เพื่อนรักที่รู้ใจ
ให้หนังสือดี ๆ มาเล่มหนึ่ง
ซึ่งหากนับจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ปีกว่าแล้ว ยามใดที่คิดถึงเพื่อนและมีเวลาพอก็จะหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน ถ้อยคำสั้น ๆ เขียนด้วยลายมือของเพื่อนบนปกด้านในของหนังสือ.... “เพื่อความสะอาด สว่าง สงบแห่งชีวิต” ทำให้เราหวนคิดถึงเรื่องราวบางเรื่องที่เป็นจุดหักเหของการก้าวเดินบนถนนแห่งการเรียนรู้ของชีวิต
เมื่อสิบหกปีที่แล้ว ช่วงที่เป็นนักเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส มีรายวิชาหนึ่งที่ชื่อว่า "Le Cas Concret " หรือ “กรณีรูปธรรม” ซึ่งเป็นวิชาที่น่าสนใจมาก เพราะเนื้อหาที่เหล่านักศึกษาจะได้รับฟังนั้น เป็นเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์การทำงานที่เป็น “ของจริง” เป็น “Story Telling”ที่เล่าโดย "อาจารย์รับเชิญ” ซึ่งเป็นนักพัฒนา นักวิจัย และนักวิชาการที่ทำงานด้านพัฒนาการเกษตรในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
เราตั้งใจเรียนวิชานี้เป็นพิเศษด้วยความอยากรู้ว่า การพัฒนาการเกษตรที่เกิดขึ้นภายใต้บริบทที่หลากหลาย มีที่มาที่ไปอย่างไร มีผลอย่างไร มีแนวทางการแก้ไขหรือคลี่คลายปัญหาอย่างไร โดยเฉพาะการจัดทำโครงการหรือแผนพัฒนาการเกษตรที่จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนา
ด้วยหวังไว้ในใจว่า เมื่อใดที่ได้กลับบ้าน... ชุดความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับจากผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ จะสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้บ้าง...
แต่ความจริงที่ได้รับรู้ผ่าน “กรณีรูปธรรม” จำนวนนับสิบ ๆ กรณีนั้น ทำให้เราได้ตกผลึกทางความคิดเและมี “บทสรุป”กับตัวเองว่า “กลไกที่เป็นอยู่และดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นไปตามกฎที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ...ดังนั้น ปลาเล็กย่อมตกเป็นเหยื่อของปลาใหญ่เสมอ” เราตั้งคำถามกับตัวเองต่อไปว่า “ในเมื่อมนุษย์ไม่ใช่ปลา วิถีของมนุษย์จึงไม่ควรเหมือนปลา มนุษย์จะสามารถเป็นเหมือนปลาตัวใหญ่ใจดี ที่นอกจากจะไม่กินปลาตัวเล็กแล้ว กลับยังคอยปกป้องคุ้มครองเจ้าปลาตัวเล็กได้หรือไม่”
หลังจากเรียนวิชานี้แล้ว เรายังคงมีวิชาอีกหลายวิชาที่ต้องลงเรียน หากแต่ในระหว่างที่นั่งฟังการบรรยาย ระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายทั้งในและนอกสถาบันการศึกษา เรามักมีคำถามแปลก ๆ ผุดขึ้นในใจเสมอ ๆ ....เป็นคำถามที่เราไม่สามารถหาคำตอบได้...
วิชาอันมีค่า เหมือนสินค้าอยู่แดนไกล
ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา...
และแล้วเราก็บอกกับตัวเองว่า ..ที่ยากลำบากมาใช้ชีวิตต่างแดนแสนไกลนี้ ก็เพราะหวังอยากได้ความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเกิด แต่ดูเสมือนว่า แม้จะได้ปริญญากลับบ้าน แต่เรายังไม่ได้ “ความรู้” เพื่อการพัฒนาที่แท้จริง ความรู้ที่ได้เรียนมานั้นยังไม่สามารถ “ตอบโจทย์” ในใจเราได้
แล้วเราจะเรียนไปทำไม.....
จนวันหนึ่ง ได้มีโอกาสกลับมาเก็บข้อมูลวิทยานิพนธ์ที่เมืองไทย มี “กัลยาณมิตร” ที่แนะนำให้เราไป “Relax” ชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๑ สัปดาห์
จึงได้ค้นพบว่า เส้นทางแห่ง...ความสะอาด...ความสว่าง...ความสงบ...นี้เองคือคำตอบของคำถามทั้งหมด
ปัญญามีอยู่ ๓ แบบคือ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา และภาวนามยปัญญา
เราเคยชินแต่การแสวงหาปัญญาใน ๒ แบบแรก แต่ไม่เคยให้โอกาสและเวลาเพื่อการแสวงหาปัญญาด้วยการเจริญสมาธิภาวนาเท่าใดนัก
หนังสือธรรมะหลายสิบเล่มที่เราอ่านตั้งแต่วัยเยาว์ วรรณกรรมและปรัชญาอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ผ่านสายตา ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่เรียกว่า “ปริยัติ” หรือความรู้ภาคทฤษฎี... ที่เสมือนว่ารับรู้ แต่ไม่เคย “เข้าใจ” เพราะความรู้เหล่านั้นไม่เคยเข้าไปอยู่ในใจ
ในขณะที่การเรียนรู้ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา เป็นความรู้ภาค “ปฏิบัติ” ซึ่งหากทำได้ถูกวิธีและมี “ชั่วโมงฝึก”ที่มากพอ ย่อมได้รับทั้งความรู้และความเข้าใจจากประสบการณ์ตรงแห่งการปฏิบัตินั้น
ผลที่ได้จากการเรียนรู้ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ก็คือ “ปฏิเวธ” หรือ เส้นทางของ “ไตรสิกขา” ซึ่งเป็นเส้นทางแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะนำพาชีวิตของทุกผู้คนไปสู่ความสะอาด สว่างและสงบนั่นเอง
เรากลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสด้วยความสุข ด้วยรับรู้ว่าสิ่งที่เราค้นพบครั้งนี้ “ตอบโจทย์” ที่มีอยู่ในใจเราได้แล้ว
เส้นทางบนถนนแห่งการเรียนรู้นับแต่นั้น คือ เส้นทางการจัดการความรู้เพื่อความสะอาด สว่างและสงบแห่งชีวิต... ทั้งของตัวเราเองและของเพื่อนร่วมโลก
เช่นเดียวกันกับการจัดการความรู้เรื่องอื่น ๆ นั่นก็คือ “ไม่ทำไม่รู้” และ “ทำไปเรียนรู้ไป”
ไม่มีทางใดที่ความรู้จะแจ่มกระจ่างขึ้นกลางใจ เหมือนกับการได้ลงมือกระทำ....
สะอาด สว่าง สงบ....เพื่อชีวิตที่เป็นมงคล....ในวันแห่ง “พืชมงคล”.......
ดร.ทิพวัลย์คะ
นั้นเสมือนเครื่องมือชนิดพิเศษชนิดหนึ่งอันพีงมีในโลกหรือในใจของมนุษย์
เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ไม่มีทางใดความรู้จะแจ่งกระจ่างขึ้นกลางใจเหมือนกับการได้ลงมือกระทำ เพราะเมื่อได้ทำจึงได้รู้ หนูได้ทำแล้วจึงสว่างขึ้นในใจค่ะ
ไม่มีทางใดที่ความรู้จะแจ่มกระจ่างขึ้นกลางใจ เหมือนกับการได้ลงมือกระทำ....
คิดว่าตรงนี้คือสิ่งที่การศึกษาไทยแบบสมัยใหม่ไปไม่ถึงฝั่ง
การเรียนรู้ทางโลก เป็นการเรียนรู้สิ่งรอบตัว เพื่ออะไร เป้าหมายปลายทางอยู่ตรงไหน ยังไม่แน่ชัด
การเรียนรู้ทางธรรม เป็นการเรียนรู้ภายในตนเอง เพื่อความสะอาด สว่าง สงบ
ขอบคุณอาจารย์ตุ้มค่ะ
วันนี้ผมเปิดดูมวยไทเก๊กซึ่งก็คือการเดินจงกรมภาคพิศดาร ความรู้เหล่านี้ไม่ได้นำมาจัดการให้ติดอยู่ในวิถีสุขภาพของคนไทย ผมนึกเสียดายที่โรงเรียนไม่ได้จัดการกับความรู้เหล่านี้
ความรู้มีอยู่ดาษดื่นที่จะทำให้โลกนี้กลายเป็นโลกพระศรีอาริย์เมตไตย
การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ แม้เมื่อพิมพ์ข้อความนี้อยู่ก็อาจจะทำให้เกิดความสะอาดสว่างสงบน้อยๆขึ้นได้ คุณหมอประยูร(วิทยากรสวนโมกข์)ถามว่าในแต่ละวันมีเรื่องวุ่นกับเรื่องว่างอย่างใดมากกว่ากัน ส่วนใหญ่เรามีความว่างสบายมากกว่าวุ่น
รับรู้ความว่างสบายในโอกาสที่มี ทำให้มากขึ้นด้วยลมหายใจเข้าออกยาว เป็นเคล็ดวิธีที่หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพงแนะนำว่าให้ขยันทำไว้ สบายก็ทำเบื่อก็ทำ ทำให้เป็นประจำ เป็นความรู้ที่ไม่ยากที่จะช่วยแก้ปัญหาความร้อนรนของชีวิตได้(บ้าง)ครับ
สวัสดีค่ะ
ขออนุญาตินำบันทึกเข้าแพลนเนทนะคะ ชอบที่อาจารย์ขียนค่ะ
อาจารย์อยู่ทีกำแพงแสนหรือคะ เห็นคุณขจิตพูดถึงค่ะ
อาจารย์ปัทที่รัก
เราคงต้องช่วยกันทำให้การศึกษาบ้านเราเป็นเรื่องที่ต้องรู้เท่าทันทั้งข้างนอกและข้างใน ลูกศิษย์ของเราจะต้องเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมจึงจะเป็น "บัณฑิต" ที่สมบูรณ์ค่ะ พวกเรามีใจอาสาและจิตสำนึกสาธารณะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พี่ตุ้มว่าเราคงมีโอกาสได้ฝึกฝน "วิทยายุทธทางธรรม" กันแน่นอนค่ะ
อาจารย์ภีมคะ
ตำราวิสุทธิมรรคได้กล่าวถึงวิธีการฝึกสติซึ่งมีหลากหลาย เราสามารถเลือกวิธีที่เหมาะกับ "จริต" ของเราแต่ละคน ซึ่งจุดหมายปลายทางจบลงที่เดียวกันคือ ความเบา ความโล่ง ความโปร่ง ความสบาย ที่อาจารย์ภีมใช้คำว่า "ว่างสบาย" นั่นแหละค่ะ การระลึกรู้หรือการตามลมหายใจเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ใช้ได้ในทุกกิจวัตรตลอดวันค่ะ หากมีเวลาจะลองหลับตาเบา ๆ ผ่อนคลายสบาย ๆ แล้วก็ฝึก "หยุด" ความคิด หรือ "หยุด" ใจเราดูบ้าง ก็จะช่วยให้การก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้เร็วขึ้นได้ค่ะ
ปกติไม่ค่อยเคยเข้ามาตอนเที่ยงค่ะ มักจะนอน(แผ่)พักสายตา
วันนี้มีแรงดึงดูด ค่ะ
มาขอแอ๊ดบล็อก และฝาก อันนี้ ค่ะ
ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จัก
อยู่ใกล้กันด้วยนะคะ ;P
ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ
ขอบคุณสำหรับ "ของฝาก"ค่ะ
อยู่ใกล้กัน...คงได้มีโอกาสพบกันบ้างนะคะ