สืบประวัติไทโซ่ดงหลวงแล้วทราบว่าย้ายมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงนานมาแล้ว ประมาณรัชการที่ 3 และก็มาอยู่ตามถิ่นที่มีภูเขาเป็นส่วนใหญ่ แถบรอบๆชายเทือกเขาภูพาน หากที่มุกดาหารก็จะเป็นที่ดงหลวง ที่สกลนครก็มีที่อำเภอกุสุมาลย์
ผู้เฒ่าเล่าว่าสมัยก่อน พ.ศ. 2500 นั้นบ้านพักอาศัยใช้ไม้ไผ่เป็นหลัก ซึ่งยังเหลือร่องรอยมาจนปัจจุบัน หลังลงจากป่าก็ใช้ไม้มาทำบ้านเรือนกันแบบถาวรมากขึ้น แต่ก็เรียบง่ายไม่ได้สร้างวิจิตรพิสดารเหมือนภาคกลางภาคเหนือ
แต่ที่พักอาศัยหลังสุดท้ายที่จะเล่าต่อไปนี้เป็น บ้านสำหรับผู้เสียชีวิตไปแล้วครับ ไทโซ่มีคำหนึ่งที่กล่าวกันคือ ชายสี่วัน หญิงสามวัน หมายถึงว่าหากมีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นในชุมชน หากเป็นผู้ชายจะเอาศพไว้บ้านเพียง 4 วัน และถ้าเป็นหญิงเอาไว้เพียง 3 วันเท่านั้น แล้วก็เอาไปเผาทันที ไม่มีการเก็บ 50 วัน 100 วันเหมือนไทยอีสานและภาคกลางทั่วไป
การเอาศพไว้ที่บ้าน 3 หรือ 4 วันนั้นก็ทำพิธีสวดศพง่ายๆ ให้ญาติพี่น้องมาเคารพศพ ไม่นิยมเอาไปตั้งศาลาที่วัดเหมือนคนในเมือง ก็เอาไว้ที่บ้านนั่นแหละ เมื่อครบกำหนดชาย 4 หญิง 3 แล้ว ญาติก็จะนำเอาไปเผากลางทุ่งนา หรือชายป่า แล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปเอากระดูกเอาไปเก็บไว้ที่ “ธาตุ” หรือภาคกลางเรียก “เจดีย์ธาตุ”
ไทโซ่ไม่เอากระดูกเข้าบ้าน แต่จะเก็บไว้ที่นา โดยเอาธาตุไปสร้างไว้ตามนาต่างๆ หากเป็นกระดูกพ่อ แม่ ก็จะเอาไปไว้ที่นาของพ่อของแม่นั่นแหละ ทั้งนี้กล่าวกันว่า เพื่อให้พ่อแม่อยู่กับนาเจ้าของที่เขาทำกินมาตลอด และทุกครั้งที่ลูกหลานมาทำนาก็จะระลึก ถึงพ่อแม่ ระลึกถึงคำสั่งสอน คำสั่งเสียต่างๆไปตลอด
“ธาตุ” มีที่มาที่ไปด้วย คนอีสานทั่วไป โดยเฉพาะจังหวัดรอบๆริมแม่น้ำโขงรวมไปถึงชุมชนฝั่งประเทศลาวจะเคารพนับถือองค์พระธาตุพนมเป็นที่สุด เหมือนเมกกะชาวพุทธแถบนี้ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องเดินทางไปกราบองค์พระธาตุพนมให้ได้ หากท่านศึกษาประวัติศาสตร์ย่อมทราบดีว่าพระธาตุพนมนั้นสร้างตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่ได้ผนวกดินแดนแถบนี้ ดังนั้นพี่น้องฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงจึงหลั่งไหลเข้ามากราบไหว้บูชาตลอดทั้งปี นอกจากนี้ก็มีพระธาตุอิงฮังที่เมืองสะหวันนะเขตตรงข้ามกับเมืองมุกดาหาร ซึ่งเป็นพระธาตุที่มีความสำคัญทัดเทียมกัน สนใจโปรดดูที่ http://www.nkpinfo.com/forum/show.php?Category=nkptour&No=70
จากการที่พี่น้องในบริเวณนี้เคารพกราบไหว้องค์พระธาตุพนม รวมทั้งไทโซ่ดงหลวงด้วย ยังนิยมเอากระดูกผู้ตายใส่ในเจดีย์ที่มีรูปเหมือนองค์พระธาตุพนมมาตั้งแต่โบราณอันเป็นยุคที่สองของพัฒนาการบ้านผู้ตาย ดังนี้
กล่าวได้ว่าธาตุ หรือเจดีย์เก็บกระดูกผู้ตายนี้คือบ้านที่พักสุดท้ายของไทโซ่ ความนับถือองค์ธาตุพนมแม้ตายไปแล้วก็ยังขอเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคารพ เตือนสติให้คนอยู่ในธรรมยามมีชีวิตอยู่
แต่ปัจจุบันเกิดปรากฏการณ์ทำลายสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วคือ มีการร้องเรียนว่า ธาตุของผู้ตายกลางทุ่งนานั้นโดนใครมาทำลายลงจำนวนมาก จากการสืบสวนพบว่า เป็นฝีมือกลุ่มติดสิ่งเสพติด ไปพังธาตุเก็บกระดูกค้นหาเศษสตางค์ เพื่อเอาไปซื้อยาเสพติดครับ ?????
ตามมาอ่านค่ะ
น่าสนใจมากค่ะ ในการเก็บศพ ชาย 3 หญิง 4 โดยหลักธรรมชาติ ถ้าในยุคก่อนสามารถเก็บไว้ได้ต้องมีเทคนิคที่น่าสนใจแน่ เพราะโดยส่วนมากกล่มชุมชนต่างๆ ที่โยกย้ายถิ่นข้ามมาจากฝั่งลาวนิยมเก็บศพไว้บ้าน 1 คืน หลังเสียชีวิตรุ่งเช้านำไปฝัง เรียกว่า เอาไปป่า และในบางแห่งเสียชีวิตแล้วจะต้องฝังเลยภายในวันนั้น
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
วันนี้พี่องุ่น แย่งตำแหน่งคนแรกไปแล้วอิ อิ ตามมาอ่านต่อจากตอนที่แล้วค่ะ ไม่มีคนเฝ้า แล้วเห็นเป็นที่เปลี่ยว พวกนี้จึงเข้ามาทำลายธาตุกระดูก เพียงเพราะเศษสตางค์ของคนตาย น่าสงสารพวกนี้จริง ๆ ค่ะ เขาเรียกว่าตายทั้งเป็นนี่เอง
สวัสดีครับคุณพี่องุ่น
สวัสดีน้องราณีครับ
สวัสดีครับพี่บางทราย
ได้ทราบรายละเอียดของไทโซ่เพิ่มอีกแล้วครับ แต่ชอบประโยคนี้มากครับ ไทโซ่ไม่เอากระดูกเข้าบ้าน แต่จะเก็บไว้ที่นา โดยเอาธาตุไปสร้างไว้ตามนาต่างๆ หากเป็นกระดูกพ่อ แม่ ก็จะเอาไปไว้ที่นาของพ่อของแม่นั่นแหละ ทั้งนี้กล่าวกันว่า เพื่อให้พ่อแม่อยู่กับนาเจ้าของที่เขาทำกินมาตลอด และทุกครั้งที่ลูกหลานมาทำนาก็จะระลึก ถึงพ่อแม่ ระลึกถึงคำสั่งสอน คำสั่งเสียต่างๆไปตลอด
สวัสดีค่ะคุณบางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
ได้เห็นรูปแบบพิธี และแนวความคิดของชาวไทโซ่แล้ว ประทับใจ รู้สึกเหมือนกับอ.ภูคา และครูบา สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ เลยค่ะ
แต่ยังสงสัยว่าทำไมต้อง 4 กับ 3 อยู่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องชายหรือหญิงนะคะ แต่เป็นเรื่องทำไมต้อง 4 วันกับ 3 วันน่ะค่ะ แล้วค่อยๆ เล่าเป็นบันทึกต่อก็ได้ค่ะ จะได้ติดตามตอนต่อไป ขอบคุณนะคะ
สวัสดีครับน้องภูคา
ผมก็ชอบครับ
เห็นไหมว่าคนป่าคนดอยเขาก็มีหลักคิดของเขา คนนอกเข้าไปอย่าเพิ่งไปมองเขาต่ำต้อยไปทุกเรื่อง ค่อยๆนั่งลงและเป็นผู้ถามที่ดี เป็นผู้รับฟังที่ดี ก็จะได้อะไรมากมาย ที่คนอย่างเราที่เรียกปัญญาชน(เรียกเองนะเนี่ย) ยังทึ่งในระบบของเขา
แน่นอนในหลายเรื่องเขาด้อย แต่หลายเรื่องเราคนนอกต้องเรียนรู้จากเขาครับ
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับท่านครูบา สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์
กำลังตามมาครับ บันทึกต่อไปมอบให้โดยตรงกับคณะที่จะมาร่วมงานเฮฮาศาสตร์ครั้งที่สองครับท่านครับ
สวัสดีครับอาจารย์กมลวัลย์
ตรงกันครับ ผมกำลังตามเรื่องนี้อยู่พอดีครับ รอเดี๋ยวนะครับ
โห....
สวัสดีครับคุณออต
ได้ความรู้มากจริงๆค่ะ น่าสลดใจที่ยาเสพติดได้ทำลายทุกอย่างในสังคมไทย เรื่องเจดีย์มีความเชื่อกันหลายแบบนะคะ เคยไปพุกาม ไปเห็นทะเลเจดีย์นับพันๆ เขาสร้างเพื่อเป็น"บุญ"ไม่ได้บรรจุกระดูก หรือเคยทราบมาว่าที่เนปาลเขาจะสร้างเจดีย์ที่ไม่ใหญ่นักเปนสัญญลักษณ์ของสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิตในช่วงหนึ่งๆ เช่นปีที่ได้ลูกชายเป็นต้น และมีการนำดอกไม้ไปเซ่นไหว้บูชา |
สวัสดีครับ คุณนายดอกเตอร์
อื่อ..น่าสนใจข้อมูลที่กล่าวถึง
ทุกความหมายดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการสร้างเจดีย์เป็นศรัทธาและเป็นสัญลักษณ์ที่มีต่อศรัทธานั้น
ขอบคุณครับ