มิจฉาชีพตามร้านอาหาร ในห้างสรรพสินค้า


เคยได้อ่านเมล์นี้ นานมาแล้ว ได้รับอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าแก๊งค์นี้ได้ถูกจับตัวแล้ว แต่ดิฉันเชื่อว่า คนที่คิดแผนการแบบนี้ยังมีอยู่ในสังคม ใครมีญาติพี่น้อง ลูกสาว น้องสาว แม้แต่ผู้ชายก็อาจถูกล่อลวงได้ ไปไหนก็ตามให้มีสติ และ ระวังภัย ที่คาดไม่ถึง

***************************************************************** 
การวางจานอาหารจองโต๊ะที่ฟาสท์ฟู้ดไว้ แล้วไปซื้ออย่างอื่นเพิ่มเติม อาจเป็นอันตราย เนื่องจากมิจฉาชีพจะทำทีมาหยิบทิชชูแล้วใส่ยานอนหลับอย่างแรง แล้วออกไป จากนั้นแกล้งเข้ามาถามทาง เห็นอาการเราแล้วสงสารพาส่งโรงพยาบาล ขึ้นรถไปปลดทรัพย์ และข่มขืน เน้นว่าต้องข่มขืน เพื่อให้อับอายไม่กล้าแจ้งตำรวจ
----------------------------------------------------
นางผาสุก อายุ ๒๘ ปี เข้าไปจับจ่ายซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อรู้สึกหิว จึงแวะรับประทานอาหารที่ศูนย์อาหารของห้าง ที่นั่นมีผู้คนพลุกพล่าน เธอจึงไม่ทันสังเกตถึงสายตาประสงค์ร้ายสองคู่กำลังจับจ้องตนเองอยู่โดยมีเครื่องประดับมีค่าบนตัวเป็นเป้าหมาย ผาสุกทิ้งอาหารไว้บนโต๊ะ เพื่อไปซื้อเครื่องดื่ม จึงเป็นโอกาสของคนร้ายที่จะลงมือปฏิบัติการ

จริยา (นางนกต่อ) 1 ในแก็งค์ฟ้าสฟู้ด ซึ่งนั่งห่างออกไปไม่ไกลนัก รีบเดินมาที่โต๊ะของผาสุกทำทีเป็นหยิบทิชชูบนโต๊ะ ด้วยความรวดเร็วแอบเทยานอนหลับอย่างแรงใส่ลงไปในอาหารที่ผาสุกวางทิ้งไว้ แล้วทำทีเป็นเดินเลือกซื้ออาหารตามร้าน

ผาสุกกลับมาที่โต๊ะพร้อมน้ำดื่มและเริ่มต้นรับประทานอาหาร ขณะที่จริยาก็หาที่นั่งที่ใกล้ที่สุด....ทำทีดื่มน้ำ
" ตอนนั้นไม่ได้สงสัยอะไรที่ผู้หญิงคนนั้นเขามานั่งใกล้ๆ เพราะฟาสฟู้ดมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างเห็นว่าเขาเป็นผู้หญิงด้วยกัน " ผาสุกให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เพียงเวลาไม่นานที่ผาสุกรับประทานอาหารผสมยานอนหลับเข้าไป เธอก็เริ่มง่วงและมึนศีรษะ และนั่นคือโอกาสของแก็งค์มิจฉาชีพ

จริยาตรงรี่เข้าไปทันที " ขอโทษนะคะ คืออยากจะถามว่าแผนกเครื่องสำอางนี่อยู่ชั้นไหน " ผาสุกพยายามตั้งสติแต่ความง่วงมึนงงมันก่อตัวขึ้นรวดเร็วจนควบคุมไม่ได้

" คุณเป็นอะไร ไปคะ..ไม่สบายหรือคะ " จริยารีบเข้าประคองผาสุขให้ลุกขึ้น ซึ่งเธอก็หมดแรงจะขัดขืน " ฉันจะพยุงไปนะคะ สงสัยต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ "

จริยา (นกต่อ) ประคองกึ่งลากผาสุกออกไปจากบริเวณนั้น มีสายตาหลายคู่จ้องตามไป แต่ไม่มีใครสงสัย เพราะภาพที่เห็นทำให้คิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งไม่สบายและ เพื่อนกำลังพาออกไปเท่านั้น ไม่มีใครสังเกตก่อนหน้านี้ว่าใครเป็นใคร มาคนเดียวหรือมากับใคร นอกจากมิจฉาชีพเท่านั้น!

ผาสุกให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไปว่า
" ตอนนั้นเท่าที่จำได้ก็คือรู้สึกมึนงง เวียนหัว คล้ายจะเป็นลม หนังตามันจะปิดซะให้ได้ ฉันพยายามสู้กับมัน พยายามจะไม่หลับ แต่ก็ไม่มีแรง รู้แต่ว่ามีคนประคอง " จริยานางนกต่อพยายามพยุงเหยื่อที่ใกล้หมดสติไปยังจุดนัดพบ ซึ่งที่นั้นไกรสร สมาชิกร่วมแก็งค์ทำทีเป็นคนขับวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง คอยท่าอยู่แล้ว
ไกรสรตะโกนถาม " มอเตอร์ไซค์มั้ยพี่ " จริยารีบตอบ " ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด " เพียงเท่านี้ก็ขจัดความสงสัยของคนรอบ ๆ ไปได้ แล้วจริยาก็พยุงผาสุกขึ้นรถจักรยานยนต์ซ้อนสามไปด้วยกัน (บางแก็งค์ก็เป็นรถโดยสารประเภทอื่น) แน่นอน คนร้ายมิได้นำเธอส่งโรงพยาบาล แต่กลับพาไปยังบ้านพักของตนเองที่ถนนลาดหญ้า เขตคลองสาน เมื่อมาถึงผาสุกพยายามลืมตามองรอบๆ ก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมด สองมิจฉาชีพรีบประคองผาสุกเข้าไปภายใน มงคลหัวหน้าแก็งค์ซึ่งรออยู่แล้วละลายยานอนหลับให้หญิงสาวดื่มอีก แต่คราวเธอปัดป้องจึงถูกจับกรอกแทน ทั้งคู่ช่วยกันปลดทรัพย์

จริยา (นกต่อ) หยิบกระเป๋าสตางค์ของผาสุกออกดูบัตรประชาชน
" อยู่ไหน " เสียงมงคลถาม " แถวเยาวราช " จริยาตอบ มงคลพยักเพยิดให้จริยาออกไป แล้วจัดการปลดกระดุมเสื้อผาสุขหมายจะข่มขืน ซึ่งพวกมันมักจะทำเป็นประจำภายหลังจากรูดทรัพย์ แล้ว แต่ครั้งนี้เหยื่อไม่มีท่าทีจะหมดสติเอาง่าย ๆ
" ที่ฉันจำสถานที่ได้ เพราะฉันเคยไปมาก่อน และคงเป็นเพราะฉันอาเจียนออกมาหมดด้วย " ผาสุกให้การต่อไป " ตอนที่มาถึงบ้านคนร้าย ก็พยายามสำรวจว่าเราอยู่ที่ไหน รู้สึกว่ามันผิดปกติแล้ว แต่ไม่มีแรง พวกมันเอาน้ำมาให้กิน แต่คิดว่าเป็นยานอนหลับอีก ไอ้คนที่เป็นหัวหน้าพยายามลวนลาม ฉันเลยรวบรวมสติขัดขืน มันก็คงร้อนตัว "
เมื่อเห็นว่าเหยื่อยังมีสติ คนร้ายจึงรีบร้อนพาเหยื่อออกจากบ้านโดยเร็ว

คราวนี้ด้วยรถแท๊กซี่ซึ่งเป็นพวกเดียวกัน นำเธอไปทิ้งไว้ไม่ไกลจากบ้านของเธอเอง
" ตอนนั้นฉันเกือบจะไม่ได้สติแล้ว แต่ยังจำได้ว่าเป็นซอยบ้าน จึงพยายามเดินไปให้ถึง พอถึงบ้านก็หลับเป็นตายเลย " ผาสุกสรุปคำให้การ.....เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ภายหลังจากที่พยายามทบทวนเหตุการณ์อย่างหนัก เธอก็จำได้ว่าสถานที่ที่ถูกพาไปรูดทรัพย์นั้น ตนเองเคยไปทำธุระมาก่อนเมื่อไม่นานมานี้ เธอจึงชวนน้องสาวไปแอบดูสถานที่เพื่อความแน่ใจ " ใช่ ใช่ แน่แน่ นั่นไงมอเตอร์ไซค์คันนั้น นั่นไงรอยอ้วกของพี่ "

พฤติกรรมของมิจฉาชีพเหล่านี้ จะยังสามารถกระทำกับเหยื่อรายอื่นต่อไปได้อีกหลายครั้ง ถ้านางผาสุกไม่ตัดสินใจเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แก็งค์คนร้ายพวกนี้ความจริงตำรวจกำลังตามจับ เพราะก็ได้ข้อมูลพฤติกรรมพวกนี้อยู่ แต่ที่ผ่านมาไม่มีการแจ้งความ บางคนเป็นพยาบาล บางคนเป็นนักธุรกิจ ยิ่งถ้าโดนข่มขืนด้วยก็คงรู้สึกอับอาย เลยไม่มาแจ้งความ

คราวนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวได้ทั้งแก็งค์พร้อมคำสารภาพ " ผมจะคอยเฝ้าดูอยู่ที่ฟ้าสฟู้ด ตามห้างต่าง ๆ คอยดูคนที่มีทองเยอะ ๆ ท่าทางฐานะดี ทำมาหลายครั้ง กว่า ๒๐ ครั้งได้ ยานอนหลับจะใช้อย่างแรงเลย ซื้อจากร้านขายยาที่บางแค เอามาบดผสมน้ำ ที่ผ่านมามักจะเป็นผู้หญิง รูดทรัพย์แล้วก็ข่มขืนด้วยเพื่อให้เขาไม่กล้าแจ้งความ "

******************************************************************

หมายเลขบันทึก: 96075เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2007 10:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม 2012 11:27 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
น่ากลัวจริงๆเลยค่ะ  จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจดิฉันได้มากๆเลยค่ะ

ตัวเองก็เคยเจอโดนกรีดกระเป๋ามาเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไม่มีทรัพย์สินมากมาย แต่เสียใจและเสียดายความรู้สึกดีๆที่มีต่อผู้หญิงด้วยกัน

2-3 ปีที่แล้ว มีวันหนึ่งบังเอิญแฟนขับรถไปธุระ หลงเข้าไปแถวประตูน้ำ เนื่องจากไม่ค่อยได้เข้ากรุงเทพฯบ่อยนักไปทีไรหลงทางทุกครั้ง ก็เลยหาที่จอดรถพอดีได้ที่จอดรถแถวนั้น ดีใจจัง ที่นี่เขาเรียกประตูน้ำนี่เอง ใฝ่ฝันมานานที่จะซื้อเส้อผ้าสวยและราคาถูก พอดีวันน้เป้นตลาดนัด ผู้คนแน่นขนัด ตอนเดินก็เบียดเสียดยัดเยี่ยดกันเดิน เรียกว่าไม่มีโอกาสล้ม แต่ถ้าโชคร้ายล้มลงไปก็คงโดนเหยียบตายแน่ ขณะที่เบียดไปประมาณกลางทาง ก็ได้ยินพ่อค้าคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเก้าอี้ก็ร้องดังๆเป็นการเตือนว่า "ระวังกระเป๋าตังค์ด้วยนะครับ ๆๆๆๆๆๆ" หลายครั้งมาก ณ เวลานั้นเราก็รู้สึกว่ากระเป่าที่กำลังสะพายอยู่ถูกดึง และดันจนรู้สึกรำคาญ แต่ก็คิดว่าคนคงเบียดเราเอง พอหันกลับไปมองด้านหลังก็เห็นผู้หญิงอายุประมาณ 45-55 ปี ก็คิดว่าไม่มีอะไรเพราะผู้หญิงด้วยกันคงแค่จะเบียดเฉยๆ จนเดินตลอดรอดเส้นทาง ผู้คนเบาบางลง ลูกชายจะให้ซือไอศกรีมก็หยิบกระเป๋า ใจหายหมดเลย กระเป๋าเราโดนกรีดเป็นทางยาว เรียงลำดับเหตุการณ์ อ๋อ......ตอนนั้นน่ะเองที่พ่อค้าร้องเตือนนั่นแหละพ่อค้าคงเห็น แต่ก็คงเป็นแก๊งที่หากินประจำ เลยช่วยได้แค่เตือนเท่านั้น แม้ว่าในกระเป๋าจะมีเงินไม่มาก กระเป๋าก็ราคาไม่แพง แต่เสียใจ เสียความรู้สึก นั่งร้องไห้อยู่เป็นพักใหญ่เลยกว่าจะรวบรวมสติได้ เลยเข็ดค่ะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไปไหนมาไหนก็เลยไม่หิ้วกระเป๋าไปเลย พกแค่มือถือ กับเงินใส่กระเป๋ากางเกงเท่านั้น หรืออย่างมากก็เป้นกระเป๋าสตางค์หนีบไว้ที่ตัวตลอด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท