ต้นกล้า
นางสาว ขนิษฐา ต้นกล้า สุนาวี

นิทาน


เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี

เจ้าสาวถอดรูป

 
สมั

ยราชวงศ์หยวน ครั้งหนึ่งมณฑลเหอหนานเกิดภัยแล้ง
ข้าวยากหมากแพง โจรผู้ร้ายเที่ยวอาละวาดปล้นจี้ทรัพย์ชาวบ้าน ชาวบ้านต่างก็ยากจนไม่มีสมบัติอะไรให้พวกโจร จึงเปลี่ยนเป็นฉุดผู้หญิง นำไปขายในท้องที่ไม่แห้งแล้ง โดยขายในราคาถูก พวกผู้ชายที่ไม่มีปัญญาแต่งเมีย เพียงแค่เสียเงินเล็กน้อยก็สามารถซื้อเมียได้คนหนึ่ง
             ดังนั้น ทุกครั้งที่นำไปขายจึงขายหมดอย่างรวดเร็ว โจรพวกนี้จึงเที่ยวฉุดผู้หญิงไปทั่ว เพื่อให้ได้มากที่สุด ในวันนี้พวกโจรนำผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมาขายที่ตลาด ซึ่งมีหลายราคา ผู้หญิงที่สวยราคาก็แพง ส่วนที่ขี้เหร่นอกจากราคาถูก แล้วยังไม่มีคนถาม  ดังนั้น ผู้หญิงที่ยังสาวและสวยจึงขายหมดก่อน เหลือแต่ผู้หญิงที่มีอายุและขี้เหร่เท่านั้น
      
