พัฒนาการของกฎหมายมหาชนเรื่องที่ 3 (ย้อนไป เรื่องที่ 1 และ เรื่องที่ 2 ) คือ การปลดเปลื้องการรับผิดของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายความรับผิดทางละเมิด ศ.สุรพล นิติไกรพจน์ เลกเช่อร์ ให้ฟัง ควรแก่การบันทึกไว้ดังต่อไปนี้
มี พรบ. อีกฉบับที่ตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2539 คือ พรบ. การรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ มีหลักเกณฑ์สั้นๆ ข้อเดียว คือ
ต่อไปนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใด ในส่วนงานใดก็ตาม ปฎิบัติหน้าที่อันเป็นประโยชน์ต่อรัฐและเกิดความเสียหายขึ้น ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหลุดพ้นจากการรับผิดทางแพ่ง ห้ามมิให้ฟ้องเจ้าหน้าที่นั้นเป็นจำเลย แต่ให้ส่วนราชการที่เป็นนิติบุคคลรับผิดชอบแทน
ความเสียหายดังกล่าว อาจเป็นความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการโดยตรง เช่น ถ้าท่านมีหน้าที่อยู่เวรอยู่ยาม อยู่ๆ มีขโมยแอบมางัดหน้าต่าง ขนอุปกรณ์ของหลวงไปขายหมด หรือเป็นความเสียหายที่เกิดกับบุคคลภายนอก และบุคคลภายนอกมาฟ้องร้องความเสียหายกับส่วนราชการ เช่น ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ทะเบียนนิสิต และถอนชื่อนิสิตออกจากทะเบียนเนื่องจากนิสิตกระทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต่อมาพิสูจน์ได้ภายหลังว่านิสิตไม่ได้ผิดจริง เขาก็ไปฟ้องร้องท่านว่าทำให้เขาเสียหายต้องชดใช้เป็นต้น
เมื่อก่อนนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ของหลวงตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ใครก็ตามทำชำรุดเสียหาย หรือยืมไป ต้องเอามาคืนเสมอ หรือแม้มีขโมยมาขโมยไปในขณะที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ ท่านก็ต้องรับผิดชอบหามาคืนหลวง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ท่านจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้
ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งถูกผู้ที่มาสมัครเป็นอาจารย์ฟ้องว่าไม่รับบรรจุเป็นอาจารย์ เพราะ อกม. พิจารณาว่าเกรดไม่ถึงเกณฑ์ ซึ่งในความเป็นจริงมหาวิทยาลัยประกาศเกณฑ์ให้ทราบภายหลังการรับสมัคร ดังนั้น กรณีนี้ศาลปกครองตัดสินให้มหาวิทยาลัยแพ้คดี โดยให้ชดใช้ค่าเสียหาย/ค่าเสียโอกาสแก่อาจารย์ผู้นั้น เพียงแต่อธิการบดีไม่ใช่จำเลยที่ 1
มีข้อยกเว้นของกฎหมายฉบับนี้เหมือนกัน คือเมื่อท่านจงใจทำให้เกิดความเสียหายนั้นขึ้นเอง หรือท่านประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ตัวอย่างเช่น ถ้าท่านขับรถหลวงไปพลิกคว่ำ โดยสามัญสำนึกย่อมไม่มีใครอยากรถคว่ำอย่างแน่นอนแม้อาจถือได้ว่าประมาทเหมือนกันแต่ก็คงไม่มีเจตนา แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่า วันที่รถคว่ำท่านดื่มเหล้า ขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะที่ฝนตกอย่างหนักด้วย อย่างนี้ถือว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เข้าข่ายข้อยกเว้น
เดิมการทำงานให้ราชการ อะไรที่เป็นประโยชน์ หลวงได้รับทั้งหมด แต่ถ้าเสียหายหลวงไม่เกี่ยว ใครเป็นคนทำ คนนั้นรับผิดชอบเอง ซึ่งไม่แฟร์ ทำให้เรื่องบางเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องเสี่ยงกับการถูกฟ้อง ไม่มีใครอยากทำ กฎหมายมหาชน จึงออกมาเพื่อแก้ไขความไม่ยุติธรรมตรงนี้
ถ้ามีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานมาช่วยกันทำ หรือมันไม่ชัดเจนว่ากรมไหนต้องรับผิดชอบ เพราะมีหลายกรมที่มาเกี่ยวข้อง ก็ให้ฟ้องกระทรวงการคลังเป็นจำเลยแทน
มหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ ทั้งข้าราชการและลูกจ้างของมหาวิทยาลัย (หมายรวมทั้งพนักงานมหาวิทยาลัย) รัฐวิสาหกิจ ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหมด และล้วนได้รับความคุ้มครองตาม พรบ.นี้ ส่วน มหาวิทยาลัยในกำกับ หรือองค์การมหาชนบางอย่าง เช่น สมศ. แบงค์ชาติ ก็ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้เช่นกัน เพราะมีพระราชกฤษฎีการองรับ
แต่ความรับผิดทางอาญาเป็นเรื่องส่วนบุคคล เช่น ถ้าขับรถชนคน คนขับก็ต้องรับผิดทางอาญาด้วย
ค่อยยังชั่วหน่อยนะคะ กฎหมายฉบับนี้ ช่วยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งที่เป็นผู้บริหารและผู้ที่ไม่ต้องบริหาร ผ่อนคลายความกังวลใจลงได้บ้าง แต่ก็อย่าประมาทนะคะ พวกเครื่อง LCD projector หรือโสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ เนี่ย ชอบหายเป็นประจำเชียว
แวะเข้ามาลงชื่อเรียนรู้ค่ะอาจารย์
เรื่องความรับผิดทางละเมิดนี้เคยเจออยู่บ่อยเหมือนกันค่ะ อย่างที่อาจารย์ว่าไว้ค่ะ ของหลวงหายได้บ่อยจริงๆ
เช็คชื่อเรียบร้อยแล้วค่ะ
เป็นเด็กดีทั้งคู่เลยนะคะ คุณครูหาความรู้มาสอนไม่ทันเลย... *_*
อ่านแล้วสนุกดี ได้ความรู้ด้วยคะ ประมาทไม่ใช่เรื่องของเจตนา แต่ความซวยไม่มีใครอยากให้เกิด