บันทึกปลัดกระทรวง 9 - เขตพื้นที่การศึกษา


 กระทรวงการศึกษา   ศาสนา  และวัฒนธรรม   ที่จะเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 
พ.ศ.2542   จะแตกต่างไปจากกระทรวงศึกษาธิการในรูปแบบปัจจุบันค่อนข้างมาก   เพราะกระทรวงฯ
หรือส่วนกลางจะจำกัดบทบาทหน้าที่เพียง   "กำกับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท    การศึกษา  
ศิลปะและวัฒนธรรม  กำหนดนโยบาย  แผน  และมาตรฐานการศึกษา   สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา  ศิลปะและวัฒนธรรม  รวมทั้งการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษา ศาสนา  ศิลปะและวัฒนธรรม"    ส่วนการดำเนินการจัดการศึกษาจะเป็นการกระจายอำนาจ   และมีการกำหนดให้ "มีการ
กระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา   สถานศึกษา   และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น"

          กฎหมายกำหนดคำใหม่   ทีไม่เคยใช้กันมาก่อน   คือคำว่า  "เขตพื้นที่การศึกษา"   เขตพื้นที่การ
ศึกษาจะเป็นจุดรองรับการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาจากส่วนกลางก่อนไปถึงสถานศึกษา  เป็นความเปลี่ยนแปลงใหม่จากรูปแบบเดิมที่เคยเป็นกระทรวงฯ   เป็นจังหวัด  เป็นอำเภอ   และจึงเป็นสถานศึกษามาเป็นรูปแบบที่มีกระทรวง   เขตพื้นที่การศึกษา   และสถานศึกษา   เป็นการลดขั้นตอนการทำงานไปได้ส่วนหนึ่ง  ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น และจะทำให้การศึกษาสนองตอบ
ต่อความต้องการของชุมชนมากขึ้น
          เขตพื้นที่การศึกษาที่เกิดใหม่นี้จะมี   "อำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและ
สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ระดับต่ำกว่าปริญญา   รวมทั้งการพิจารณา   การจัดตั้ง  ยุบรวม หรือเลิก
สถานศึกษา ประสาน  ส่งเสริมและสนับสนุนสถานศึกษาเอกชนในเขตพื้นที่การศึกษา  ประสาน   และ
ส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น   ให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้องกับนโยบายและมาตรฐานการ
ศึกษา  ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาของบุคคล   ครอบครัว  องค์กรชุมชน   องค์กรเอกชน  
องค์กรวิชาชีพ   สถาบันศาสนา    สถานประกอบการ   และสถาบันสังคมอื่นที่จัดการศึกษาในรูปแบบที่
หลากหลาย  รวมทั้งการกำกับดูแลหน่วยงานด้านศาสนา   ศิลปะและวัฒนธรรมในเขตพื้นที่การศึกษา"  
สรุปได้ว่าเขตพื้นที่การศึกษาทำหน้าที่   กำกับดูแล  และหน้าที่อื่น ๆ ทางการศึกษาแทบทุกอย่างในเขต
พื้นที่   สำหรับการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรีทั้งหมด และกำกับดูแลหน่วยงานด้านศาสนา  ศิลปะ
และวัฒนธรรมด้วย    เขตพื้นที่การศึกษา จึงมีความสำคัญเป็นผู้แทนกระทรวงในแต่ละพื้นที่  ในด้าน
การศึกษา  ศาสนา   ศิลปะและวัฒนธรรม    ยกเว้นเรื่องการศึกษาระดับอุดมศึกษาเท่านั้น   ดูแล้วน่าจะ
เรียกว่า  "เขตพื้นที่การศึกษา   ศาสนา  ศิลปะและวัฒนธรรม"    มากกว่าเรียก "เขตพื้นที่การศึกษา"  
เฉย ๆ
          ความคิดเรื่องเขตพื้นที่การศึกษา   ( ซึ่งทำหน้าที่รวมถึงศาสนา    ศิลปะและวัฒนธรรมด้วย )  
เป็นความคิดที่ทุกฝ่ายยอมรับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับระบบบริหารการศึกษาของไทย   แปลว่า
ต่อไปนี้การศึกษาไทยจะไม่มีระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค   เป็นระบบกระจายอำนาจ     ไม่ผ่าน
ระบบจังหวัด  และอำเภอ   จากกระทรวงไปยังเขตพื้นที่และสถานศึกษา   รูปแบบเขตพื้นที่การศึกษา
จะเป็นเช่นไร    เชื่อว่าขณะนี้คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา     ซึ่งตั้งตามพระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ  กำลังศึกษาและพิจารณาอยู่ ตามข่าวคราวก็คิดว่าทำงานได้ก้าวหน้าพอสมควร จากคำแถลง
ในโอกาสต่าง ๆ จับความได้ว่า กรรมการได้พิจารณาปริมาณสถานศึกษา   จำนวนประชากรเป็นหลัก  
และความเหมาะสมด้านอื่นด้วย       คณะกรรมการยึดเกณฑ์ประชากรประมาณ  200,000  คนต่อ
เขตพื้นที่   ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 60   ล้านคน    ก็คงแบ่งได้ใกล้เคียง  300   เขตพื้นที่  
ตัวเลขที่มักปรากฏเป็นข่าวลือ 289 เขตพื้นที่การศึกษา   ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าจังหวัดต่าง ๆ คง
จะซอยย่อยเอา 2, 3, หรือ 4  อำเภอ   มารวมกันเป็นหนึ่งเขตพื้นที่การศึกษา  ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่ใดมี
ประชากรหนาแน่นมากหรือน้อย   พื้นที่หนาแน่นเขตพื้นที่คงจะแคบ   พื้นที่ที่คนอยู่น้อยเขตพื้นที่
ก็จะคลุมกว้าง  นักวิชาการหลายคนได้ไปศึกษาวิจัย   และคิดคำนวณการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษากัน
อย่างสนุกสนาน   ข้อมูลนี้แพร่สะพัดไปจนหลายคนหวังจะได้เป็นผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา
เขตใดเขตหนึ่งจาก 289  เขต   และหวังว่าผู้อำนวยการคงจะได้เป็นข้าราชการระดับ 9   ซึ่งสูง
ไม่น้อยเลย
          ภาพที่ออกมาเรื่องเขตพื้นที่การศึกษาดูดีและสมบูรณ์ทุกอย่าง เป็นภาพในอุดมการณ์ที่ทุกคน
ใฝ่ฝันอยากจะเห็นเกิดขึ้นในระบบบริหารการศึกษาไทยเป็นความใหม่   ซึ่งที่จริงก็คงคล้ายระบบที่
ฝรั่งเรียกว่า School District นั่นเอง   เป็นระบบเก่าข้างนอกแต่ใหม่สำหรับไทย ผู้เขียนก็สนับสนุน
ความคิดนี้มาตั้งแต่ต้นว่า น่าจะเป็นระบบที่เหมาะสมที่สุด   จนมาระยะหลังนี้ได้มีผู้ทักท้วงกับปัญหา
ที่อาจจะเกิดตามมาหลายประการ  จึงได้หวลฉุกคิด   ก็มองเห็นประเด็นปัญหาเหล่านั้นพอสมควร  
ข้อทักท้วงที่เห็นว่าสำคัญคือ
          1.   การจัดการศึกษาในรูปแบบปัจจุบันยึดจังหวัดเป็นหลัก   จังหวัดเป็นศูนย์กลางของบริการ
ทางการศึกษา   โดยเฉพาะการศึกษาที่สูงกว่าประถมศึกษา   มักเริ่มที่จุดที่เป็นที่ตั้งจังหวัด หรือ
อำเภอเมืองก่อนเป็นส่วนใหญ่   แล้วจึงค่อยขยายบริการออกไประดับอำเภอ   และตำบลทีหลัง 
เช่น  มัธยมศึกษาเป็นตัวอย่าง      แต่บริการทางการศึกษาบางอย่างต้องลงทุนสูงยังไม่สามารถ
ขยายออกสู่ระดับอำเภอ  ตำบลได้  เช่น  อาชีวศึกษา  เป็นต้น     การศึกษาประเภทนี้จึงรวมอยู่
ในเมืองเป็นส่วนใหญ่   หากแบ่งเขตพื้นที่การศึกษาไม่คำนึงถึงประชากร   จะมีพื้นที่เป็นจำนวน
มากที่มีบริการทางการศึกษาไม่ครบถ้วน   และที่มีอยู่ก็จะมีคุณภาพและความพร้อมที่แตกต่าง
กันมาก   โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับในจุดที่เป็นอำเภอเมือง  การแบ่งเขตพื้นที่เช่นนี้ จะทำให้เกิด
ความไม่เท่าเทียมกันในการได้รับโอกาสทางการศึกษา
          2.   เขตพื้นที่การศึกษามิได้มีหน้าที่ดูแลงานด้านการศึกษาเท่านั้น   ยังมีหน้าที่ส่งเสริมและ
ดูแลงานด้านการศาสนา  ศิลปะ และวัฒนธรรมด้วย  การแบ่งเขตพื้นที่การศึกษาดูจะให้ความ
สำคัญกับหน้าที่ด้านศาสนา  ศิลปะ  และวัฒนธรรมน้อยไป   ควรให้ความสำคัญมากขึ้น   งาน
ส่งเสริมด้านศาสนา  ศิลปะ   และวัฒนธรรมเป็นงานที่กว้าง   และมักจะอิงกับระบบบริหาร
ราชการส่วนภูมิภาค  การแบ่งเขตพื้นที่การศึกษา   โดยไม่คำนึงถึงโครงสร้างของการบริหาร
ของจังหวัด  จะทำให้งานส่งเสริมด้านศาสนา  ศิลปะ  และวัฒนธรรมดูอ่อนไป
          3.   การมีเขตพื้นที่การศึกษาถึงเกือบ 300 เขต     คงจะต้องลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก  
โดยเฉพาะเพื่อสร้างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา   เพื่อให้สามารถรองรับข้าราชการประมาณ
50 - 60 คน  ทำงานได้  จริงอยู่ อาจมีการดัดแปลงหน่วยงานการศึกษาระดับอำเภอ   มาเป็น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้  แต่ก็คงได้ไม่มากนัก  เพราะหน่วยงานการศึกษาระดับอำเภอ
ที่มีอยู่เป็นหน่วยงานขนาดเล็ก  ไม่เพียงพอกับงานที่กว้างขวางครอบคลุมหน้าที่เกือบทุกอย่าง
ของกระทรวงได้  ปัญหาก็จะมีว่า รัฐจะมีความสามารถมาลงทุนการจัดตั้งสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาได้มากน้อยเพียงใด   แม้ว่ามีพอก็จะเป็นปัญหาว่าสมควรนำไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพ
การศึกษาโดยตรง   หรือว่าควรจะนำมาใช้ทำสำนักงานดี
          4.   ผู้สนับสนุนการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษามาก ๆ   มักจะอธิบายว่าเขตพื้นที่การศึกษากับ
เขตบริการทางการศึกษาไม่จำเป็นต้องเป็นเขตเดียวกัน   เขตบริการทางการศึกษาอาจกว้างกว่า
เขตพื้นที่การศึกษาได้  เช่น   อาชีวศึกษาอาจมีเขตบริการการศึกษาครอบคลุมทั้งจังหวัด    แต่
วิทยาลัยอาชีวศึกษา ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใด ก็ขึ้นอยู่กับระบบบริหารของเขตพื้นที่การศึกษานั้น ก็ดู
จะเป็นที่เข้าใจได้   แต่จริง ๆ แล้ว   แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาจะมีคณะกรรมการ   ซึ่งจะมาจาก
ผู้แทนประชาชน และผู้แทนองค์กรต่าง ๆ ในพื้นที่ตั้งเป็นส่วนใหญ่ ผู้อยู่นอกเขตพื้นที่การศึกษา
จะหวังว่าจะได้รับบริการการศึกษาเท่าเทียมกับคนที่อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาคงเป็นไปได้ยาก
         
          จากปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว     จึงเห็นได้ว่ามีความจำเป็นต้องคิดทบทวนการแบ่งเขต
พื้นที่การศึกษาเสียใหม่ให้รอบคอบยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะปัญหาสี่ประการหลักที่ยกมาให้เห็น   ถ้า
หากว่าแก้ได้ก็คงจะไม่มีปัญหาแต่ประการใด     เพราะหลักการมีเขตพื้นที่การศึกษานั้นทุกคน
เห็นสอดคล้องกันอยู่แล้ว
          หลายคนเสนอความเห็นว่าควรให้จังหวัดเป็นเขตพื้นที่การศึกษา    ปัญหาที่กล่าวมาจะไม่
เกิด คือแทนที่จะมี 289  เขต  ก็แบ่งเป็น 76 เขตพื้นที่การศึกษา  ให้หนึ่งจังหวัดมีหนึ่งเขตพื้นที่
การศึกษา   ก็ดูจะมีเหตุผลน่าฟังพอสมควร   แต่จะมีข้อโต้แย้งว่าบางจังหวัดกว้างขวางใหญ่โต มี
ประชากรมากเกินไป   ถ้ากำหนดให้มีเขตพื้นที่การศึกษาเดียวจะบริหารงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ  
ดังนั้นจึงควรให้จังหวัดใหญ่ ๆ  มีมากกว่าหนึ่งเขตพื้นที่การศึกษาได้   ส่วนจังหวัดขนาดกลาง  
และขนาดเล็กก็ให้มีเขตพื้นที่การศึกษาเพียงเขตเดียวก็พอ
          ที่จริงทุกฝ่ายที่กล่าวมาก็มีเหตุผลสมควรรับฟังทั้งสิ้น  ที่สำคัญจะจัดระบบอย่างไรจึงจะเกิด
ประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด   เกิดปัญหายุ่งยากน้อยที่สุด   และอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ใน
สภาพเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน   จึงอยากเสนอรูปแบบวิธีจัดแบ่งเขตพื้นที่ใหม่   เพื่อให้
เกิดประโยชน์สูงสุด  โดย
          ในเบื้องต้น   แบ่งเขตพื้นที่การศึกษาโดยยึดจังหวัดเป็นเกณฑ์ไปก่อน    ยกเว้นจังหวัดขนาด
ใหญ่ที่สามารถแบ่งเขตย่อยได้   โดยไม่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในบริการทางการศึกษามากนัก  
ก็ให้แบ่งได้มากกว่าหนึ่งเขตต่อไปก็พยายามเร่งสร้างความพร้อมและขยายบริการทางการศึกษา
ศาสนา  ศิลปะและวัฒนธรรม   ให้กว้างขวางไปสู่พื้นที่เป้าหมายที่สมควรแบ่งเป็นเขตได้   เมื่อ
พื้นที่ใหม่พร้อมพอสมควรก็ทะยอยแบ่งเขตใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือแทนที่จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น  
289 เขตพื้นที่การศึกษา ระยะแรกเลย  ก็ตั้งเป้าหมายการแบ่งเขตที่สมบูรณ์ในระยะ 10 - 15 ปี
ข้างหน้าแทน
          ก็อยากจะเสนอให้ทุกฝ่ายได้ช่วยพิจารณาในข้อเสนอนี้   อาจเป็นทางออกที่ดีก็ได้   ใครจะรู้
                                                                                      

   พนม พงษ์ไพบูลย์
                                                                    18 กรกฎาคม 2543

หมายเลขบันทึก: 99920เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2007 08:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท