"เมื่อฉันแก่ตัวลง"...ซึ้งมาก ๆ


"เมื่อฉันแก่ตัวลง"...ซึ้งมาก ๆ   

ลูกๆทุกคน - โปรดอ่าน !!
          อยากให้อ่านให้จบนะคะ โดยเฉพาะ คนที่อยู่ห่างไกลพ่อแม่ และ อยากมีอนาคตที่สวยงาม เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่งที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไป ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลงแต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเองตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง...ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามากจนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษแม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูกแม่ดึงเอา สมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...

          สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่นช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย... แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่าเดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่าเดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ   สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้วแม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม
 
          เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่าแม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออกพอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...
 
          พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้นแต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย  โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ  ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมาในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมืองต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไรตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น
 
          แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบากวางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้น หนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจเพราะผมไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้ ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบแต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะแม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้นแล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า


เมื่อฉันแก่ตัวลง
ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004
เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกทีบทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับ หนึ่งของเม็กซิโก
ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นทันที
...
เมื่อฉันแก่ตัวลง.....ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
 
ถ้าฉันทำน้ำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง....ถ้าฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า
ขอให้คิดถึงตอนเธอเด็กๆ...ที่ฉันสอนเธอหัดทำทุกอย่าง
 
ถ้าฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ….ขอให้อดทนสักนิด
อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย
 
ถ้าฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ
ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆได้ไหม ฉันต้องทั้งกอดทั้งปลอบเพื่อให้....เธอยอมอาบน้ำ
 
ถ้าฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆโปรดอย่าหัวเราะเยาะฉัน….
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถามทำไม ทำไมทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม
 
ถ้าฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว
ขอ....จงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉันเหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ
 
หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่โปรดให้เวลาฉันคิดสักนิด
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว.....กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน......ฉันก็พอใจแล้ว
 
ตอนนี้ถ้าเธอเห็นฉันแก่ตัวลง...ไม่ต้องเสียใจ...ขอให้เข้าใจฉัน....สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
 
ในตอนนั้น....ฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้....ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทางของชีวิตโปรด....ให้ความรักและความอดทนต่อ..ฉัน


ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ.... ในแววตาอันฝ้าฟางของฉัน....มีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ องฉันที่มีให้กับ..........เธอ  


 ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที.... เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตอนนั้นแม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผม กลับไปแล้วจึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้รู้สึกแม่จะดีใจมากเหมือนกับว่าหนังสือ พิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผมและเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือ พิมพ์เหล่านั้นผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่งแม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว
 
หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ


เมื่อฉันแก่ตัวลงบทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป
 
ตอนนี้ ผมขออุทิศบทความนี้ ให้กับลูกๆทั้งที่พเนจรและไม่ได้พเนจรทั้งหลาย...ถ้ามีเวลาว่างก็แวะไปหาท่าน หรือไม่ก็โทรไปหาท่านบ้าง บอกท่านว่าคุณอยากกินอาหารที่ท่านทำเสมอ....
ท่านไม่ได้ต้องการอะไรจากเรามากไปกว่า...แค่ได้รับรู้ว่า เราสุขสบายดี..ถ้าหากเราไม่สามารถไปเยี่ยมท่านได้....ตอนคุยโทรศัพท์กับท่าน...
โปรดยิ้มให้กว้างๆและยิ้มบ่อยๆ...แม้ท่านจะมองไม่เห็น..แต่ท่านจะรู้สึกได้...... คำว่าอนาคตที่สวยงามที่เราบอกไปในตอนแรก เราขอขยายความว่า

 
มันคือ อนาคต ที่คุณและ พ่อแม่คุณ จะได้มีความรักความเข้าใจต่อกันมากๆ....มากกว่าที่คุณเคยคิดว่าคุณจะมีให้ท่านได้ 


 
ขอให้ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้

เป็นลูกที่ดี

มีอนาคตที่ดี

เพื่อคุณพ่อและแม่ค่ะ
 


ได้รับเมลจากเพื่อน เมื่อวันที่  4  ตุลาคม  2549 

รักแม่ค่ะเดี๋ยวเย็นนี้จะซื้อข้าวเหนียว หมูปิ้ง และปลาดุกปิ้งไปฝากแม่นะคะ

หมายเลขบันทึก: 97037เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2007 16:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

ขอบคุณมากครับ น้ำตาผมซึม ๆ นะ(ผมรู้สึกว่าอย่างนั้น) ขอมอบบทกลอนแด่ผู้อ่านทุกท่านครับ

พ่อแม่แก่เฒ่า

จาก อ. สุนทรเกตุ ครับ

พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน

จะพบจะพ้องนาน เพียงเสี้ยววานของคืนวัน

ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน

แต่ชีพมิทนทาน ย่อมร้าวรานสลายไป

ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ

คนแก่ชราวัย ผิดเผลอไผลเป็นแน่นอน

ไม่รักก็ไม่ว่า เพียงเมตตาช่วยอาทร

ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ

เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย

ร้องไห้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าช่วยปลอบปรน

เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน

หวังเพียงให้ได้ผล เติบโตจนสง่างาม

ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุกๆยาม

ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย

ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้

วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง

ขอบคุณคุณครูมากนะคะ

อ่านเรื่องนี้ทีไร น้ำตาซึมทุกครั้งค่ะ

ครั้งนี้จึงนำมาแชร์ให้เพื่อน ๆ ใน G2K ค่ะ

บทความ "พ่อแม่แก่เฒ่า" ก็ได้บันทึกไว้ในใจ ไว้เตือนตนอยู่เสมอค่ะ  ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

 

ซาบซึ้งค่ะ..นึกถึงแม่ตัวเองมากๆ..สนุกและท้าทายดีที่เราจะหาวิธีใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนสภาพและอุดมการณ์อันแตกต่าง...แต่จุดร่วมอย่างหนึ่งที่ต้องนำมาใช้คือทั้งพ่อ/แม่และลูกต่างรักและเป็นห่วงซึ่งกันและกัน..

บูชาบุญคุณและทดแทนคุณบิดามารดา เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตลูกคะ

พี่บุญค่ะ

ขอบคุณที่มาร่วมกันซึ้งค่ะ

 

คุณ
P

คะ  อยากให้ลูก ๆ ได้อ่าน จะได้คิดถึงพ่อและแม่ให้มาก ๆ ลูกที่อยู่ใกล้พ่อแม่ ก็จะได้ทำให้พ่อแม่มีความสุข  ลูกที่อยู่ไกล ๆ ก็จะได้มีโอกาสย้อนมองกลับบ้านกันบ้างค่ะ

รู้ว่าลูกทุกคนรักและเป็นห่วงพ่อแม่ แต่เราก็ควรมีกิจกรรมหรืออะไรที่สื่อถึงความรักนั้นด้วยค่ะ

ขอบคุณนะคะ

ขอบคุณน้องลี่

ที่มาเยี่ยมค่ะ

พี่ชาย(ขจิต)สบายดีไหมค่ะ

จำสัมผัสครั้งสุดท้ายของแม่ไม่ได้  เพราะอยู่กับพ่อมาตั้งแต่ตอนอายุประมาณ 3 ขวบ

ถึงแม้ตอนนี้พ่อจะมีคนดูแลเป็นอย่างดี และอยู่สบายดีกับครอบครัวใหม่  แต่เมื่อได้อ่านบันทึกนี้แล้ว  คิดถึงพ่อจัง  ไว้พรุ่งนี้จะโทรหาพ่อนะคะ

ขอบคุณคะสำหรับบันทึกดี ๆ

อ่านผ่านแว้บ ในครั้งที่ 1  ส่วนครั้งนี้ อ่านทุกตัวอักษรด้วยความตั้งใจค่ะ

 

 

  • ขอบคุณมากครับ
    P
  • เมื่อหัวค่ำเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากน้อง ที่อยู่ดูแลคุณแม่ที่โคราช โทรมาถามข่าวคราว ว่าสบายดีหรือ ? เพราะได้โทรกลับไปบ้านเลย ตั้งแต่มาสารคามเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
  • มาอ่านบันทึกนี้แล้วรู้สึกว่า...ใกล้จะเป็นลูกชายที่ไปทำงานที่ญี่ปุ่นเสียแล้วเรา....จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิดต่อไปครับ
  • แก้ คำตก ครับ
  • เพราะ ไม่ ได้โทรกลับไปบ้านเลย

หนูแป๊ดคะ

ขอบคุณแป๊ดนะคะ  พ่อแม่ รวมถึงผู้มีพระคุณกับเราคนอื่น ๆ ด้วยค่ะ

ขอบคุณที่มีวันนี้และจะอยู่เป็นเพื่อนที่ดีเคียงข้างกันตลอดไปค่ะ

ขอบคุณอาจารย์แพนด้ามากนะคะ

งาน UKM คงผ่านไปด้วยดีนะคะ

มีโอกาสคงได้ไปพบอาจารย์ที่ มมส.ค่ะ (อยากกินส้มตำ...อิอิ)

วันนี้ยิ้มให้ "พ่อ" กะ "แม่" หรือยังค่ะ

ยังอ่านไม่จบเลย น้ำตาก็จะร่วงแล้วอะ

ชอบมากคับ

ผมรักพ่อแม่

ขอบคุณ น้าอึ่งมากครับ

ที่นำบทความดีๆมาให้อ่าน

ขอบคุณครับ

ผมชอบอาหารที่คุณพ่อทำและการกินข้าวที่บ้านพร้อมกันเป็นครอบ ครัวมาก ปลื้มปิติและชอบมากเหนือสิ่งอื่นใด เพราะมันอบอุ่น เรียบง่าย แต่ล้ำค่า

นี่อาจจะฟังดูตลกที่ผมพูดแบบนี้ แต่ว่ายามใดที่ท่านใดก็ตามเหนื่อย ท้อแท้ หรือสิ้นหวัง ผมขอให้ท่านและครอบครัวของท่าน เพียงนั่งลงและทานข้าว ’ด้วยกัน’… เพราะสิ่งที่น่าท้อใจที่สุดในชีวิตคือ ความหิวและการทานข้าวตัวคนเดียว

ขอขอบคุณให้กับบทความดีๆที่ให้ผมได้อ่านนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท