2.3.พระราชาคณะชั้นสมเด็จมี 3 ชั้น 2.3.1. พระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ พระราชาคณะ 2.3.2. พระราชาคณะชั้นสมเด็จ 2.3.3. สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก 3. พระราชาคณะชั้นสมเด็จ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 3.1. พระราชาคณะชั้นสมเด็จ ที่เป็นตำแหน่งประจำ จำต้องมีกล่าวคือพระสมเด็จรูปใดได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้งแล้วมรณภาพตำแหน่งพระสมเด็จนี้คงอยู่ไม่หมดไปตามการมรณภาพของพระสมเด็จนั้น แบ่งออกได้คือ 3.1.1. สมเด็จพุฒาจารย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ฝ่ายมหานิกาย 3.1.2. สมเด็จพระวันรัตน์ สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ ฝ่ายธรรมยุตินิกาย 3.2. พระราชาคณะชั้นสมเด็จ ไม่มีประจำหรือไม่ใช่ตำแหน่งประจำ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระมหากรุณาธิคุณแต่งตั้งพระราชาคณะรูปใดเป็นพระราชาคณะสมเด็จก็ได้ตามพระราชอัธยาศัย และเมื่อพระราชาคณะรูปนั้นมรณภาพจะโปรดเกล้าแต่งตั้งหรือไม่ก็เป็นตำแหน่งได้เป็นตำแหน่งเฉพาะตัว เช่น แต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมงคลาจารย์ ในโอกาสพิธีรัชมงคลาพิเศษ เป็นต้น 4. การแต่งตั้งพระภิกษุ ให้รับสมณศักดิ์ นั้นมี 2 นาย 4.1. แต่งตั้งโดยทางขึ้น ก็คือมีการเสนอชื่อตามลำดับจากเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาพ ไปถึงคณะกรรมการมหาเถรสมาคม โดยสมเด็จพระสังฆราชให้ความเห็นชอบ 4.2. แต่งตั้งโดยทางลง เป็นการแต่งตั้งโดยพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรงตามพระราชอัธยาศัย เช่น โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระพะยอมเป็นพระพิศาลธรรมวาที หรือโปรดเกล้า แต่งตั้งหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธเป็นพระราชวิทยาคม เป็นต้น 5. พระราชคณะสมเด็จพระสังฆราช เป็นตำแหน่งสูงสุด เป็นอธิบดีสงฆ์ กล่าวคือเป็นใหญ่กว่าพระภิกษุทุกองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากพระราชาคณะชั้นสมเด็จที่มีคุณสมบัติครบ เหมาะสม การแต่งตั้งสมเด็จนั้น เมื่อรับพระราชทานโปรดเกล้า แล้วเรียกชื่อต่อท้ายไว้ 5.1. ถ้าเป็นพระภิกษุมี่มีฐานันดรศักดิ์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป ได้รับพระราชทานโปรดเกล้า สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนะมีคำว่า”เจ้า” ต่อท้าย เช่น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นต้น 5.2. ถ้าเป็นพระสมเด็จที่ไม่มีฐานันดรศักดิ์ ก็จะเรียกสมเด็จพระสังฆราชไม่มีคำต่อว่าเจ้า เช่น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เป็นต้น 6. ความเป็นมาของพระสมเด็จพระสังฆราช มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เริ่มด้วยแผ่นดินของพอขุนศรีอินทราทิตย์กล่าวคือในการกำจัดขอมออกจากกรุงสุโขทัยนั้น เป็นการรวมกำลังระหว่างขุนบางกลางหาว (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)กับขุนยาเมือง เมื่อขับไล่ขอมออกไปได้ ขุนยาเมืองสละสิทธิ์ในการเป็นพระมหากษัตริย์ และขอลาออกบวช พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงรับเป็นโยมอุปฐาก คือปวารณาตนเป็นผู้ให้การอุปการะการจัดการ การอุปสมบทให้ทั้งหมอ เป็นนาคหลวง เมื่ออุปสมบทแล้วจึงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ พระภิกษุขุนยาเมืองดำรงสมณศักดิ์ เป็นสมเด็จ พระสังฆราช เป็นประมุขฝ่ายพุทธจักร นับแต่นั้นมาได้ถือเป็นวัฒนธรรมประเพณีมาจนทุกวันนี้ข้อสังเกต ในการที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ รับเป็นโยมอุปฐากจัดการอุปสมบท ตลอดจนประกาศแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ถือเป็นวัฒนธรรมประเพณีแต่พิจารณาในด้านจิตวิทยา นับว่าพระองค์มีหลักจิตวิทยาสูงสามารถรักษาน้ำใจของพ่อขุนยาเมืองตลอดจนพรรคพวกของพ่อขุนยาเมืองให้จงรักภักดีได้ในขณะที่กำลังฟื้นฟูบ้านเมือง กับเป็นการจะได้มิให้พ่อขุนยาเมืองไปห่างตัวให้อยู่ใกล้ชิดจะได้ดูพฤติกรรมทางการเมืองว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างไรหรือไม่ ถ้าผิดปกติก็จะได้จัดระงับเหตุได้ทันท่วงที อีกอย่างหนึ่งก็แสดงน้ำใจในการเอื้ออารีต่อเพื่อนซึ่งเคยร่วมมือกันกู้บ้านเมือองให้อยู่อย่างสบายตามอัตภาพเรียกว่า กระทำแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ยิงนกครั้งเดียวได้นกสองตัว -ผู้เขียน ๔. กฎหมายที่เกี่ยวกับพระ พระในพุทธศาสนาลัทธิหินยานอย่างพระภิกษุในประเทศไทยนี้ นอกจากต้องปฏิบัติตามพุทธวินัยบัญญัติ 227 ข้อ และมีอนิยศอีก 2 ข้อแล้วยังต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และกฎ ของคณะกรรมการมหาเถรสมาคม และกฎหมายของบ้านเมืองเยี่ยงบุคคลธรรมดาโดยทั่วไปอีกด้วย นับว่าหนักทีเดียว จึงเห็นควรนำเสอดไว้พอเป็นแนวทางที่ควรรู้ไว้ ดังนี้ 4.1. ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2505 เพิ่มเติม พุทธศักราช 2535 ที่ควรทราบคือ 4.1.1. เจ้าอาวาสที่รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจากทางฝ่ายปกครองคณะสงฆ์แล้ว เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญารวมทั้งไวยาวัจกรที่รับการแต่งตังจากเจ้าอาวาสแล้ว 4.1.2. อำนาจของเจ้าอาวาสมีอำนาจในการสั่งการให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของวัด (ถ้ามี) มีอำนาจในการให้กระทำหรืองอเว้นการกระทำของบุคคลใดในวัด อันชอบด้วยกฎหมาย 4.1.3. เมื่อมีอำนาจก็ต้องมีหน้าที่ กล่าวคือดูแลความสงบเรียบร้อยในวัด จัดการบำรุงรักษาทรัพย์สินของวัดทั้งหมด ตักเตือนว่ากล่าว บรรพชิต และคฤหัสถ์ให้อยู่ในระเบียบวินัยของวัด และจัดทำบัญชีจำนวนพระภิกษุ สามเณร และเด็กวัดตลอดจนบัญชีทรัพย์สินของวัดให้ถูกต้อง ผู้ใดขัดคำสั่งเจ้าอาวาส ผู้นั้นขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน อย่างไรก็ตามวัดจะอยู่ได้ด้วยฆราวาส และฆราวาสย่อมอาศัยวัด ต่างต้องพึ่งกันและกัน ดังคำว่า “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า” จึงนำคำที่ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้และขออนุญาตนำมาเขียนไว้ “วัดจะดีมีหลักฐาน เพราะบ้านช่วยบ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย บ้านกับวัดผลัดกันช่วยยิ่งอวยชัยถ้าบ้านวัดบัดกันบรรลัยทั้งสองทาง” 4.2. ทรัพย์สินของพระ พระก็มีสิทธิ์ที่จะมีทรัพย์สินเป็นส่วนตนได้ละย่อมเกี่ยวข้องกับบุคคล และนิติบุคคล ฉะนั้นควรรู้เรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินไว้ดังนี้ 4.2.1. พระภิกษุรับมรดกได้หรือไม่ คำถามนี้ก็ต้องยกเอาข้อกฎหมายขึ้นมาเป็นคำตอบ คือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีบัญญัติไว้พระไม่ได้สิทธิ์พิเศษในการที่ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้นคำตอบนี้ก็จะได้แก่ ข้อกฎหมายที่ว่า “พระภิกษุนั้นจะเรียกเอาทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้เว้นแต่จะได้สึกจากสมณเพศ มาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความ” ตามมาตร 1754 แต่พระภิกษุจะเป็นผู้รับพินัยกรรมได้ หมายความว่า 1. พระภิกษุจะเรียกร้องเอามรดกซึ่งถ้าตนเป็นฆราวาสแล้วมีสิทธิได้รับมรดกนี้ไม่ได้ 2. การเรียกร้องจะเรียกเอาในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้ ทายาทโดยธรรมมีสิทธิตามกฏหมายแบ่งไว้ 6 ลำดับแตะละลำดับต้องรับด่อนหลังตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ตาม มาตรา 1629 (1) ผู้สืบสันดาน(2) บิดา มารดา(3) พี่น้องร่วมบิดาและมารดาเดียวกัน(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือบิดาเดียวกัน(5 ) ปู่ ย่า ตา ยาย(6) ลุง ป้า น้า อา 3. ถ้าสืบจากสมณเพศมาขอรับกฎหมายไม่ห้ามแต่ต้องอยู่ภายในอายุความเรียกร้องมรดกท่านมิให้เรียกร้องเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่ที่ผู้มีสิทธิรับมรดกรู้ถึงการตายหรือควรรู้ถึงการตายของเจ้ามรดก 4. กฎหมายอนุญาตให้พระภิกษุรับมรดกได้ 2 กรณี (1)โดยเป็นผู้รับพินัยกรรม(2)โดยทายาทด้วยกันแบ่งให้4.2.2. พระภิกษุถึงแก่มรณภาพ ทรัพย์สินของพระภิกษุตกเป็นสมบัติของวัด เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดไว้“ทรัพย์สินของพระภิกษุ ที่ได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพ ให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นได้จำหน่ายไประหว่างมีชีวิตอยู่หรือโดยพินัยกรรม”จากกฎหมายนี้1. ต้องเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากญาติโยมถวายไว้ด้วยศรัทธาในระหว่างที่ยังเป็นพระภิกษุอยู่2. เมื่อมรณภาพขณะเป็นพระภิกษุอยู่เท่านั้น3. เข้าตาม 1-2 แล้วทรัพย์สินนั้นตกเป็นสมบัติของวัด4. วัดตามกฎหมายว่าต้องเป็นวัดที่เป็นภูมิลำเนา ข้อนี้ต้องอยู่ที่สถานภาพของพระภิกษุนั้น อยู่วัดใดเป็นวัดสุดท้ายก่อนมรณภาพ โดยถือตามหลักฐานใบสุทธิ มิใช่ถือหลักฐานจากข้อเท็จจริง กล่าวคือ พระภิกษุมีชื่ออยู่ตามใบสุทธิวัดประชาราษฎร แต่บังเอิญออกพรรษาแล้ว ได้ไปอาศัยอยู่อีกวัดหนึ่งซึ่งเป็นญาติอยู่ได้ประมาณ 3 เดือนเศษ เกิดอาพาธเจ็บและตายกรณีเช่นนี้วัดที่มีชื่อคือ ประชาราษฎรเป็นวัดที่ได้รับมรดกของพระภิกษุผู้มรณภาพตามกฎหมาย 5. ตกเป็นสมบัติของวัดตามพจนานุกรม แปลคำว่าสมบัติ คือ เงินทองของมีค่าแต่กรณีพระภ
ไม่มีความเห็น