จือเหยินเดินเตร่อยู่ในตลาดพักใหญ่ ก็ยังตัดสินใจไม่ถูก เพราะผู้หญิงที่สวยเขาไม่มีปัญญาซื้อ ที่ขี้เหร่ซื้อกลับไปก็เกรงน้องชายจะไม่ถูกใจ พูดแล้วน่าสงสาร เขาและน้องชายจืออี้ ต่างมีอายุถึงเกณฑ์แต่งงานแล้ว สองพี่น้องมีเพียงที่นาผืนเล็กๆ ปีหนึ่งเก็บเกี่ยวได้พอกินเท่านั้น    ดังนั้นจนบัดนี้ทั้งสอง จึงยังไม่มีครอบครัว เมื่อไม่นานมานี้ได้ฟังว่า ที่ตลาดมีผู้หญิงขายราคาถูก จือเหยินเกิดความคิดจึงพูด กับน้องชายว่า โบราณว่า อกตัญญูมี 3 ไร้ทายาทสำคัญที่สุด ปีนี้พี่อายุ 30 พ้นเกณฑ์แต่งงานแล้ว  เธอเพิ่งอายุ 22 ถึงเกณฑ์แต่งงานพอดี ได้ข่าวว่าระยะนี้ที่ตลาด มีคนขายผู้หญิงราคาถูกมาก
พี่คิดว่าจะใช้เงินที่เราเก็บสะสม ซื้อเมียให้เธอสักคนเธอว่าดีมั๊ย ?” จืออี้ทำท่าคิดแล้วพยักหน้าตกลง  จือเหยินจึงเอาเงินในบ้านที่มีอยู่สิบตำลึงไปตลาด ตั้งใจจะซื้อเมียให้น้องชายสักคน แต่ผู้หญิงที่หน้าตาดีหน่อย ล้วนแต่ราคา 20 ตำลึงขึ้นไป ซึ่งเขาไม่มีปัญญาซื้อ และก็ขายหมดแล้วด้วย ที่ขี้เหร่ก็เกรงน้องชายจะไม่ถูกใจ  ขณะที่ลังเลตัดสินใจไม่ถูก พลันสายตาแลเห็นเด็กสาวคนหนึ่งอายุราว 18 ปี ไม่ขี้เหร่นัก เพียงแต่ที่หน้าและแขนขาขึ้นฝี ติดกอเอี๊ยะเต็มไปหมด เห็นแล้วน่าตกใจ   ดังนั้นจึงไม่มีใครซื้อ    จือเหยินรู้สึกสนใจ คิดว่าตัวเธอเต็มไปด้วยฝี ถ้าไม่รีบรักษา อาจเรื้อรังเน่าเปื่อย จนแขนขาพิการได้ จะลองถามราคาดู หากราคาไม่แพงก็จะซื้อกลับบ้าน ช่วยรักษาเธอก่อนค่อยมาว่ากัน ถ้าน้องชายไม่ยอมแต่งกับเธอ ก็ถือว่าช่วยเธอเอาบุญแล้วกัน จือเหยินรวบรวมความกล้า ถามคนขายว่าจะขายเท่าไหร่ คนขายว่าคนนี้ถ้าคุณเอาจะลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง คิดแค่ 10 ตำลึงก็แล้วกันจือเหยินได้ฟังว่า 10 ตำลึงพอดี เขามีพอ จึงรีบจ่ายเงินแล้วพาเด็กสาวกลับบ้านด้วยความดีใจ เพื่อนบ้านฟังว่าจือเหยินแต่งเมียให้น้องชาย
ต่างพากันมาบ้าน เพื่อดูว่าเจ้าสาวหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อพวกเขาเห็นหน้าเจ้าสาว
ที่แท้เป็นเด็กสาวที่มีฝีขึ้นเต็มตัว อดไม่ได้ที่จะซุบซิบหัวเราะขึ้นมา  ผู้น้องจืออี้เห็นผู้หญิงที่พี่ชายซื้อกลับมาเป็นแบบนี้ โมโหจนควันออกหู เอ็ดตะโรลั่นว่า ฉันยอมไปบวชดีกว่าแต่งกับผู้หญิงแบบนี้ พี่แต่งเองเถอะจือเหยิน ไม่สนใจคำเสียดสีของน้องชายและเพื่อนบ้าน โดยพูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า ฉันซื้อเธอมา เดิมตั้งใจจะให้แต่งกับ น้องชายของฉัน เมื่อเขากับเธอไม่มีวาสนาต่อกันก็ไม่เป็นไร ฉันจะรักษาให้เธอหายก่อน เมื่อนั้นหากเธอยอมแต่งกับฉัน เราทั้งสองก็จะไหว้ฟ้าดินแต่งงานกันเด็กสาวเห็นเขาท่าทาง ซื่อๆ ฟังจบรู้ว่าเขาเป็นคนดี จึงพยักหน้าตกลง จือเหยินเห็นเธอตกลงดีใจมาก ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะหาหมอมารักษา  รุ่งเช้า ขณะที่จือเหยินเตรียมจะไปหาหมอ
และจืออี้กำลังแบกจอบจะไปทำนา ทันใดก็เห็นสาวสวยคนหนึ่ง เดินออกมาจากบ้านของคนทั้งสอง สองพี่น้องต่างมองตะลึงจนตาค้างพวกพี่มองอะไรสาวสวยคนน่าพูดอย่างเอียงอาย พลางเดินมาหาจือเหยินจำฉันไม่ได้แล้วหรือ ฉันก็คือ หญิงขี้เหร่ที่คุณซื้อคนนั้นไงล่ะจือเหยินดูที่หน้าและมือของเธอ ไม่ปรากฏมีฝีขึ้นแม้แต่น้อย รู้สึกแปลกใจเพราะเมื่อวานมีฝีเต็มตัว ไหนชั่วข้ามคืนจึงกลายเป็นเช่นนี้ จึงถามเรื่องราวเป็นมายังไง ในที่สุดเธอก็เปิดเผยว่า ที่จริงฉันเป็นลูกคนรวย แต่เพราะพวกโจรอาละวาด พ่อแม่เกรงฉันจะถูกพวกโจรข่มเหง  จึงเอากอเอี๊ยะติดที่หน้าและแขนขา ทำเป็นว่ามีฝีขึ้นเต็มตัวเพื่อป้องกันอันตราย ไม่คิดว่า สุดท้ายก็ยังถูกพวกโจรจับไปขายจนได้ ฉันเห็นพี่เป็นคนซื่อและใจดี ดังนั้นจึงตกลงแต่งกับพี่ ฉันหวังเพียงอย่างเดียว คือ ขอให้พี่ดีต่อฉันเท่านั้น รอให้ภัยแล้งผ่านไป สถานการณ์สงบแล้วค่อยไปหาพ่อแม่ของฉันด้วยกันว่าแล้วก็ล้วงของห่อหนึ่งให้จือเหยิน นี่เป็นเครื่องทองที่พ่อแม่ให้ฉัน พี่เอาไปใช้เถอะ  หลังจากแต่งงาน จือเหยินใช้เครื่องทองนั้นซื้อที่นาเพิ่ม และแต่งเมียให้น้องชาย เมื่อภัยแล้งผ่านไป จือเหยินและภรรยาได้ไปสืบหาพ่อแม่ของเธอ ที่สุดก็พบที่เมืองไคฟง จากนั้นทุกคนก็ดำเนินชีวิตด้วยความสงบสุข

ช่างทำรองเท้าผู้อารี

  
ใน

เมืองเล็กๆแห่งนี้ มีร้านทำรองเท้าอยู่ร้านหนึ่ง ชายเจ้าของร้านเป็นผู้มีใจอารี และมีฝีมือในการทำรองเท้าเป็นอย่างมาก และไม่ว่ารองเท้าคู่นั้นจะขาดวิ่นเพียงใด เขาก็จะสามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานเหมือนเดิมได้ และเขาก็คิดราคาไม่แพง หากใครไม่มีเงินจริงๆเขาก็ซ่อมให้ฟรีๆ ดังนั้น เขาจึงเป็นที่รักใคร่ของคนในเมืองและต่างเมืองที่ต่างพากันมาใช้บริการของเขาอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เขาลงมือทำรองเท้า ไม่ว่าจะเป็นการตัดใหม่หรือซ่อม เขาคิดเสมอว่ากำลังทำรองเท้าของตัวเอง เหตุนี้เขาจึงทุ่มเทกายใจและความสามารถทั้งหมดในการทำอย่างดีที่สุด
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังนั่งตัดรองเท้าคู่ใหม่อยู่นั้น ได้มีชายชราคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆเดินเข้ามาในร้านเขา พร้อมกับเอ่ยว่า
"
พ่อหนุ่ม...ช่วยตัดรองเท้าให้ข้าสักคู่ได้ไหม"
ช่างทำรองเท้ามองชายชราด้วยความรู้สึกสงสาร และตอบไปว่า
"
ได้สิ เชิญลุงนั่งก่อน"
"
เจ้าคิดราคาเท่าไรล่ะพ่อหนุ่ม" ชายชราเอ่ยถาม
"
ฉันไม่คิดเงินหรอกจะตัดรองเท้าให้งฟรีๆเพราะถ้าพ่อฉันอยู่ก็คงอายุเท่าลุงนี่ล่ะถือเสียว่าฉันตัดรองเท้าให้ลุงใส่ก็เหมือนตัดรองเท้าให้พ่อใส่ก็แล้วกัน"
ชายชราไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มและพยักหน้า พร้อมกับยื่นเท้าให้ช่างทำรองเท้าวัดขนาด เมื่อตะวันใกล้ตกดินรองเท้าคู่ใหม่ของชายชราก็เสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มยื่นรองเท้าให้ชายชรา ที่รับมาสวมในทันที
"ขอบใจนะพ่อหนุ่มเจ้าช่างเป็นคนที่มีน้ำใจอารี ข้าเองก็ยากจนไม่มีอะไรที่จะตอบแทนเจ้าได้ นอกเสียจากหนังวัวผืนนี้...จำไว้ว่าถ้าเมื่อใดที่เจ้าต้องการตัดรองเท้าคู่ใหม่ให้ตัวเอง จงนำหนังวัวผืนนี้มาตัดรองเท้าเถิด มันจะช่วยให้เจ้าสบายขึ้นบ้าง"
พูดจบชายชราก็ส่งหนังวัวให้กับช่างทำรองเท้า แล้วเดินจากไป
หลายปีผ่านไป ชายหนุ่มก็ยังตรากตรำทำงานอย่างหนัก แทบไม่มีเวลาพักผ่อน ดังนั้น หนังวัวที่ชายชราให้ไว้ก็ยังคงอยู่ในตู้เพราะชายหนุ่มยังไม่ได้คิดจะตัดรองเท้าคู่ใหม่ให้ตัวเอง เพราะเขาเห็นว่าไม่จำเป็น เนื่องจากไม่ได้เดินทางไปไหน
ต่อมาไม่นานชายหนุ่มก็ต้องไปหาหมอยังต่างเมือง ด้วยอาการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานอย่างหนัก เขาจึงได้ตัดรองเท้าคู่ใหม่ให้ตนเอง และไม่ลืมที่จะใช้หนังวัวที่ชายชราให้ไว้รองเท้าคู่ใหม่ของเขาช่างสวยงามมาก เมื่อเขาทดลองสวมใส่ ปรากฏว่ามันมีความนุ่มนวลและเบาดุจดังใช้ปุยเมฆมาทำรองเท้า
"
โอ...มันช่างแสนวิเศษอะไรอย่างนี้" ชายหนุ่มอุทาน และเมื่อเขาใส่รองเท้าเดินออกไปนอกบ้าน เขารู้สึกเหมือนว่าเท้าของเขามิได้ติดดิน และแต่ละก้าวที่ย่างออกไปนั้นมันช่างเป็นก้าวที่ยาวเหลือเกิน เขารู้สึกตกใจและประหลาดใจมาก แต่เมื่อเขาได้ลองทำดูหลายๆครั้งก็แน่ใจว่าเขามิได้ฝัน รองเท้าคู่ใหม่นี่เองที่ทำให้เป็นเช่นนั้น เขาหวนนึกถึงคำพูดของชายชรา และรู้ทันทีว่าเทพยดาได้แปลงตัวมาในร่างชายชรายากจน เพื่อช่วยเหลือเขาในยามเดือดร้อนนั่นเอง ชายหนุ่มจึงก้มลงกราบเทพยดาด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ……..

ข้อคิด  ความมีน้ำใจเอื้ออารี และตั้งใจดีที่จะทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นนั้น เมื่อมีอยู่ในบุคคลใดแล้ว สุดท้ายย่อมนำสิ่งดีๆมาสู่ผู้นั้นเสมอ

คำสำคัญ (Tags): #welcome
หมายเลขบันทึก: 92307เขียนเมื่อ 25 เมษายน 2007 02:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 16:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท