กลับมาเล่าขานเรื่องประเพณีรับขวัญแม่โพสพต่อหลังจากชีพจรลงเท้าไปหลายอาทิตย์ค่ะ
เมื่อขบวนแห่แม่โพสพ 3 หมู่บ้านที่รักษาประเพณีนี้ร่วมกันมาตลอดมาพร้อมกันแล้ว วงกลองมังคละก็ส่งหน้าที่ต่อให้วงปี่พาทย์รับช่วงเล่นดนตรีประกอบการร่ายรำของบรรดาแม่โพสพและลูกคู่ (ไม่ใช่แม่โพสพแต่ชอบรำ) ก็ดนตรีครึกครื้นขนาดนั้น
วงมังคละไม่ได้หยุดเล่นไปเลยนะคะ หลังจากพักหายเหนื่อยก็นั่งรอจังหวะให้วงปี่พาทย์ส่งหน้าที่สลับกันเล่นควบคู่กันไป สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเขาไม่เล่นร่วมกัน ลืมถามค่ะ เลยไม่สามารถให้รายละเอียดข้อสงสัยอันนี้ของตัวเอง และถ้าบางท่านสงสัยและถามมาดิฉันจะกลับไปถามปีหน้าค่ะ :-)
หลังจากขบวนอีก 2 หมู่บ้านมาพร้อมกันแล้ว ก็เริ่มดำเนินพิธีการซึ่งแสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชุมชนที่โยงใยกับพุทธศาสนาอย่างชัดเจน เริ่มด้วยการกราบพระเหมือนพิธีปกติที่เราไปทำบุญที่วัด จากนั้นพระสงฆ์ขึ้นธรรมมาสเทศนาในลักษณะการแหล่เล่าเรื่องความเป็นมาและบุญคุณของแม่โพสพที่มีต่อชาวนา ระหว่างที่พระเทศนาบางจังหวะที่เหมือนเป็นการร้องเพลงแหล่ แม่โพสพคนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เหมือนเป็นผู้นำของบรรดาแม่โพสพ (เหมือนเชียร์ลีดเดอร์) ก็ประพรมน้ำมนตร์ลงบนบรรดาบายศรีที่นำมาวางรวมกันไว้บนตั่งกลางโถงพิธี (ศาลาวัด) เป็นระยะๆ สลับกับการร่ายรำตามทำนองแหล่
หลังจากการเทศนาทำนองแหล่จบลงพระให้พร บรรดาแม่โพสพและลูกคู่รู้พิธีกันเป็นอย่างดีทะยอยนั่งเป็นวงกลมล้อมรอบตั่งบายศรีเพื่อทำพิธีเวียนเทียน โดยมีมรรคทายกซึ่งเป็นผู้ชาย (ฆราวาส) คนเดียวที่มีสิทธิ์เข้าร่วมพิธีอย่างเป็นทางการ ก็เริ่มพิธีกราบพระและเวียนเทียนรอบตั่งบายศรี โดยการนำเทียนใส่จานรอง 3 จานจานละ 1 เล่ม วนรอบต้นบายศรี 3 รอบ แล้วส่งต่อให้แม่โพสพรับไปเวียนเทียน 3 รอบแล้วส่งต่อให้คนอื่นๆ จนครบรอบกลับมายังมรรคทายกซึ่งทำหน้าที่ดับเทียนดังกล่าว เป็นอันเสร็จพิธีของวันนี้ หลังจากนั้นผู้ร่วมพิธีบางส่วนก็ทะยอยกันกลับบ้างก็อยู่ร่วมร่ายรำกับบรรดาแม่โพสพและลูกคู่ ไปจนถึงเวลาพระทำวัดเย็น
ยัง ยังไม่จบพิธีซะทีเดียว เพราะตอนกลางคืนมีมหรสพสมโภชน์งานรับขวัญแม่โพสพ มีกำหนดให้บรรดาสาวงามในวงลิเกมารำถวายต้นบายศรีและบริวารอีกรอบนึง
หมายเหตุตบท้าย
วงมังคละเป็นวงดนตรีของหมู่บ้านมาด้วยใจ วงปี่พาทย์เป็นวงดนตรีจากหมู่บ้านอื่นต้องจ่ายตังค์จ้างมา