ผมเคยบอกแล้วว่าการไปทำงานในต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกสนานหรือสุขสบายอย่างที่หลายคนคิด สำหรับคนที่ไม่เคยไปต่างประเทศเลย อาจจะคิดว่าสุขสบาย เพราะมักจะเข้าใจว่าก็คงจะเหมือนกับการได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ได้นั่งเครื่องบินลำโตๆ ได้รับประทานอาหารดีๆ ได้นั่งรถโดยสารขนาดใหญ่ไปตามสถานที่ต่างๆ ที่มีนักท่องเที่ยวมากๆ ได้นอนโรงแรมหรูๆ …ฯลฯ แต่การไปทำงานในต่างประเทศที่ต้องไปอยู่กันเป็นปีๆ จึงไม่ใช่เป็นการท่องเที่ยวอย่างที่เข้าใจกันอย่างแน่นอนและชีวิตประเภทนี้บางครั้งต้องเผชิญกับเหตุการณ์แปลก ตื่นเต้น เสี่ยงภัยเช่นกัน ดังมีกรณีหนึ่งที่ผมต้องทำหน้าที่ช่วยชีวิตหญิงไทยที่มีปัญหาชีวิตหนัก ซึ่งจะขอเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ วันหนึ่ง ขณะที่นั่งทำงานอยู่อย่างเพลิดเพลิน ก็มีเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของผมคนหนึ่งโทรมา“มีผู้หญิงไทยป่วยไม่สบาย อยากจะรบกวนขอให้ไปดูหน่อย” “ไม่สบายเป็นอะไรล่ะ” ผมถามด้วยความสนใจ ตามประสาคนที่สนใจเรื่องของคนอื่นแม้จะมิใช่เจ้าหน้าที่กงสุลโดยตรง
“แล้วเธออยู่กับใคร” “อยู่กับสามีฝรั่ง เขาสงสัยว่าภรรยาจะโดน….ผีเข้า” เจ้าหน้าที่พูดหยุดคำสุดท้ายราวกับไม่แน่ใจว่าจะพูดดีหรือไม่ “อ้าว….แล้วคิดว่าจะช่วยได้อย่างไร” “ก็เห็นว่าท่านธัมมะธัมโม อาจจะช่วยได้บ้าง” ผมนั่งงง ไปพักใหญ่และคิดอยู่นาน ต้องยอมรับว่ายังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าผมธัมมะธัมโมก็เพราะคงเห็นเป็นคนชอบสวดมนต์ไหว้พระชอบศึกษาธรรมะจากหนังสือเคยปฏิบัตวิปัสสนากรรมฐานมาบ้าง ชอบสนทนาธรรมแต่ก็ไม่เคยไล่……..ผี สักกะทีผู้หญิงไทยป่วยไม่สบายก็น่าที่ควรจะไปดูแลอยู่ก็จริงแต่ที่บอกว่าอาจจะโดนผีเข้าผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะช่วยได้หรือไม่เพราะไม่ใช่หมอผี แต่ในที่สุดด้วยความสงสารก็เลยรับปากว่าจะลองแวะไปดู เจ้าหน้าที่ตัวดีมารับผมไปยังที่พักของหญิงสาวคนนั้น เรานั่งรถโดยผมพยายามจะซักไซร้ไล่เลียงถึงอาการของเธอและจบตรงคำถามที่ว่าแน่ใจหรือว่าเธอโดนผีเข้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบไม่ได้ที่พักของเธอและสามีเป็นอะพาทเม้นต์หรูย่านชานเมือง ผมกับเจ้าหน้าที่เดินเข้าไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นในใจ เพราะไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร ภาพที่ผมเห็นก็คือ สามีที่กังวลใจมากอยู่ในสภาพที่เหมือนอดนอนมาทั้งคืน ผมได้รับการต้อนรับอย่างเรียบง่ายและค่อนข้างจะเป็นความหวังของสามีเมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าผมเป็นผู้รู้ในทางศาสนาคนหนึ่ง เราเข้าไปนั่งในห้องรับแขกที่ว่างเปล่าเพราะเธอเก็บตัวอยู่ในห้องน้ำตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาผมค่อยๆ ก้าวไปยังห้องน้ำที่เปิดประตูแง้มเอาไว้ พอจะมองเห็นภาพหญิงไทยคนนั้นขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำข้างอ่างอาบน้ำ เธอนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง สภาพดูไม่ได้ ผมยุ่งเหยิง หน้าตาซีดเซียว “เป็นอย่างไรบ้างท่านมาเยี่ยมนะ” เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างกลัวๆ พูดแนะนำก่อนที่จะเผ่นไปรออยู่ที่ห้องรับแขก เธอไม่หันมามองทำท่าเหมือนไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ผมสืบเท้าเข้าไปในห้องน้ำ ห่างจากเธอไม่ถึงเมตร ทำเหมือนกับไม่มีอะไรแต่หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา “มีปัญหาอะไรก็บอกนะ ยินดีรับฟัง” ผมเริ่มการสนทนา ในระหว่างนั้นมีใครก็ไม่รู้เอาเก้าอี้มาให้นั่ง ผมจึงค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ในห้องน้ำโดยมีเธอนั่งอยู่บนพื้นสุดมุมห้องห่ากันไม่ถึง3 เมตร “ผมเองก็เคยมีปัญหาชีวิตเหมือนกันนะ แต่ถ้าเรารักตัวเองก็จะต้องรู้จักให้สิ่งที่ดีแก่ตัวเองบ้าง” “เข้าใจดีว่าทุกคนมีปัญหาได้ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีปัญหา…เป็นคนก็ต้องมีปัญหา” หญิงคนนั้นเริ่มฟัง บางครั้งก็หันหน้ามาสบตากับผม แต่ยังไม่รับคำ “ทำไมไม่ทานอาหาร เดี๋ยวจะไม่สบาย” “เขาไม่ยอมให้ทาน” เธอเอ่ยปากเป็นครั้งแรกด้วยเสียงที่แหบเครือ “ใคร” “ก็เขาคนนั้น มันมาทุกวัน มายืนมองบอกว่าจะพาไปอยู่ด้วย” เธอชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้องน้ำ เอาละซิ ผมชักหวั่นใจกลัวว่าเขาที่เธอว่าคนนั้นจะมาปรากฏตัว “เขาชื่ออะไร มาทำไม เกี่ยวข้องกันอย่างใด” ผมแข็งใจถาม “ไม่รู้ แต่มันจะมาเอาไปอยู่ด้วย” “เอาอย่างนี้ ชวนเขาไปอยู่วัด บอกว่าวัดนี้ต้อนรับเสมอ” ผมบอกชื่อวัดๆ หนึ่งไป ในใจก็นึกว่ายังไม่ได้ขออนุญาตหลวงพ่อด้วยซ้ำไปแต่ก็คิดว่าวัดเป็นสถานที่บุญ คงไม่ขัดข้องอยู่แล้ว เธอเงียบไปพักใหญ่ หันหน้าไปมองทางฝาห้องราวกับจะมองเขาคนนั้น “คนเราต้องรักตัวเองนะ ต้องทานอาหาร ต้องรักษาร่างกายให้สะอาด ต้องรู้จักให้โอกาสตัวเองมีชีวิตที่ดี” ผมพูดต่อไป “หนูก็ไม่อยากไปกับมันหรอก แต่มันมาชวนทุกวัน” “เดี๋ยวจะติดต่อเขาให้ให้ไปอยู่ที่วัดก็แล้วกันนะ” ในใจผมนั้นท่องนะโมตัสสะฯ อยู่ตลอดเวลา “หนูต้องเริ่มชีวิตใหม่นะ ทำตัวเสียใหม่ มีคนห่วงใยอยู่แล้ว โชคดีมากแล้วนะ” ผมพูดๆ ๆๆ จนหมดเรื่องที่จะพูด บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังด้วยซ้ำไป ในที่สุดอาจจะเพราะเบื่อที่จะฟังผมพูดมั้ง เธอยอมลุกออกมานั่งที่ห้องรับแขก “หัดไหว้พระสวดมนต์บ้างนะ เอาหนังสือสวดมนต์ให้ไปอ่านก่อนนอนนะ” “ไม่เป็นอะไรแล้ว พระคุ้มครองเสมอนะ คนไทยอยู่ที่ไหนก็มีพระสยามเทวาธิราช พระแก้วและเจ้าพ่อหลักเมืองคุ้มครอง ขอให้ไหว้ท่านก็แล้วกันนะ” “เอาละหายดีแล้วไปอาบน้ำ ทานอาหารซะ เดี๋ยวให้คนไปซื้ออาหารไทยให้ทานก็แล้วกัน” ผมพูด ผมลาเธอและสามีกลับออกมาด้วยความโล่งอก งานนี้ถือว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่มีใครเป็นอะไร และผมก็ไม่ได้เจออะไรที่เสี่ยงและน่ากลัวมากอย่างที่คาดคิด หลายวันต่อมาเธอกับสามีมาหาผมที่ทำงาน เธอเปลี่ยนไปมากจนจำแทบไม่ได้ หน้าตาสดชื่นมีน้ำมีนวล แต่งตัวดี เธอบอกว่าเธอไม่รู้ตัวเลยเวลาที่เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา ตอนนี้เธอสบายดีแล้ว ถือว่าผมได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ทีเดียว เดี๋ยวนี้เธอกับสามีฝรั่งมีความสุขดี และกำลังจะกลับไปเที่ยวเมืองไทย ผมไม่ลืมที่จะบอกให้เธอไปทำบุญให้มากๆ ที่เมืองไทยและยินดีกับเธอด้วยที่ชีวิตได้เริ่มใหม่และดีกว่าเก่า
งานครั้งนี้แปลกและไม่เหมือนใครซึ่งผมเองก็อดที่จะพิศวงไม่ได้ เวลาที่นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็อดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่า หากเกิดผีเข้าจริงๆและมีฤทธิ์ร้ายกาจรุนแรงเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง หมอผีดิ เอ๊กโซซิสต์ที่โด่งดัง ผมจะทำอย่างไร ..คิดไม่ออกจริงๆ ครับ
...................................
คุณ พลเดช เป็นประสบการณ์ที่แปลกจังเลยนะค่ะ แต่ก็สนุกค่ะ อ่านไปลุ้นไปว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็โชคดีนะค่ะ ที่ช่วยผู้หญิงคนนั้นได้
เล่าประสบการณ์ดี ๆ ให้สมาชิกท่านอื่น ๆ อ่านกันอีกนะค่ะ
สวัสดีค่ะ
สมเป็นนักการฑูต เลยค่ะ วาทศิลป์เป็นเยี่ยม
งานนี้ ถ้าเจอผีฝรั่ง คงต้องพกกระเทียมเป็นมัด ๆ เลยรึเปล่าค่ะ
คุณมะปรางเปรี้ยวครับ
ขอบคุณครับสำหรับข้อคิดเห็น ชีวิตผมมักเจอสิ่งแปลกๆ ครับ จากความที่ชอบเรียนรู้โดยเฉพาะในเรื่องธรรมะปฏิบัติ ชีวิตและจิตใจคน เคยเจอประสบการณ์แบบนี้มาหลายรายและในหลายประเทศ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งในงานการทูตซึ่งไม่มีขีดจำกัด เมื่อไปอยู่ในต่างประเทศต้องทำหน้าที่ผู้แทนทุกวันไม่มีวันหยุด เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้...........แต่ก็ภูมิใจครับที่ได้ทำดี
ขอบคุณนะครับ
ด้วยความปรารถนาดี
กราบนมัสการพระคุณเจ้า
ครับผม งานการทูตครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศชาติและคนไทยครับท่าน งานปรกติก็มีให้เรียนรู้ งานไม่ปรกติก็มีให้ตื่นเต้นครับ ยังมีเรื่องการไปสัมผัสกับการฟื้นฟูพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสายวัดบวร(ท่านเจ้าคุณวิญญ์)ในอินโดนีเซียที่ผมได้ไปเจอมา ซึ่งทำให้ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธได้ปักหลักมั่นคงในอินโดนีเซียแล้ว โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟังครับ
กราบนมัสการ
เรียนคุณรัตติยาครับ
ขอบคุณครับสำหรับข้อคิดเห็น ทุกวันนี้ยังนึกขำตัวเองครับ เพราะเรื่องที่เราเล่าให้หญิงไทยคนนั้นฟังเป็นเรื่องที่จะบอกว่าลับหรือส่วนตัวมากก็ได้ ไม่เคยพูดให้ใครฟังเลย แต่คงเป็นเพราะในขณะนั้นเรารู้สึกว่าต้องพูดในเรื่องที่สำคัญมากให้เขาฟังเพื่อแสดงความจริงใจ เปิดใจตัวเอง (ทั้งที่ผู้นั้นอาจจะไม่รู้หรอกว่าสำคัญ)....ยอมรับครับว่าในตอนนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้........เอ ผมลืมนึกถึงกระเทียมจริงๆ สงสัยต้องพกติดบ้านแล้วครับ ขอบคุณมาก
ด้วยความปรารถนาดี