พลังแห่งปัจเจกคือพลังที่แท้จริง


คุณ โอ๋-อโณ ส่งอีเมล์มาแนะให้ผมเอาความเห็นที่เขียนต่อท้ายบันทึกเรื่อง พลังแห่งปัจเจกคือพลังที่แท้จริง ( http://gotoknow.org/blog/beyondkm/92639 ) ของ ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด มาลงเป็นบันทึกเดี่ยว เพราะคุณโอ๋-อโณ “รู้สึกว่าความคิดและเรื่องเล่านั้น ควรค่าแก่การบันทึกไว้เป็นอีกบันทึกเลย” ผมก็เลย C&P มาลงเป็นบันทึกตามที่คุณโอ๋-อโณแนะมาครับ

คุณ โอ๋-อโณ  ส่งอีเมล์มาแนะให้ผมเอาความเห็นที่เขียนต่อท้ายบันทึกเรื่อง พลังแห่งปัจเจกคือพลังที่แท้จริง ( http://gotoknow.org/blog/beyondkm/92639 ) ของ ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด มาลงเป็นบันทึกเดี่ยว เพราะคุณโอ๋-อโณ “รู้สึกว่าความคิดและเรื่องเล่านั้น ควรค่าแก่การบันทึกไว้เป็นอีกบันทึกเลย” ผมก็เลย C&P มาลงเป็นบันทึกตามที่คุณโอ๋-อโณแนะมาครับ

P
นาย สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์ เมื่อ พฤ. 26 เม.ย. 2550 @ 23:31 (239621)

ผมเองก็เชื่อในพลังแห่งปัจเจกบุคคลมาประมาณยี่สิบปีแล้วครับ ก่อนนั้นเชื่อเรื่องพลังมวลชนมาก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นผลผลิตของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา

พลังแห่งปัจเจกบุคคลที่ผมว่านี้คือ พลังแห่งความคิดของปัจเจกบุคคล โดยเมื่อคิดแล้วก็มุ่งมั่นทำตามความคิดนั้นอย่างจริงจัง จริงจังอย่างเดียวไม่พอต้อง "ทำนานๆ" ด้วย คือคิดแล้วทำแล้วสรุปบทเรียนแล้วทำอีกสรุปบทเรียนอีกวนไปเรื่อยๆ เป็นเวลายาวนานพอ จนตกผลึกทางความคิด จนกลายเป็น "วิถีชีวิต" ของคนๆนั้น

http://gotoknow.org/file/surachetv/WibulKhemchalerm2548.jpg

ตัวอย่าง วิบูลย์ เข็มเฉลิม แห่งบ้านห้วยหิน ต.ลาดกระทิง อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา (ปัจจุบันได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สายเกษตรกร) เมื่อครั้งที่ล้มเหลวในชีวิต เครียดเพราะหนี้สิน สุขภาพจิต-กายเลวลง เพราะอยากรวยจากการปลูกพืชเดี่ยว (มันสำปะหลัง) เป็นร้อยๆ ไร่ ตามการส่งเสริมของรัฐบาล พอขาดทุนก็ไปหวังพึ่งรัฐบาลให้ช่วย เคยพาเกษตรกรแปดริ้วเป็นพันเป็นหมื่นเดินขบวนให้รัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ประกันราคาพืชผลเกษตร เป็นตัวแทนเข้าเจรจา รัฐบาลรับข้อเรียกร้องรับปากแก้ปัญหา ดีใจออกมาสลายม็อบ กลับบ้าน เอาเข้าจริงรัฐบาลไม่ทำอะไร ถูกหลอก ผิดหวัง ถูกเพื่อนเกษตรกล่าวหา เกษตรกรที่โกรธแค้นก็จะมาทำร้ายถึงชีวิต

ต่อมา ศึกษาหาข้อมูลจนพบว่า รัฐบาลเองก็เสียรู้ฝรั่งที่มาบอกให้ไปส่งเสริมเกษตรกรไทยปลูกในสิ่งที่คนไทยไม่ได้กินไม่ได้ใช้ ปลูกเพื่อขายส่งออกไปให้ฝรั่งเอาไปผสมอาหารสัตว์ แล้วจะได้เงินมาซื้อของฝรั่งอีก ระบบตลาดของพืชส่งออกอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล แล้วจะไปเรียกร้องให้ผู้ที่ไม่มีอำนาจควบคุมทำอะไรได้ คนไทยใช้มันสำปะหลังเพียง ๑๐% ของที่ผลิตในประเทศแต่ละปี ที่เหลือต้องส่งออก

