ของสิ่งเดียวกัน แต่ละคนอาจมองมันต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ถูกปลูกฝั่งกันมา จนเราไม่อาจรับรู้ได้ว่า แท้จริงแล้ว สิ่งนั้นมันคืออะไรจริงๆ ซึ่งทำให้เราไม่สามารถรับรู้ถึงความหมายที่แท้จริงได้ สิ่งที่เรารับรู้ได้คือสิ่งที่ได้ผ่านเงื่อนไขของเราก่อนหนึ่งขั้น ก่อนที่เราจะตอบสนองต่อสิ่งๆ นั้นไป
เงื่อนไขในการรับรู้สามารถถูกสร้างขึ้นได้จากตัวเราเองหรือถูกสิ่งอื่น (สังคม คนรอบข้าง ครูบาอาจารย์ ฯลฯ) กำหนด โดยคนส่วนใหญ่มักไม่สนใจว่าเงื่อนไขเหล่านั้นจะเกิดมาจากนั้น และเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงหรือเปล่า
ในการรับรู้อะไรตามเงื่อนไขที่ไม่ได้เป็นของเรา จะเป็นให้เกิดแรงเสียดต้านท้านมากกว่าปกติ เพราะในใจลึกๆ เราอาจไม่ต้องการเงื่อนไขอันไหน
ลองหาเวลาว่างๆ นั่งนึกดูนะครับ ว่าตัวเรามีเงื่อนใขในการรับรู้อะไรบ้าง และคิดต่อว่าเงื่อนไขนั้น เป็นเงื่อนไขที่เราเลือกแล้วจริงๆ หรือเปล่า ถ้าเราสามารถสลัดเงื่อนไขที่ถูกกำหนดโดยสิ่งอื่นทิ้งไปได้ เราจะสามารถ ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
ป.ล. แนวความคิดนี้ ผมได้มาจากเพื่อนคนหนึ่ง ผมแค่นำมาขยายความเพิ่มอีกนิดหน่อยเท่านั้นครับ
ขอบคุณครับสำหรับความเห็นดีๆ ของคุณ jirawan
และต้องขอโทษด้วยที่ผมเขียนอะไรไม่กระจายจนอาจทำให้เข้าใจความหมายที่ผมต้องการสื่อผิดไป สิ่งที่ผมเขียน (เพื่อนผมเขาเล่ามาให้ฟังอีกที) ไม่ได้พูดถึง "ความเชื่อ" แต่พูดถึง "การรับรู้" เช่น เรามองเห็นคนสวยน่ารักเราก็รู้สึกชอบ หรือ เรามองเห็นนักเรียนช่างกลหน้าโหดบนรถเมล์เราก็รู้สึกกลัว หรือ บางคนมองทะเลแล้วรู้สึกสงบ หรือ บางคนอาจรู้สึกกลัว หรือ บางคนอาจจะเห็นแค่เป็นน้ำเท่านั้น นั้นคือเรามีเงื่อนไขในใจของเราว่า อย่างนี้เรียกว่าสวย อย่างนี้เรียกว่าน่ากลัว อย่างนี้เรียกว่าดี อย่างนี้เรียกว่าไม่ดี เป็นต้น
ผมคิดว่าถ้าเราตัดเงื่อนไขทุกอย่างออกได้หมดคือ "นิพพาน" แต่แนวคิดที่เพื่อนผมแนะนำมาไม่ได้มุ่งที่จะหลุดพ้นนิพพาน แต่เลือกที่จะรับรู้ตามเงื่อนไขที่ได้ไต่ตรองมาแล้วว่า เราเป็นคนเลือกมันจริงๆ ซึ่งก็หมายถึงเรายังจะยึดติดอยู่กับอะไรบ้างเหมือนเดิม แต่อาจจะน้อยลง คนที่หลุดพ้นอาจจะพิจารณาได้ว่า ทุกเงื่อนไขนั้นไม่สำคัญกับตัวเขาเลย