขณะจิต
"ตามหลักวิชาการ คือ การที่เราปรุงแต่งสร้างนรก-สวรรค์ของเราเองตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน.. คือปรุงแต่งด้วยกิเลส มีความดี -ความชั่ว มีกุศล - อกุศลในจิตของเราเอง" 
"หากว่าจิตใจของเรามีภูมิธรรมดี สร้างกุศลไว้มาก ทำจิตใจให้อิ่มเอิบเป็นสุข พยายามมองในแง่ดี ก็รับอารมณ์ที่เป็นสุขไว้ได้มาก"

"ปัจจุบันที่เป็นอยู่ กลายเป็นเรื่องที่เราควรจะเอาใจใส่มากกว่า เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราได้รับผลอยู่ตลอดเวลา... ฉะนั้น ท่านจึงให้เอาใจใส่นรก-สวรรค์ที่มีอยู่ตลอดเวลาที่เราปรุงแต่งอยู่เรื่อยๆ สอนให้เรายกระดับจิตขึ้นไป... " 
"การมีปัญญารู้เท่าทันสิ่งต่างๆ ทำให้เราเข้าใจโลกและชีวิตดี ทำให้วางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ในกรณีอย่างนี้ท่านว่า มันพ้นเลย จากเรื่องนรก-สวรรค์ไปแล้ว คือมีจิตใจปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดเวลา มีความสบายทันตาในปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงข้างหน้า" 


ในพระไตรปิฎก (มหาปริฬาหนรก) บอกว่า ...นรก-สวรรค์ที่ว่านั้นไม่สำคัญเท่านรก-สวรรค์ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบัน ที่เราปรุงแต่งด้วยอายตนะทั้ง ๖ โดยพื้นจิตของเราสร้างขึ้นมา" 
"แก่นแท้ของ นรก-สวรรค์ อยู่ที่ระดับที่ ๓ นี้ ... อย่าลืมว่า!!! 

การสร้างนรก-สวรรค์ใหญ่ๆ มันก็มาจากสร้างเล็กๆ น้อยๆ นี้เอง.. สร้างจิตใจของเราให้ดี ทำอารมณ์ให้ดี ค่อยเป็นค่อยไป"

 
ท่าทีของพุทธศาสนาต่อเรื่อง นรก-สวรรค์ 
"...การวางท่าทีเป็นหัวข้อที่อาตมาบอกแล้วว่าสำคัญ การวางท่าทีสำคัญกว่าความมีจริงหรือไม่ ... แต่มันจะไปเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับนรก-สวรรค์ระดับที่ ๓" 
"ท่าที" ที่เกี่ยวข้องมีดังนี้ :-

ท่าทีที่ ๑ ต้องมีศรัทธา 

พุทธศาสนานั้น บอกว่าให้เชื่ออย่างมีเหตุผล สำหรับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ในเมื่อจะต้องเอาทาง "ศรัทธา" ก็ให้ได้หลักก่อน.... 
ศรัทธา คือ การไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น หรือพูดในแง่หนึ่งคือ เราฝากปัญญาไว้กับคนอื่น 
การที่จะวางใจปัญญาของผู้อื่นได้ต้องพิจารณาในขั้นแรกที่ "ตัวปัญญา" นั้น เราคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสมานั้น เท่าที่เรามองเห็น ก็เป็นความจริง เราจึงเห็นว่าพระองค์มีปัญญาพอที่เราจะฝากปัญญาของเราไว้กับท่านได้ เราจึงเกิดศรัทธาขึ้นเป็นขั้นแรก 
ขั้นที่สอง คือ "ความปรารถนาดี" พระพุทธเจ้ามีความปรารถนาดี มีเมตตากรุณา สอนเราด้วยใจบริสุทธิ์ 
พระองค์สอนเรื่อง นรก-สวรรค์ว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า ถ้าเรามีศรัทธา เราก็น้อมไปทางเชื่อ เรื่องก็เป็นอย่างนั้น... 

ท่าทีที่ ๒ ถือตามเหตุผล 

เป็นท่าทีที่ "ยังไม่มีศรัทธา" พระพุทธเจ้าได้ตรัสกาลามสูตร และได้ยกตัวอย่างซึ่งมาเข้าเรื่องนรก-สวรรค์ กรรมดี-กรรมชั่ว ทรงสอนให้พิจารณาในปัจจุบันนี้ว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นกุศล ทำแล้วมันเกื้อกูลแก่ชีวิตของตนเองในปัจจุบันไหม มันดีแก่ตัวเราไหม ดีต่อผู้อื่นไหม ทำแล้วถ้านรก-สวรรค์มีจริง เราก็ไม่ต้องไปตกนรก ได้ไปสวรรค์ 
สรุปในแง่นี้ได้ว่า ถึงแม้ไม่ต้องใช้ศรัทธา เอาตามเหตุผล ก็ควรทำกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว นี้เป็นแนวทางกาลามสูตร 

ท่าทีที่ ๓ มั่นใจตน -ไม่อ้อนวอน 

ในทางพุทธศาสนา คนทำดี ไม่ต้องอ้อนวอนขอไปสวรรค์ เพราะมันเป็นไปตามกฎธรรมดา เพียงแต่รู้ไว้ และมั่นใจเท่านั้น พุทธศาสนิกชนเรามีความรู้ไว้สำหรับให้เกิดความมั่นใจตนเอง 

ท่าทีที่ ๔ ไม่หวังผลตอบแทน 

พุทธศาสนาสอนต่อไปอีกระดับหนึ่งว่า ุถ้าเรายังทำดีเพราะหวังผลอยู่ก็เรียกว่าเป็นโลกียปุถุชน คนของพุทธศาสนาที่แท้จริง ต้องเป็นคนทำความดีโดยไม่ต้องห่วงผล 
เมื่อเราทำจิตของเราให้ประณีตขึ้น พอมันละเอียดอ่อนขึ้น สิ่งที่กระทำไว้แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย มันก็ปรากฎผลได้ง่าย... 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

คำแก้ว
เขียนเมื่อ

                     

                       ต้นไม้มี่พ่อปลูก ความสุขที่แบ่งปัน

 

 “ถ้าเราหว่านเมล็ดพืชชนิดใด.. ก็จะได้ผลของพืชชนิดนั้น” เราสี่คนพี่น้องไม่คิดจะโทษพ่อว่าเลี้ยงดูเราไม่ดี เพราะพ่อย่อมมีเหตุผลของพ่อ แม่ก็ย่อมมีเหตุผลของแม่เช่นกัน และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอย่างไรเราก็เชื่อมั่นว่าพวกเราได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อกับแม่จะสามารถให้เราได้ แต่ก็อยากให้พ่อกับแม่เข้าใจว่าถึงแม่จะพยายามที่จะทำดีแค่ไหนแต่เราก็เป็น “ เมล็ดพันธ์ที่พ่อกับแม่ให้ชีวิตและดูแลเรามา”

  

   ใจแคบ... ทางก็แคบนะลุงหลวย...ทางแคน... เราก็ยิ่งเดินไม่สะดวก

   ถ้าทางเส้นนี้เป็นทางที่ใช้รเดินเข้า – ออ

. สวนหมาขี้..ที่ท้ายซอย  .

สามปีหลังไฟไหม้ ชาวบ้านใช้ที่นี่เป็นที่วางของชั่วคราว เด็กใช้เป็นที่วิ่งเล่น หมา แมวใช้เป็นที่ขี้ที่เยี่ยว

เหตุการณ์ต่อมา : ลุงชราชื่อ ฉลวน ที่ว่างเว้นจากการทำงานเข้ามาเก็บหินและเศษขยะทีละชิ้นสองชิ้นด้วยมือเปล่า และพลิกฟื้นผืนดินจากสวนขี้หมาท้ายซอยจนกลายเป็นพื้นที่สีเขียวแปลงน้อยๆให้คนในซอได้ชื่นชม มีแปลงผักเล็กๆให้เห็นประโยชน์ของผืนดิน กระถางดอกไม้น้อยใหญ่ที่ปรับเปลี่ยนให้ได้รับความรู้สึกที่ไม่เกิดความจำเจกับผู้พบเห็น และไม้ยืนต้นที่ค่อยๆโต้ขึ้นจนกลายเป็นทั้งแหล่งอาหารและล่มเงาสดชื่นล่มเย็น

ผืนดินแปลงเล็กๆไม่กี่ตะรางวาถูกจัดเป็นสัดส่วน บางส่วนจะเป็นไม้กระถางพวกชวนชมและไม้มงคลประเภทว่าน ไม้ใบสวย ไม้ดอกสีสันสดใสสะดุจตาอย่างหางนกยูง เข็มหอมที่ออกดอกทั้งปีที่ลุงหลวยต้องการปลูกไว้บูชาพระ อีกส่วนหนึ่งจะเป็นแปลงถาวรปลูกพลิก กระเพรา โหระพา ตะไคร้ มะเขือเทศซึ่งเมื่อออกผลแล้วดูน่าจะเป็นทั้งไม้ผลและไม้ประดับ ล่องดินเล็กๆสองแปลงขนาด 1 x 2 เมตร เริ่มต้นจากแปลงคุณนายตื่นสายสลับสีสวยงาน แมงตัวเล็กตัวน้อยบินว่อน พวกเราได้เห็นฝูงผีเสื้อบ้างถึงแม้จะไม่มากนักแต่เป็นเวลานานที่ซอยของเราไม่มีที่ให้แมลงเหล่านั้นได้อยู่อาศัย หลังจากที่เหล่าแมลงผสมเกสรจนคุณนายตื่นสายที่มีกลีบดอกเพียงห้ากลีบบางๆเกสรเล็กๆกลายเป็นกลีบดอกที่หนาแน่นจนคุณนายตื่นตั้งวันทั้งคืนและดอกก็เล็กลงจนแทบไม่มีดอกลุงหลวยก็กัดแปลงคุณนายตื่นสายเป็นปุ๋ยชีวภาพ

ในที่สุดคนในซอยก็ได้เห็นต้นกวางตุ้งค่อยชูยอดขึ้นมาจากพื้นดิน..ลังจากกวางตุ้งหมดไปคะน้าก็ชูยอกขึ้นมาแทน และตามด้วยผักกาดขาว.. ในลุงหลวยยกินผักที่ลุงหลวยปลูกลุ่นแล้วลุ่นเล่าต้นแคพันเล็ก (แคตอแหล)สามต้นก็ชูยอกขึ้นมาได้ประมาณครึ่งเมตรยอดแคก็ถูกแปลรูปเป็นอาหาร และเมื่อต้นสูงขึ้นมาประมาณหนึ่งเมตรยอดแคก็ผลิดอกออกมาจนกินแทบไม่ทัน

ถ้าจะนับดัชนีของความสุขของคนเรานั้นย่อมแตกต่างกัน ไม่สามารถคิดแทนทำแทนกันได้ขึ้นอยู่ว่าคนคนนั้นมีสิ่งใดและขาดสิ่งใด บางครั้งการมีมากไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เรามีความสุขมาก ยิ่งถ้าเราไม่รู้สึกพอเพียง การสักแต่ว่าให้โดยไม่คำนึงถึงความต้องการของผู้รับก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบุญเป็นคุณเสมอไปหากไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อความต้องการของผู้รับหรือผู้รับมิได้ต้องการ การขาดในสิ่งที่ต้องการก็ทำให้เป็นทุกข์ มีผู้กล่าวไว้ว่า “ไม่มีใครหว่านพืชโดยไม่หวังผล” นั้นทุกคนย่อมมีความเห็นด้วย แต่ผลตอบแทนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของ เกียติยศ ชื่อเสียง คำเยินยอเท่านั้นเพราะเมื่อได้มาแล้วต้องเป็นภาระแบกรับต่อจะหยุดจะระทิ้งก็กลัวจะเสื่อมเสีย คนนั้นจะว่า คนนี้จะนินทา

บางครั้งความสุขก็หาได้โดยไม่ยุ่งยากอย่างที่เราคิด เพียงแต่เรารู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเองให้มากขึ้น และรู้จักคำว่าพอเพียงในสิ่งที่เรามีไม่อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา เมื่อเห็นคนมีแล้วเราไม่มี เห็นคนอื่นโชคดีแต่เราไม่โชคดีเหมือนเขา ก็..ไม่ใช่ความผิดของเขา

รู้จักเป็นผู้ให้ เพราะการให้ในสิ่งที่ผู้รับมีประโยชน์และความสุขสักวันหนึ่งผู้ที่ได้รับประโยชน์จากเราก็จะรู้สึกในน้ำใจและคิดตอบแทนเราบ้าง เหมือนต้นไม้ที่เกิดขึ้นมาจากดินและผลิดอกออกผลให้เราเก็บกินโดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อเราได้เก็บดอกเก็บผลมากินก็ตอบแทนโดยการรดน้ำพลวนดินให้ จนในที่สุดทั้งต้นไม้และคนก็เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน

มนุษย์เรามีพื้นฐานความต้องการ ในเรื่องของความปลอดภัย การยอมรับในสังคม การมีทรัพย์ ความสัมพันธ์ หน้าที่การงานมั่นคง แต่เมื่อมนุษย์ไม่เคยหยุด...ความต้องการ กิเลส ความอยากมีอยากเป็น (ไม่เคยหยุดหรือไม่คิดที่จะหยุด...) จึงไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นภาพของสังคมบริโภคนิยมที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในสังคมปัจจุบัน บริโภคนิยมกำลังต้อนให้เราตกอยู่ในสภาวะของความต้องการที่ไม่จบสิ้น เป็นการบริโภคที่เกินความจำเป็นต่อชีวิต เพื่อให้เราดูเป็นคนที่คุณค่าในสังคม ดูมีรสนิยม ดูทันสมัย และเป็นที่ยอมรับนับถือ มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีความมั่นคงทางการงาน มีทรัพย์ที่เกินเลยจนทำให้เราต้องเสียสุขภาพ ต้องศึกษาให้สูงๆเพื่อให้ได้เงินเยอะๆ ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวขาดหายไป สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเหล่านี้กำลังสะท้อนให้เห็นว่า คุณค่าของชีวิตที่แท้ คือ การเสพสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ดูคล้ายกับว่า คุณค่าของความเป็นมนุษย์ คือภาพลักษณ์ภายนอกอันฉาบฉวยและเป็นสิ่งที่บอกถึง ความหมายของการมีชีวิตที่ดีงามและเป็นสุข (จริงหรือ...)

สังคมบริโภคนิยมจะมาเปลี่ยนทัศนคติของเราทำให้มีทัศนคติในแบบผิดๆ โดยการมีสิ่งของเกินความจำเป็นในชีวิต ทำให้เกิดทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจึงต้องคอยหาสิ่งใหม่ๆเพื่อมาเติมเต็มอยู่เสมอๆ ความจริงแล้ว เรามักทุกข์มากกว่าสุขเมื่อเรามีความต้องการ และยิ่งเมื่อได้ของสิ่งนั้นมาแล้ว ก็กลายเป็นภาระที่เราต้องดูแล
ก็เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มการติดยึดให้สะสมมากยิ่งขึ้น และทำให้เราเป็นของมันมากกว่ามันเป็นของเรา เมื่อเกิดสภาวะอารมณ์ที่อยากมีอยากเป็น สติปัญญาก็จะถูกปิดกั้นทำให้ไม่สามารถคลี่คลายความทุกข์ได้ คล้ายกับว่าถ้าเรายิ่งหาความสุขจากภายนอกเท่าใดความสุขจะก็ยิ่งลดลง การจะหาความหมายของชีวิตที่ดีงามก็ยิ่งลดลงไปด้วย รวมทั้งขาดการพัฒนาในด้านของจิตใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่กีดขวางเส้นทางที่จะนำเราไปสู่ชีวิตที่ดีงามและเป็นสุข....มีคำกล่าวไว้น่าสนใจอยู่ประโยคหนึ่งว่า “ถ้าเราไม่รู้จักที่จะดูแลต้นเองให้ดีแล้วเราจะไปดูแลใครอื่นให้ดีได้”ดีในที่นี้ไม้ได้หมายถึงมีมากกว่าใครแต่น่าจะหมายถึงสุขภาพกาย สุขภาพจิต

ชีวิตจะดีงามและเป็นสุข อาจเริ่มต้นจากการคิดที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องการจับจ่ายใช้สอย โดยมองที่เหตุผลหรือประโยชน์ที่จะนำไปใช้ และเหมาะสมกับคุณค่าของสิ่งของนั้น และเป็นผู้เริ่มต้นปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ โดยการน้อมนำเอา ศีล สมาธิ ปัญญา มาปฏิบัติ และจะทำให้เรามีโอกาสได้รับรู้ถึง สติปัญญาปัญญาจะช่วยให้เรามองเห็นคุณ มองเห็นโทษและทางออก การรับมือกับทุกข์จึงเป็นการแสดงถึงการเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะปัจจุบัน (ปัจจุบัน...คือสิ่งที่มีอยู่จริง.) เมื่อเราได้ก้าวผ่านชีวิตที่ดีงามและเป็นสุขมากได้แล้ว การได้รับอิสระจึงเกิดขึ้นตามมา (หลุดจากการยึดมั่นถือมั่น) ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆแต่งดงามอยู่ภายในจิตใจของเรา และหลุดจากความผันผวนปรวนแปรทั้งหลายทั้งมวลในสรรพสิ่ง เข้าใจในความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ทำให้กลายเป็นรากฐานที่มั่นคงอย่างยั่งยืน....

...แค่เพียงหนึ่งคนที่เริ่มคิดจะเปลี่ยน
...แค่เพียงหนึ่งคนที่ลงมือทำ
...และเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

คำแก้ว
เขียนเมื่อ

บทเริ่มต้น : ความสุขที่เกิดจากการยอมรับ                                                                2 เมษายน 2551

เขียนถึงพ่อครับ : พ่อครับถ้าพ่อจำได้ก่อนหน้านี้หลายปีแล้วผมเคยปลูกไม้กระถางและวางไว้บนรั้วหน้าบ้าน ต้นไม้ต้นนั้นก็คือต้นชวนชมที่พ่อเพราะให้ลูกๆคนละระถาง ถึงวันนี้เกือบ 10 ปีแล้วต้นชวนชมที่พอให้ก็ยังคงอยู่เพียงแต่กลับไปอยู่ในมือพ่อด้วยความหวังดีที่ไม่ใช้จากความต้องการของลูก

พ่อครับ ถ้าเราต้องการปลูกต้นไม้สักต้นเราเองก็อยากเป็นผู้ดูแล ลดน้ำ พลวนดิน และเฝ้าดูมันเติบโตด้วยตัวของเราเอง บางครั้งเราก็อยากให้มันเติบโดตามธรรมชาติ บางช่วงก็อยากให้มันแคละแกรนคงรูปเดิมอยู่ตามที่เราต้องการ หรือบางครั้งเราก็ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้กำหนดสภาพชีวิตให้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติด้วยตัวมันเองโดยเราเพียงแต่เฝ้าดูมันเท่านั้น นั่นคือความเป็นตัวเราเอง..!!! นั่นคือต้นไม้ของเรา...!!! ครับพ่อ

แต่ถ้าเรามีต้นไม้สักต้นที่ขึ้นชื่อว่าเราเป็นเจ้าของ แต่เราไม่มีสิทธิ์ใดๆในการดูแลรักษา รดน้ำก็ไม่ได้ พรวนดินก็ไม่ได้ ได้แต่เฝ้ามองเฉยๆ เราจะไปชื่นชอบ ชื่นชม และหาความภาคภูมิใจได้จากไหน ความรู้สึกของคนที่รักคงมีแต่ความเสียดาย แต่กับคนที่ไม่รักความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากต้นไม้ริมถนนหน้าบ้าน  ถ้าพ่ออยากจะบอกความงดงามของชวนชมกระถางนั้นให้ผมรู้ผมก็ไม่อยากรู้ ถ้าพ่อต้องการเล่าถึงต้นชวนชมของผมให้ใครฟังผมก็ไม่อยากฟัง...สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่

ทำอย่างไร (พ่อ ผม และต้นไม้) เราจะมีใจเป็นหนึ่งเดียว

ความสุขที่เกิดจากการยอมรับ : ให้ชีวิตมัน – ปล่อยวาง – เฝ้าดูมันเกิด – เติบโต – เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูการ และตายไปตามเวลาอันเหมาะสม นั่งดูมันนิ่งๆจากเมล็ดเล็กๆงอกออกเป็นปม เป็นราก เป็นใบ หนึ่งใบ สองใบ สามใบ สี่ใบ ฯลฯ พร้อมกับลำต้นที่ตั้งตรงโผล่พ้นดินขึ้นมา จากลำต้นหนึ่งต้น แตกกิ่งหนึ่งกิ่ง สองกิ่ง สามกิ่ง และมากขึ้นเลื่อยๆ จากนั้นก็ผลิดอก ออกผล ก แพร่พันธ์ ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือวัตจักรของชีวิต และที่ไม่สามารถจะหลุดพ้นไปได้อีกประการหนึ่งก็คือเมื่อมีเกิดแล้วต้องมีแก่ มีเจ็บ และตายไปในที่สุด

พ่อครับ..! เราอาจจะมองสิ่งที่เราเห็นสิ่งเดียวกันแต่มีความเห็นที่แตกต่างกัน สำหรับผมแล้วถึงวันนี้คงไม่อาจชี้ชัดลงไปได้ว่าอะไรคือ ถูก –อะไรคือ ผิด เพราะบางครั้งผิดก็คือถูก / ถูกก็กลายเป็นผิดไปได้เหมือนกัน /สาเหตุเพราะคนส่วนใหญ่มักจะเลือกความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง หรืออีกทางก็ใช้วิธีเอามติเสียงส่วนใหญ่กำหนดแนวทาง (พวกมากรากไป) ถึงแม้ว่าเราจำเป็นจะต้องยอมรับความถูกใจของคนส่วนใหญ่ที่จะทำให้เราต้องเสียหลักเสียศูนย์ไปบ้างแต่เพื่อความอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมเดียวกันเราจำเป็นจะต้องรู้เท่าทันและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใกล้ตัวเรา



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

คำแก้ว
เขียนเมื่อ

นะโม ตัสสะ ภควะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ (3จบ)

 สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทะวา รัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

หากข้าพเจ้าจงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินบิดา-มารดา

ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์

พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ

และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะว่าด้วยกาย วาจา ใจ ขอได้โปรด

อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย หากข้าพเข้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา

ข้าพเจ้าของอนุญาตมีคู่มีครอบครัวได้เหมือนคนปรกติทั่วไป ขอถอน

คำอธิษฐาน คำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็น

อิสระ

ข้าพเจ้าขอประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร ขอบุญบารมี

ในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันจงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว

ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ

ลาภ ยศ สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรค

ใดๆ โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้ง

ทางโลกและทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่นิพพานเทอญ

ข้าพเจ้าขอถอนสัญญา คำสาบาน คำอธิษฐานที่ผูกมัดตัวเอง

และผู้อื่น ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระจากสัญญาทั้งปวง

(หางข้าพเจ้าหมดอายุแล้ว ข้าพเจ้าขออยู่ต่อเพื่อสร้างบารมี)

หากมีผู้ใดสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใด

ภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความอาฆาต ความ

พยาบาท และคำสาปแช่งในทุกชาติ ทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจาก

คำสาปแช่งของปวงชน ของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบ

แสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ

จากหนังสือ ยิ่งกว่าสุข  

กว่าจะถึงวันนี้ คำแก้ว เดินผ่านทุกข์ผ่านสุขมาจนถึงจุดที่อ่อนล้าถึงเวลาอยากพักก็คงยังไม่ได้เพราะเมื่อชีวิตยังไม่สิ้นก็จำเป็นที่จะต้องดิ้นลนเพื่อที่จะล้อไปกับกรรมะที่สร้างไว้ ถึงแม้ร่างกานยังคงต้องดิ้นไปแต่ถ้ารู้จักควบคุมใจให้สงบเพียงพอและพอใจ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

คำแก้ว
เขียนเมื่อ

ณ.ที่ใดดวงใจไม่เคยหวั่น

ขอฝ่าฟันอุปสักและขวากหนาม

แม้สิ้นชาติวาสนาชะตาทราม

ขอฝากนามให้โลกรู้ "กูคือชาย"

คำแก้ว : เพชรพระอุมา



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท