ครบรอบหนึ่งสัปดาห์


ไปบ้านคนไทย

วันที่ 13 พฤษภาคม 2550

วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 สัปดาห์ครับ 1 สัปดาห์ผ่านไปไม่ไวเหมือนใจคิด อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่ค่อยชินกับสถานที่สักเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ผมตื่นขึ้นมาในเวลาเดิม อาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบออกไปโรงพยาบาล กินกาแฟกับแซนด์วิชที่ Kopitiam จนอยู่ท้อง แล้วขึ้นไปรอ Shukiman ที่ชั้น 6 ผมเข้าไปนั่งรอในสำนักงานภาควิชา ไม่นานก็ได้ยินเสียง ตุ๊ดตุด ตุ๊ดตุด มาอีกแล้ว คราวนี้ผมรู้แล้วว่ามันน่าจะเป็นรถส่งอาหาร นั่งรอจนเบื่อจนกระทั่ง 8 โมงจึงกลับออกไป

               

วันนี้ผมมีนัดกับคุณอุ๊เรื่องที่จะไปดูบ้าน แต่ไม่นานก็ทราบข่าวร้ายว่าบ้านที่มีนั้นเขารอรับเด็กผู้หญิง ดังนั้นผมจึงหมดสิทธิ์ แต่คุณอุ๊บอกว่าจะพยายามหาให้อีก ผมนั่งทำงานจนเกือบเที่ยงก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณอุ๊ว่ามีอีกที่หนึ่งอยู่ไกลออกไปอีกนิด แต่เป็นบ้านคนไทยที่เขาทำ home stay จะให้ผมเช่าในราคา 350 เหรียญ และให้ผมโทรไปหาคุณนุ้ยซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ฉับพลันทันใดก็กดไปหาเลย

               

คุณนุ้ยบอกว่า ปกติจะมีเด็กเช่าอยู่ครั้งละ 3 คน คิดคนละ 1000 เหรียญ แต่สำหรับผมคิด 350 ก็พอ เพราะคุณอุ๊บอกไปก่อนแล้วว่าเรารายได้น้อยมาก จากนั้นก็เลยนัดกันว่าจะไปดูบ้าน เขาแนะนำให้ผมนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่ Admiralty แล้วจะส่งหลานมารับที่ MRT อารามดีใจสุดขีด จึงรีบเปิดแผนที่ดู ปรากฏว่าถึงกับช๊อค เนื่องจากที่ที่ท่านอยู่นั้นไกลจนเกือบสุดเขตชายแดนสิงคโปร์-มาเลเซีย แต่ไหนๆก็นักกันแล้วผมจึงรีบไปทันที ผมนั่งรถบัสสาย 48 ไปลงที่ Little India แล้วขึ้นรถไฟฟ้าไปเปลี่ยนสายที่ Dhoby Ghaut แล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปอีก 13 สถานี ในเวลา 35 นาที (ที่ไม่รวมการเดินทางจาก Little India มานะ) รออีกประมาณ 15 นาที หลานคุณนุ้ยก็มารับ ตอนนี้คุณอุ๊ก็มาสมทบด้วย รวมแล้วตอนนี้เรามีด้วยกัน 5 คน สาวๆทั้งนั้น คุณอุ๊เป็นคนไทยที่มาทำงานในบริษัททัวร์ที่นี่ได้เกือบ 2 ปีแล้ว อายุมากกว่าผมหลายปี (แต่ตอนแรกพบเกือบเรียกอุ๊แล้ว เนื่องจากผมคิดว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน) ส่วนอีก 3 คนเป็นเด็กๆอายุราวๆ 15 ปี น้องอายเป็นหลานสาวคุณนุ้ย น้องเดียร์ไม่ได้เป็นญาติใคร แต่เป็นเพื่อนน้องอาย และบังเอิญอยู่บ้านเดียวกับคุณอุ๊ อีกคนเป็นเด็กที่ครอบครัวคนไทยฝากให้อยู่บ้านคุณนุ้ย เพื่อเรียนหนังสือที่นี่ (ไม่ได้ถามชื่อ) เราต้องนั่งรถบัสอีกรอบเพื่อเข้าไปยังย่านที่พักอาศัย บริเวณที่ผมอยู่ขณะนี้คือแฟลตของรัฐบาล ที่เรียกว่า HDB ลักษณะรูปทรงจะเหมือนกันทุกประการ แบบว่าไม่ต้องเสียเวลาออกแบบเลย ลงทุนเขียนแค่หมายเลขแล้วเราจำให้ได้ ก็ไม่มีปัญหา

               

ห้องของคุณนุ้ยอยู่ที่ชั้น 9 เขามี 2 ห้องติดกัน ห้องแรกอยู่เองร่วมกับหลานสาวและเด็กผู้หญิงอีก 2 คนที่ครอบครัวเมืองไทยฝากไว้ อีกหลังหนึ่งติดกันเอาไว้ให้เช่า มีลูกสาวคนเล็กอยู่กับสามี ห้องหับที่นี่สะอาดมาก คุณนุ้ยเป็นหญิงไทยอายุ 50 กว่าปีแล้ว อยู่ที่สิงคโปร์ 30 กว่าปีเนื่องจากมีสามีที่นี่ ก่อนหน้านี้เป็นคุณครูสอนทำอาหาร แต่ตอนนี้ทำไม่ไหวแล้ว เพราะว่ามีปัญหาเรื่องหลัง หลังจากผ่าตัดไปแล้วก็เริ่มมีปัญหาซ้ำ นี่เพิ่งเริ่มเดินได้ประมาณ 1 เดือน หลังจากที่ต้องนั่งรถเข็นประมาณ 2 ปี ที่นี่เลี้ยงหมาและแมวอย่างละตัว มันไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นัก

               

วันนี้คุณนุ้ยทำทับทิมกรอบพอดี ผมเลยมีลาภปาก ผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนะครับ ได้ดื่มน้ำเย็นๆ 2 แก้วเต็มๆแสนจะชื่นใจ ผมห่างน้ำดื่มและน้ำเย็นๆมานานแล้ว จากนั้นก็พาไปดูในห้องเช่า ลักษณะก็เหมือนบ้านในแฟลตทั่วไป มีห้องนอน 2 ห้อง ห้องที่ให้เช่ามีเตียง 2 ชั้น ทั้งนี้เพราะเด็กๆเขานอนกันได้ อากาศเย็นสบายถ่ายเทสะดวก กว้างขวาง ตอนนี้เป็นช่วงที่ไม่มีเด็กอยู่เลย ผมจึงสามารถอยู่ได้ อีกอย่างผมเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว คุณนุ้ยคิดว่าไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหากับเด็กๆสาวๆที่อยู่อีกหลังหนึ่งหรอก ปกติเขาไม่รับผู้ชายครับ หลังจากนั้นก็นั่งคุยกัน คุณนุ้ยเป็นคนพูดเก่งมาก ผมเองนั่งฟังจนเพลินไปเลย เธอเล่าเรืองราวต่างๆให้ฟังตั้งหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องครอบครัวที่ฝากลูกมาเรียน มีเด็กหญิงอีก 2 คนที่กำลังอยู่เรียนหนังสือและพักที่บ้านคุณนุ้ย ทั้งคู่เป็นลูกเศรษฐีที่เมืองไทย แต่เชื่อหรือไม่ว่า ด้วยความที่พ่อแม่เป็นนักธุรกิจใหญ่ เขาทำงานจนไม่ได้ดูแลลูกเลย ลูกกลายเป็นลูกของคนใช้ชาวพม่า จนวันหนึ่งลูกพูดจาออกมาเป็นภาษาแบบที่พวกเราชอบเย้ากัน จะไปหนา(ไปไหน) ไม่กี (ไม่กิน) ก็เริ่มรู้ตัวว่าไม่ได้ดูแลลูก แต่ก็ยังไม่สามารถหาเวลาให้ลูกได้อยู่ดี จึงส่งมาที่สิงคโปร์เพื่อให้เรียนหนังสือที่นี่ และให้คุณนุ้ยดูแล เด็กทั้ง 2 คนก็เป็นเด็กที่ขาดการอบรมสั่งสอน ทำเอาคุณนุ้ยลำบากอยู่มากโข แต่ตลอด 3 ปีที่อยู่ด้วยกันคุณนุ้ยก็สามารถขัดเกลาได้ระดับหนึ่ง

               

นิทานเรื่องนี้สอนให้ผมเข้าใจชีวิตขึ้นมาอีกหน่อย บางครั้งคนทำงานหาเงินก็ไม่ใช่เพื่อใครหรอก เพื่อตัวเองใช่ไหมครับ ครอบครัวนี้เป็นตัวอย่างได้อย่างดีที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้วพ่อแม่ก็เลี้ยงลูกด้วยเงิน ลูกเป็นลูกคนใช้ และครอบครัวก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมเองพยายามเลี้ยงลูกสาวทั้ง 2 ให้ดีที่สุด ไม่ได้เลี้ยงด้วยเงิน (เพราะมันมีไม่มาก) โชคดีที่ลูกไม่เคยโวยวายอยากได้ของหรือนอนกรีดร้องในห้างสรรพสินค้าเหมือนที่เราเคยเห็นกัน มีครั้งหนึ่งที่ลูกสาวบอกว่าอยากได้ทีวีติดในรถ ผมก็บอกว่ามนแพงมากนะลูก แต่พ่อมีวิธี คือถ้าลูกอยากได้เดี๋ยวพ่อก็เปิดคลินิก ทำคลอดเยอะๆ แล้วลูกก็จะได้สิ่งที่ลูกต้องการ แต่พ่อก็จะมีเวลาให้ลูกน้อยลงนะ เค้าก็เงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้นมาว่า ไม่เป็นไรพ่อ เดี๋ยวโตขึ้นพี่แป้งทำงานแล้วค่อยซื้อเองก็ได้ คนที่มีลูกแล้วคงเข้าใจความรู้สึกของผมตอนนั้นได้ดีนะครับ

               

แฟลตที่นี่สะอาดเรียบร้อย สบายตา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลจะส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลความเรียบร้อยอยู่เสมอ เขาถือว่าพื้นที่นอกประตูบ้านเป็นพื้นที่สาธารณะ จะวางรองเท้าเกะกะ จอดรถจักรยานทิ้งไว้ขวางทางคน อื่นไม่ได้ ห้ามเลี้ยงแมว เพราะแมวชอบเดินนอกบ้าน ปล่อยฉี่ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว (แต่ที่นี่เลี้ยงแมว เพราะว่ามันอยู่แต่ในบ้าน)

               

เราคุยกันนานจนเย็นจึงลากลับ ผมรู้มาว่า วันนี้เป็นวันแม่สากล ครอบครัวนี้และครอบครัวอื่นๆเขาจะออกไปกินเลี้ยงฉลองกัน ผมพร้อมด้วยคุณอุ๊และน้องเดียร์ก็เลยลาออกมา ผมบอกว่าขอตัดสินใจดูก่อนเรื่องการเช่าบ้าน เพราะว่ามันไกลเหลือเกิน คราวนี้เรานั่งรถบัสไปลงที่ Woodland MRT เราทั้ง 3 เดินหาของกินให้เสร็จก่อนกลับบ้าน ผมเลี้ยงน้ำสองสาวเป็นการขอบคุณ จริงๆแล้วคุณอุ๊ก็เพิ่งรู้จักคุณนุ้ยวันนี้นี่แหละ น้องเดียร์เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด ที่นี่ผมซื้อแอปเปิ้ลและลูกแพร์กลับไปกินด้วย คิดถึงผลไม้เต็มที

               

ผมใช้เวลาจากสถานี Woodland มาถึง Little India ราวๆ 1 ชั่วโมงครับ และตัดสินใจได้ทันทีว่าไม่ไหว พรุ่งนี้จะโทรไปบอกคุณนุ้ยอีกที
หมายเลขบันทึก: 96116เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2007 12:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม 2012 23:20 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
เรื่องการหาที่พักที่อาจารย์เล่านี่ คนเคยมีประสบการณ์เดียวกัน ซาบซึ้งมากเลยค่ะ แม้จะต่างกันคนละทวีป แต่สภาพการณ์ไม่ต่างกันเลยค่ะ

เห็นด้วยครับว่าไกลไป

ผมมาเจอหมอที่มาจากอินเดีย ชื่อ ปรียา ทำงานที่ KKH เหมือนอาจารย์แป๊ะ บ่นเรื่องการเดินทางจากที่บ้านพักมาโรงพยาบาล เดินทางไปกลับวันละ ๓ ชม. เธอบอกว่า อยู่ได้เดือนเดียวก็ไม่ไหว

หาทางขยับขยายต่อไปครับ

ตกลงผมจะกลับมาสิงคโปร์อีกหนเดียว ตอนเดือนตุลาคม ๒ อาทิตย์ ส่วนช่วงดูงานสามเดือน ผมอาจต้องเปลี่ยนที่ไม่กลับมาสิงคโปร์แล้ว น่าจะเป็นออสเตรเลียตามคำแนะนำของอาจารย์ทางโน้น 

หาที่เช่าบ้านที่ไม่ใช่เมืองเราลำบากนะคะ

มีปัจจัยหลายอย่างเป็นตัวทำให้ต้องคิดดีๆ ค่ะ

แต่ไม่อยากให้มันทำให้เราลำบาก ทุกวัน

แพงหน่อย ใกล้กว่าน่าคิดเหมือนกันนะคะ

อาจารย์ ลองอ่านที่พีเช่าที่เมืองไมอามี่ ที่นี่ ค่ะ

ราคาประมาณครึ่งหนึ่งของการเช่าโรงแรมชั้น 2 ที่นี่ แต่มีอุปกรณ์ทุกอย่างให้ และบริเวณบ้านน่าอยู่

มีความสุขทีเดียวค่ะ

ปลายเดือนหน้า ผมจะย้ายไปอยู่แถวย่านอินเดียน้อยแล้วครับ

เดิน 10 นาทีก็ถึงโรงพยาบาล ราคา 550 เหรียญ ไม่ต้องเสียค่ารถ ของกินอยู่รายรอบ

สิ่งแวดล้อมแย่กว่าที่เดิมตรงที่พลุกพล่านมาก แต่เงินพวกเราถูกกว่าเขาครับ ดังนั้นทนๆไปหน่อยก็น่าจะอยู่ได้ครับ

  • ดีค่ะ.....เห็นด้วยว่าเหมาะสมค่ะ...อาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญค่ะ
  • ครูอ้อยไปนั่งกินโรตีกับแกง ที่ร้านอะไรจำไม่ได้ตรงหัวมุมถนน   คนขายเป็นคนไทย  ตักแกงให้เราตั้งเยอะค่ะ..ไม่แพงด้วยค่ะ

เสาร์อาทิตย์เวลาอาจารย์แป๊ะกลับมาเยี่ยมลูก อย่าเผลอทำคอยึกๆ แบบชาวพาหุรัดสิงคโปร์แล้วกัน

เห็นด้วยครับย้ายมาพาหุรัดดีกว่า เป็นห่วงเพื่อนร่วมห้องชาวเกาหลีคนนั้น 

ตกลงว่าห่วงผมหรือห่วงน้องเกาหลีคนนั้นครับอาจารย์

เรื่องคอหยึกๆนี่ผมเองก็สังเกตได้ครับ

เมื่อครั้งที่มีคนศรีลังกามาตรวจ เวลาเธอเห็นด้วย เธอจะส่ายหน้าครับ ส่ายทั้งหัวและสะเอวเลยครับ ไม่ได้สังเกตว่าเวลาไม่เห็นด้วยจะพยักหน้าหรือไม่

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท