สิ่งที่หนึ่งในการทำงานของผมเกี่ยวกับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ผมต้องคำนึงถึง คือ กฎระเบียบต่างๆ ที่มีผลกับมหาวิทยาลัย ในฐานะที่หน่วยงานมีสังกัด ซึ่งสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
กฎระเบียบที่ผมยึดเป็นที่ตั้งของแนวการทำงาน คือ
<link> พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545...โดยเฉพาะหมวด 6 มาตราที่ 47-51
<link> พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ...กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ออกตามมาจากการกำหนดของ พรบ.การศึกษา ข้างต้น
<link> กฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2546...ออกโดยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้นลงนามโดยท่านปองพล อดิเรกสาร และยังเป็นแนวทางที่ใช้จนถึงทุกวันนี้
ทำไม่ผมถึงบันทึกนี้ขึ้นมา ก็เพราะมักมีคำถามจากผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพของคณะ/หน่วยงาน โดยเฉพาะที่ผู้มารับผิดชอบใหม่ เช่น
-เราทำการประกันคุณภาพไปทำไม ไม่ทำได้หรือไม่?
-ในเมื่อมีทั้ง ระบบTQA หรือ PMQA หรือจากของ ก.พ.ร. หรือ สมศ. แล้วตั้งหลายระบบ ทำไมไม่เลือกเอาตามที่หน่วยงานคิดว่ามันดีที่สุด?
สำหรับคำตอบส่วนใหญ่ของผมก็ตอบแบบง่ายๆไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงกันต่อ คือ....
“จริงอยู่ครับที่ตอนนี้มหาวิทยาลัยเราต้องรับระบบคุณภาพเข้ามาทำก็มากอยู่พอสมควร ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้น ผมก็เข้าใจในจุดนี้ครับ แต่ทำงัยได้หล่ะในเมื่อเราเป็นสถาบันอุดมศึกษา ที่ชื่อว่ามหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการ เราคงปฏิเสธ กฎ หรือ ระเบียบ ที่ประกาศออกมาไม่ได้ เขาให้เราทำอะไรเราก็ต้องทำเช่นนั้น เราไม่ใช่หน่วยงานอิสระที่ไม่ได้สังกัดใครเลย อย่างนั้นเราก็คงอยู่ไม่ได้หรอกครับ อย่างผม อย่างอาจารย์ก็ได้รับเงินเดือนจากภาษีของประชาชนเช่นกัน เราจะทำเหมือนแข็งเมือง อย่างเมืองขึ้นที่ต้องการประกาศเอกราช คงทำเยื้องนั้นได้ไม่ ก็คงต้องร่วมด้วยช่วยกันทำงานกันต่อไปครับ ผมก็คงตอบได้เช่นนั้น”
ในช่วงการเข้ามาทำงานประกันคุณภาพภาพตั้งแต่แรกๆ ผมได้รับคำถามเหล่านี้มามากมาย รวมถึงเสียงบ่นตามหลังพอสมควร ก็เปลืองตัวอยู่มาก แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป 3-4 ปี ทุกคนเริ่มเข้าใจถึง ระบบ กลไก ของการประกันคุณภาพแล้ว โดยเพราะเกิดผลอย่างเห็นได้ชัดเกี่ยวกับการพัฒนาหน่วยงาน
แต่อย่างไรเชื่อแน่ว่าในอนาคต 3 องค์กรยักษ์ใหญ่ที่มีผลกระทบกับมหาวิทยาลัย คือ สกอ. สมศ. และ กพร. จะจับมือกันเพื่อสร้างระบบกลไก ให้กระชับ ลดภาระของผู้ปฏิบัติได้ ไม่ช้าก็เร็ว ถึงจะไม่ทั้งหมด ก็ขอแค่ส่วนหนึ่งก็พอ
อย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมตอนนี้ คือ ทาง สกอ. ได้จัดทำคู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ 44 ตัวบ่งชี้ โดยส่วนหนึ่งของตัวบ่งชี้สามารถรองรับการประเมินคุณภาพภายนอก จาก สมศ. ซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดี
ดังนี้สถาบันอุดมศึกษา และหน่วยงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา ต้องยึด 9 องค์ประกอบ ตามที่ สกอ. กำหนดไว้ และที่สำคัญ กฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2546 กำหนดไว้ชัดเจน
บันทึกนี้จึงแค่อยากบอกว่า ทำไมเราต้องมีระบบการประกันคุณภาพภายใน ที่ต้องสอดคล้องกับ สกอ. ด้วย เพราะมันเป็นกฎหมายครับ ถ้าใครจะต้องมารับผิดชอบงานประกันคุณภาพ โดยเฉพาะผู้บริหารของหน่วยงาน กฎหมายทั้ง 3 ที่ผมลิงค์ไว้ให้ ลองศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้นะครับ จะทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีจุดหมายและไม่มีความคาใจว่า “ทำไปทำไม่ ทำเพื่ออะไร”
KPNขอบคุณท่านอาจารย์ขจิต
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนมากเกิดขึ้นจากหน่วยงานที่มีผู้บริหารสูงสุดไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการประกันคุณภาพ หรือไม่เข้าใจหลักการของมัน
โดยมีความเชื่อเก่าที่ว่า มันเป็นภาระเพิ่ม
ขอบคุณน้องบีเวอร์
วิธีที่ มมส. ใช้แต่เมื่อครั้งก่อนที่เกิดปัญหาเหล่านี้ ใช้กลยุทธ์หลายอย่างครับ เช่น
ไม่ว่าจะเป็นระบบประกันคุณภาพภายใน ตาม สกอ. (หน่วยงานต้นสังกัด), ระบบประกันภายนอก ตาม สมศ., ระบบประกันคุณภาพ ตามแบบ ของ ก.พ.ร., หรือระบบ TQA หรือ PMQA, ISO, 5ส เป็นต้น ระบบเหล่านี้มีเจตนาเพื่อพัฒนาคุณภาพของหน่วยงานทั้งนั้นแต่อย่างไรหน่วยงานต้องเลือกที่จะนำมาใช้ ต้องพิจารณาจากความพร้อม สภาพแวดล้อม หรือปัญหาที่มีอยู่ เพื่อนำมาใช้ให้เหมาะสม เกิดความคุ้มค่า ทั้งค่าใช้จ่าย เวลา และเกิดผลจริงๆทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนในหน่วยงานต้องมีส่วนในการเลือกนำมาใช้ครับ