จนวันหนึ่งผู้ใหญ่วิบูลย์เกิดความคิดวาบ(enlighten)ขึ้นมา ตัดสินใจปลดปล่อยตัวเองเป็นไทจากหนี้สิน ขายที่ดินทรัพย์สินทั้งหมดใช้หนี้ สบายตัว เหลือที่อยู่เพียง ๙ ไร่ และประกาศบอยคอตการปลูกพืชเศรษฐกิจ หันหลังให้ระบบเกษตรสมัยใหม่ แบบ "ข้ามาคนเดียว" (ฉายเดี่ยว) ซึ่งในตอนนั้น ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ถือว่าทวนกระแสมาก คนไม่เข้าใจก็อาจว่า “ตลก” บ้าง “บ้า” บ้าง (ตอนนั้นเริ่มมีเกษตรกรบางคนได้สูตรแก้จนว่า รัฐส่งเสริมให้ปลูกให้เลี้ยงอะไร อย่าทำตามแล้วจะไม่จน)

ผู้ใหญ่วิบูลย์ลงมือทำเกษตรแบบพึ่งตนเองในครอบครัว ทำพออยู่พอกิน ปลูกกินเป็นหลัก หากเหลือกินค่อยขายในท้องถิ่น ปลูกไม้ใช้สอย ไม้ยืนต้น ปลูกจนพื้นที่ๆเคยโล่งโจ้งเพราะปลูกมันสำปะหลังกลายเป็นป่า ยืนหยัดกับความคิดตัวเอง ทำอยู่นาน จนพัฒนารูปแบบมาสรุปเองว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็น "วนเกษตร" ระดับครอบครัว ที่กลายเป็นตัวแบบหนึ่งของ “เกษตรยั่งยืน" ในปัจจุบัน” อยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มีเกษตรกรและใครต่อใครไปดูงานแล้วเป็นแสนคนในรอบ ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา

ชีวิตและงานของปัจเจกชนคนนี้เป็นตัวอย่างและเป็นแรงบันดาลใจแก่เกษตรกรที่ได้รับรู้เรื่องราวนี้เป็นพันเป็นหมื่นครอบครัว ทั้งที่ได้มาเยี่ยมเยียนเรียนรู้และที่ได้ข่าวจากสื่อต่างๆ นายเลี่ยม บุตรจันทา แห่งบ้านนาอิสาน เป็นตัวอย่างของเกษตรกรที่ล้มเหลวแล้วกลับลำชีวิตขึ้นมาได้เพราะได้พบผู้ใหญ่วิบูลย์ (เรื่องของนายเลี่ยมเพิ่งออกรายการโทรทัศน์ปราชญ์เดินดินไปเมื่อไม่นานมานี้) นายเลี่ยมเรียกผู้ใหญ่วิบูลย์ว่า "พระฤาษี"

ผมเป็นคนเมือง ไม่ใช่เกษตรกร ความคิดของท่านก็มีอิทธิพลกับคนเมืองอย่างผมด้วย สมัยฟองสบู่แตก ธุรกิจผมไปไม่รอด ทันทีที่ผมคิดถึงท่านขึ้นมา ผมก็คิดออกว่าจะหาทางออกอย่างไร ปิดบริษัท ขายทรัพย์สินเพื่อแก้ปัญหาหนี้สิน ทำตัวเองให้เป็นไทขึ้นมาก่อนอย่างท่าน แล้วตั้งต้นชีวิตกันใหม่

ผมซึมซับความคิดของท่านมาจากการที่ได้มีโอกาสได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังบทความ บทสัมภาษณ์ และหนังสือเกี่ยวกับชีวิตและงานของท่านหลายเล่มระหว่างปี ๒๕๒๘ - ๓๐ทั้งในฐานะ Ghost Writer, ผู้ร่วมสัมภาษณ์ ร่วมเขียน และบรรณาธิการ เช่นหนังสือ "ชีวิตเปลี่ยน" "วนเกษตร มีกินตลอดชีวิต"

นี่คือ พลังของปัจเจกบุคคล ที่ "เริ่มต้นจากตัวเราเอง" ไม่ฝากชะตากรรมของเราไว้กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า นายจ้าง หรือรัฐบาล ใครจะไปใครจะมา ใครจะเป็นนายกฯ ใครจะเป็น รมต.เกษตร เราก็(ต้อง)อยู่ของเราได้ เราอาจวิพากษ์วิจารณ์เขาบ้าง เรียกร้องให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง แต่ถ้าเขาไม่ทำเราก็(ต้อง)อยู่ได้

ผมจึงเห็นด้วยว่าพลังความคิด(และความมุ่งมั่นปฏิบัติในสิ่งที่ตนเองคิดอย่างถึงที่สุด)ของปัจเจกบุคคลนี้ ไม่ว่าจะคิดดีทำดีหรือคิดร้ายทำร้าย (แล้วแต่ใครตัดสิน) หรือจะทำไปโดยคิดว่าตัวเองรู้แต่จริงๆแล้วไม่รู้(อวิชชา) มีพลังมาก เป็นพลังขนาดเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ประเทศหรือโลกได้ เช่น พระพุทธเจ้า ฮิตเลอร์ ไอน์สไตน์ คานธี คาร์ล มาร์กซ์ ฟูกูโอกะ (ฟางเส้นเดียวปฏิวัติ) ยายไฮ บินลาเดน ซัดดัม ฮุสเซน สืบ นาคะเสถียร ทักษิณ ฯลฯ

สำหรับผมแล้ว "พลังมวลชน" เป็นเรื่องที่ใช้ในทางยุทธวิธี เพื่อผลบางประการเป็นครั้งคราว สิ่งที่ขับเคลื่อนสังคมจริงๆ คือ "พลังปัจเจกบุคคล" ครับ.

หมายเลขบันทึก: 92928เขียนเมื่อ 27 เมษายน 2007 18:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:57 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ อ.สุรเชษฐ

เห็นด้วยอย่างที่สุดเลยค่ะ..

แถมอีกอัน..จากท่านพุทธทาสค่ะ

เสียงประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์เสมอไป..เป็นเสียงนรกก็ได้เมื่อไร้ศีลธรรม ( ไม่ได้จะเหน็บการเคลื่อนไหวใดๆนะคะ ฮี่ ฮี่..^ ^ )

  • เห็นด้วยครับ
  • ผู้ที่บรรลุความสำเร็จได้นั้นเห็นมีปัจเจกนี่แหละครับ
  • เหมือนเป็นการปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการต่างๆ เพราะเราบังคับตัวเราเองได้ แต่เราไม่สามารถบังคับคนอื่นได้ แม้มีกฏระเบียบเข้มเท่าใดก็ตาม
  • เป็นบันทึกที่ชัดเจนมากเรื่องพลังปัจจเจกครับ
  • จริงๆหากเราเอามุมนี้ไปมองในหลายๆที่ ผู้นำชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็ใช้วิธีนี้ เขาชนะตัวเอง ชนะแรงเหนี่ยวนำของสังคมและภาวะทันสมัยทั้งหลาย
  • หลายคนยังประกาศสัจธรรมให้ผู้อื่นทราบเหมือนผู้ใหญ่วิบูลย์ด้วย โดยไม่ต้องไปเดินป่าประกาศ  แต่คนแห่มาเรียนรู้เอง
  • ขอบคุณครับ
เห็นด้วยค่ะ และพบแบบนี้หลายคนเหมือนกัน พึ่งตัวเองเป็นหลักดีที่สุดค่ะ ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท สอนลูกอยู่ตลอดเหมือนกันค่ะ

นึกถึงเหตุการณ์และปัจเจกบุคคลหนึ่งขึ้นมา คือ อาจารย์จุฬาฯ ที่ชื่อ ไชยันต์ ไชยพร ที่ผมไม่รู้จักเป็นส่วนตัวใดๆ บุคคลผู้นี้ คนเดียวไปฉีกบัตรเลือกตั้งในคูหาเลือกตั้ง เพื่อประท้วงการเลือกตั้งที่รัฐบาลคุณทักษิณจัดขึ้น น่าจะยังจำกันได้นะครับ

ผมนิยมใน "ความกล้าหาญ" และ "วิธีการ" ของเขาครับ เขาไม่ได้ชักชวนใครมาเดินขบวนด้วยกับเขา คนเดียวนี่แหละแสดงพลังได้ พลังของปัจเจกบุคคล

ผมเชื่อว่าคนที่เป็นถึงอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ รู้ดีครับว่าทำอย่างนี้อาจถูกลงโทษถึงติดคุก แต่ก็ทำครับเพื่อแสดง "ปัจเจกบุคคลมติ" (ไม่ใช่ประชามติ) ให้สังคมเห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาล(ให้มีการเลือกตั้งแบบนั้น)

และผมก็เชื่อว่า การทำเช่นนั้นโดยคนๆ เดียวนี้ มีผลสะเทือนต่อสังคม ต่อการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทย

หลายคนก็ทำแบบนั้น เช่นสตรีคนหนึ่งที่เอาฆ้อนทุบรถเพื่อแสดงให้เห็นใน(สิ่งที่เธอคิดว่า)บริษัทรถยนต์ที่ขายรถให้เธอไม่ใส่ใจ-ไม่รับผิดชอบ ก็ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ทุกยี่ห้อตื่นตัวในเรื่องนี้ และยังส่งผลสะเทือนไปถึงสินค้าอื่นๆ ด้วย

นึกขึ้นมาได้เลยจดเพิ่มเติมไว้ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท