ตอนที่แล้วตอนที่ 5 เราพูดกันถึงว่ากุบไลข่านนั้นบุกตะลุยยึดเมืองจีนได้แล้ว และพยายามที่จะแผ่อำนาจไปทางทะเลไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือชวา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จซักกะที่ ทำให้อำนาจของมองโกลนั้นอยู่แค่ผืนแผ่นดิน พอตกทะเลก็หมดแรงซะแล้ว
ตอนนี้เรามาพูดกันถึงสาเหตุความรุ่งเรื่องและความล่มสลายของมองโกลกันนะครับ มองโกลนี่ปกครองจีนถึง 100 ปีทีเดียวก่อนที่จะถูกราชวงศ์หมิงนั้นมายึดเมืองจีนคืนไป ซึ่งก็ต้องนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียวใช่ไหมครับสำหรับคนป่าเลี้ยงสัตว์ที่มาปกครองแหล่งอารยธรรมใหญ่ในโลกอย่างจีนถึง 100 ปีเรามาคุยกันเรื่องความเจริญของมองโกลก่อนครับ
ความเจริญของมองโกลและวิทยาการที่ได้รับจากมองโกล
สมัยกุบไลข่านนั้น ท่านข่านมีการส่งทูตไปติดต่อที่ราชสำนักยุโรปด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่อังกฤษหรือแม้กระทั่งวาติกันซึ่งมีการติดต่อขอหมอสอนศาสนาไปครับ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจซักเท่าไร เพราะฉะนั้นจะว่าไปมองโกลก็ใหญ่ไม่เช่นเล่นนะเนี่ย
แต่แล้วทำไมมองโกลนั้นถึงไปซะทั่วเลย Dr. Weatherford เชื่อว่าเพราะผลประโยชน์ทางการค้าครับ สมัยกุบไลข่านเนี่ย Dr. Weatherford บอกว่า การค้านั้นรุ่งเรื่องมากจริงๆ แต่เหตุผลที่การค้านั้นรุ่งเรื่อง Dr. Weatherford เชื่อว่ามาจากระบบปันส่วน หรือระบบกงสีในครอบครัวของท่านข่านนั่นก็คือว่าทุกเขตการปกครองนั้นถือว่าเป็นของข่านทุกๆคน ดังนั้นพอมีผลผลิตออกมาก็จะแบ่งกันไป เช่นท่านข่านแห่งเปอร์เซียก็จะได้ส่วนแบ่งในพื้นที่ของจีน ในขณะเดียวกันท่านข่านแห่งเมืองจีนนั้นก็จะได้ส่วนแบ่งจากผลผลิตในพื้นที่จากเปอร์เซีย และรัสเซียด้วย
Dr. Weatherford บอกว่าเรื่องการค้าและระบบการปันส่วนเนี่ย สำหรับมองโกลนั้นยิ่งใหญ่มาก ถึงขนาดว่าถ้ามีสงครามตีกันระหว่างครอบครัว ก็ยังไม่ส่งผลต่อการค้าครับ ถึงขนาดถ้ารู้ว่าจะมีขบวนคาราวานผ่านตรงสนามรบ ทหารนั้นถึงกับต้องหยุดรบรอให้ขบวนคาราวานผ่านไปก่อนที่จะสู้กันต่อ
น่าสงสัยไหมครับว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น สาเหตุนั้นมาจากว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหยุดส่งส่วยหรือหยุดระบบแบ่งปันนั้น อีกคนก็จะหยุดเพื่อตอบโต้ ในสมัยโบราณที่มนุษย์เรายังไม่สามารถผลิตของทุกอย่างที่ต้องการในพื้นที่ที่ตนเองปกครองได้ อีกทั้งการใช้ชีวิตที่เคยชิน ทำให้เรื่องระบบปันส่วนและการค้านั้นสำคัญ ถึงขนาดเรียกได้ว่าผลประโยชน์นั้นมาก่อนสงครามเลยทีเดียวครับ
เมื่อมีขบวนคาราวานและมีการขนส่งสินค้าที่แพร่หลาย อีกทั้งความที่มองโกลนั้นเป็นคนที่พยายามเสาะหาข้อมูลเอาไว้ในการรบ ทำให้เกิดการเสาะหาเส้นทางใหม่ๆ และทำแผนที่การเดินทางและสภาพภูมิประเทศ เพื่อให้เกิดการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้สมัยมองโกลนั้นได้เริ่มเรียนรู้แล้วว่าการขนส่งที่ดีที่สุดคือทางน้ำ เพราะสามารถขนส่งได้มากแต่ใช้คนน้อย ทำให้การขุดคลองนั้นแพร่หลายมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการสร้างสถานีขนส่งทางการค้าในประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของมองโกลด้วย ถ้าภาพนึกไม่ออก ผมอยากให้นึกถึง FedEx นะครับที่มีการสร้างฮับของตัวเองในเมืองสำคัญๆที่เป็นศูนย์กลางการขนส่ง
นอกจากนี้แล้วมองโกลนั้นยังทำให้พ่อค้าเป็นชนชั้นใหม่ที่ได้รับการยอมรับทางสังคมมากขึ้น เนื่องจากในสมัยมองโกลนั้นตรงกับสมัย Feudalism ในยุโรป
สำหรับพวกศักดินาในยุโรปนั้น ไม่สนใจเรื่องการค้าอยู่แล้ว เพราะว่ายุโรปสมัยนั้นเน้นเรื่องการอยู่ได้ด้วยตนเอง การค้านั้นจะเป็นการซื้อเครื่องประดับเพชรพลอยสำหรับขุนนางมากกว่าเพื่อประชาชนคนจน
ส่วนในจีนนั้น การค้าถือว่าเป็นงานต่ำ สู้งานขุนนางไม่ได้ อีกทั้งการแลกเปลี่ยนการค้านั้นสำหรับคนจีนนั้นถือว่าเป็นการส่งส่วยไปให้รัฐอื่นๆ
นอกจากเรื่องการค้าแล้ว Dr. Weatherford ยังเชื่อว่าเหตุผลที่มองโกลเจริญรุ่งเรื่องนั้นมาจากการกระจายความเจริญ Dr. Weatherford นั้นให้เหตุผลว่า ลองดูถึงอาณาจักรสมัยก่อนเช่นโรมัน อาณาจักรเหล่านี้นั้นจะรวมเอาทรัพย์สินมาอยู่ที่เมืองเมืองเดียว เช่นเมืองโรมของโรมัน แต่มองโกลนั้นจะกระจายไปทั่วๆ สังเกตุได้จากการสร้างสถานีทางการค้าในเมืองต่าง
อีกทั้งมองโกลนั้นไม่มีอารยธรรมของตัวเองครับ ไม่มีสถาปัตยกรรม ไม่มีอะไรเลยผิดกับอาณาจักรโบราณอื่นๆ ดังนั้นเมื่อไม่มีต้นทุนพวกนี้ ดังนั้นแรงต้านทานจากพวกหัวเก่าหรือพวกอนุรักษ์นิยมก็ไม่ค่อยมี ก็เลยหยิบจับเอาวัฒนธรรมที่ดีๆของประเทศที่ตัวเองยึดได้มาเป็นของตัวเอง มาผสนผสานกันซะ
Dr. Weatherford ยกตัวอย่างว่าสมัยนั้นเนี่ย เมืองจีนนั้น เก่งด้านยาครับ แต่อาหรับเก่งด้านผ่าตัด แต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับระบบร่างกายของคน แต่เมืองจีนนั้นมีความรู้ด้านนี้ครับ ก็เลยจับมารวมกัน นี่ยังไม่รวมถึงการผสมผสานความรู้ด้านการวิเคราะห์ลายนิ้วมือ หรืออาวุธที่รวมเครื่องยิงไฟของอาหรับกับดินปีนของจีนให้เป็นระเบิดนะครับ
นอกจากการส่งเสริมการค้าแล้ว มองโกลยังส่งเสริมการสร้าง know how ให้กับคนด้วย โดยการอพยพถิ่นฐานของช่างที่มีความรู้ในแต่ละท้องถิ่น ให้มาทำงานอยู่ในราชสำนักของท่านข่านในที่ต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้และวิทยาการต่างๆ
พอพูดเรื่องการค้าจะไม่พูดเรื่องเศรษฐกิจก็กระไรอยู่ใช่ไหมครับ Dr. Weatherford นั้นบอกว่า สมัยกุบไลข่านเนี่ยมีการตั้งคณะการปรับปรุงคุณภาพชีวิตคนจนและเกษตรกรขึ้นมาด้วย โดยที่แต่ก่อนนั้นแต่ละพื้นที่จะก็มีการปลูกพืชเศรษฐกิจเพียงชนิดเดียว แต่พอมองโกลมา มองโกลก็เอาวิทยาการอื่นๆ เอาพืชอื่นๆมาทดลองและเนะนำให้ปลูกพืชหลายๆชนิดเป็นการกระจายความเสี่ยงออกไป
นอกจากนี้นะครับ มองโกลยังมีการทำประชากรศึกษา มีการสำรวจสำมโนครัวของคนและสัตว์เพื่อให้คิดภาษีได้ถูกต้องมากขึ้น
แล้วถ้าคุณเกลียดคณิตศาสตร์ ก็เตรียมเกลียดมองโกลไปเลยครับ เพราะว่ามองโกลนี่แหละครับที่ทำให้การเรียนคณิตศาสตร์แพร่หลาย เนื่องจากว่าในสมัยก่อนนั้น ในยุโรปก็ใช้เลขโรมัน ซึ่งการคำนวณนั้นยากครับ อีกทั้งไม่มีเลขศูนย์ด้วย แล้วก็เป็นมองโกลตัวดีนี่แหละ ที่เผยแพร่ความรู้ด้านเลขศูนย์และเลขฐานสิบของอาหรับไปทั่ว ทำให้เกิดการตื่นตัวทางคณิตศาสตร์ขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนในยุโรป
แต่อีกเรื่องที่มองโกลทำให้โลกเปลี่ยนโฉมไปเลยนั้นก็คือทำให้ยุโรปนั้นโตขึ้นมาครับ เพราะว่ามองโกลนั้นไปบุกยึดยุโรปถึงแค่ฮังการีและเยอรมัน ทำให้หลายๆประเทศในยุโรปสมัยนั้นไม่โดนบุกยึดและทำลายเหมือนในเอเชีย แต่กลับได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเผยแพร่ความรู้วิทยาการและการค้า เลยทำให้ยุโรปนั้นฉกฉวยโอกาสและก้าวขึ้นมาสู่ยุคเรเนซองส์ (Renaissance) เลยทีเดียว
ความเสื่อมสลายของอาณาจักรมองโกล
เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลงใช่ไหมครับ มองโกลก็เช่นกันครับ เมื่อปกครองชาติอื่นมาได้สักพักก็ถึงจุดเสื่อม Dr. Weatherford นั้นเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งคือโรคระบาดครับ มีโรคระบาดที่ชื่อว่า Bubonic plague ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่น่ากลัวมาก โรคนี้นั้นเชื่อว่ามาจากทางด้านใต้ของจีน
ซึ่งตอนนี้แหละครับที่เป็นตอนที่ข่านที่ชื่อยานิเบ็ก (Yanibeg) กำลังบุกยึดเมืองแห่งหนึ่งที่คาบสมุทรไครเมีย เมื่อเกิดโรคระบาดก็ทำให้ถอยทัพครับ แต่เนื่องจากว่าเมื่อมีทหารมองโกลตายจากโรคระบาด ท่านข่านหัวใสครับก็สั่งให้เครื่องยิงหินนั้นยิงศพทหารที่ตายด้วยโรคระบาดนั้นเข้าไปในตัวเมือง สงครามนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสงครามเชื้อโรคครั้งแรกของโลกก็ได้
(อ้ออออออ ถ้าอ่านเรื่อง Gun Germ and Steels ของ Dr. Jared Diamond พวกอังกฤษก็ใช้วิธีคล้ายๆกันครับ โดยการให้ผ้าของคนที่เป็นโรค small pox ไปให้พวกอินเดียแดง เล่นเอาอินเดียแดงนั้นตายไปหลายเหมือนกัน)
พอทหารในเมืองนั้นเห็นศพยิงมา ทหารในเมืองก็เอาศพไปลอยน้ำครับ แล้วก็เลยเกิดการระบาดขึ้นมาทั้งโลก แต่ Dr. Weatherford เองก็บอกว่าเรื่องการโยนศพไปในเมืองนั้นไม่น่าจะเชื่อเท่าไรครับ แต่ผลกระทบของโรคร้ายนี้นั้นเรียกว่าหนักมากครับ เพราะว่าทำให้ประชากรทวีปแอฟริกานั้นจาก 80 ล้านนั้นเหลือแค่ 62 ล้านคน ในยุโรปจาก 238 ล้านคนเหลือ 201ล้านคน และในบางเมืองของเมืองจีนนั้นเหลือประชากรแค่ 10% เท่านั้น
นอกจากเรื่องโรคระบาดแล้ว ก็มีเรื่องระบบเงินกระดาษของมองโกลที่ไม่ได้รับการยอมรับจากคนหลายๆเชื้อชาติด้วยกัน เมื่อเงินไม่ได้รับการยอมรับระบบการค้าก็แย่ลง รวมไปถึงโรคระบาดที่เกิดขึ้นก็มีส่วนทำให้ระบบการค้าและขบวนคาราวานนั้นพลอยไม่ได้รับการยอมรับไปด้วย
แต่ใช่ว่าพอเห็นหายนะแล้วมองโกลจะไม่แก้ครับ มองโกลนั้นก็พยายามแก้ครับ แต่ดันแก้ผิดวิธีครับ เพราะแก้โดยการแยกตัวมองโกลออกมาจากชาวจีน ทำให้เกิดการต่อต้านและท้าทายจากคนจีน และนำไปสู่การปฏิวัติและชัยชนะของราชวงศ์หมิงที่ก้าวขึ้นมาในที่สุด
แต่ในขณะที่มองโกลในจีนนั้นแยกตัวออกจากคนจีน มองโกลในเปอร์เซียและอาหรับกลับถูกกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคนอาหรับ และนับตั้งแต่นั้นมาระบบการแบ่งปันของครอบครัวข่านก็สิ้นสุดลง
แต่ไม่ใช่ว่ามองโกลจะล้มไปเลยนะครับ มองโกลนั้นยังเหลือลายอยู่ เพราะตอนปลายคริสตรศตวรรษที่ 14 เอเชียกลางนั้นได้อยู่ภายใต้ข่านคนหนึ่งที่ชื่อว่า Timur ซึ่งนับญาติไปนับญาติมานั้นสืบเชื้อสายมาจากลูกคนที่สองของเจงกีสข่าน เป็นใหญ่ขึ้นมาและลูกหลานของ Timur ที่ชื่อ Babur นั้นก็บุกยึดอินเดียตั้งเป็นราชวงศ์โมกุลขึ้นมาในปี 1519 นี่ยังไม่รวมถึงชาวแมนจูที่ก็อ้างสายเลือดมองโกล ว่าแต่งงานกับคนนู้นคนนี้ในครอบครัวข่านเพื่อยึดครองฮั่นด้วย
หลายคนอาจจะอ่านแล้วงงๆ ทำไมต้องมาแบบอ้างนู่นอ้างนี่ด้วย แต่ขอบอกว่าไม่แปลกเลยครับ ผมเชื่อว่าทุกคนรู้จักสงครามเมืองทรอยที่โฮเมอร์เป็นคนแต่งใช่ไหมครับ (ก็แหมหนังออกจะดังซะปานนั้น) แต่เชื่อไหมครับว่าโรมันนั้น ก็พยายามโยงตัวเองว่าบรรพบุรุษของตนเองก็คือพวกทรอยนี่แหละที่หนีจากสงครามครั้งนั้นมาได้ เรื่องนี้สามารถไปหาอ่านได้ในมหากาพย์เอเนียด (Aeniad) ของเวอร์จิล (Virgil) ครับ เรื่องการอ้างนั้นก็เพื่อความชอบธรรมในการปกครองประชาชนนั่นเองครับ
มองโกลกับโลกปัจจุบัน
Dr. Weatherford นั้นบอกว่ามองโกลนี่เจริญมาก เป็นเหตุให้โคลัมบัส (ชาวโปรตุเกส) ไปขอทุนจากพระราชินีสเปน เพื่อเดินทางตามเส้นทางของมาโคโปโลไปจีนครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าอ้าว ก็ไหนบอกว่าแต่ก่อนนั้นยุโรปกับมองโกลยังติดต่อกันอยู่เลย แล้วจะมาจีนทำไม เรื่องของเรื่องก็คือระบบการสื่อสารนั้นถูกทำลายลงไปเรียบร้อยมานานมากแล้วครับ ทำให้พวกยุโรปนั้นไม่รู้เรื่องของมองโกลและตะวันออกไกลอีกเลย นอกจากแค่บันทึกของมาโคโปโล
พอโคลัมบัสเจออเมริกาก็เลยคิดว่าเจออินเดียครับ แล้วก็คิดว่าถ้าเดินทางต่อไป(ทางเหนือ) ก็จะไปเป็นจีน แต่ตอนนั้นก็ไม่เดินทางต่อแล้ว เพราะว่าออกทะเลมานานแล้ว
Dr. Weatherford นั้นบอกว่าแผนที่ที่ติดตัวข้างกายโคลัมบัสนั้นเป็นแผนที่ของมาโคโปโลที่เคยใช้ไปเมืองจีนครับ (อันนี้ผมเขียนเองนะครับ โคลัมบัสอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่า บันทึกมาโคโปโลเป็นของปลอม เพราะว่าสมัยก่อนนั้น ว่ากันว่าบันทึกนักเดินเรือนี่ชอบหมกเม็ดครับ เพราะกลัวว่าคนอื่นที่ได้ไป จะมาบุกเบิกและเอาสมบัติของตัวเองไปครับ)
แต่น่าแปลกไหมครับที่มองโกลนั้นดูเหมือนจะยังความเจริญสู่โลกในสมัยยุคเรเนซองค์ (คริสตศตวรรษที่ 14) ในยุโรป มองโกลในสายตาของยุโรปในคริสตศตวรรษที่ 18 หรือยุค Enlightenment มองโกลกลับถูกมองว่าเป็นตัวถ่วง เป็นตัวโหดร้าย
ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสชื่อดังที่ชื่อว่ามองเตกูร์ (Montesquieu) ที่เชื่อว่ามองโกลนั้นโหดร้าย หรือแม้แต่ตัววอลเตร์ (Voltaire) เองที่แต่ละครเสียดสีพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสแต่ไม่กล้าด่าตรงๆ ก็เอาเจงกีสข่านนี่แหละเป็นตัวแทนพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสแล้วบอกว่าท่านข่านนี่โหดร้าย ไม่สนใจประชาชน
ไม่ใช่แค่ในทางปรัชญาและประวัติศาสตร์เท่านั้นนะครับ ทางวิทยาศาสตร์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเผ่าพันธุ์คนเอเชียว่าเป็นพวกมองโกลอยด์ ก็เพราะว่าฝรั่งนั้นเชื่อว่าคนเอเชียนี้มีต้นกำเนิดมาจากมองโกล รวมไปถึงการเชื่อว่าเด็กปัญญาอ่อนในยุโรปที่มีลักษณะโครงหน้าคล้ายเอเชีย นั้นต้นกำเนิดของโลกก็เพราะว่ามีเชื้อสายมองโกลซึ่งหลายประเทศเองในเอเชียก็อาจจะรับเอาความคิดนี้จากยุโรปมาครับ เนื่องจากยุคนั้นเป็นยุคจักรวรรดินิยม ยุโรปก็รบเอาชนะเอา อย่างกับมองโกลในสมัยก่อนเลย
คนแรกๆของเอเชียที่ปฏิเสธความคิดนี้คือ ยาวาฮราล เนรู (Jawaharal Neru) ครับ ซึ่งก็คือบิดาของท่านอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมันตรีอินเดีย ที่ตอนติดคุกนั้นได้เขียนจดหมายสอนเรื่องประวัติศาสตร์เอเชียให้กับท่านอินทิรา เพื่อไม่ให้ท่านอินทิรานั้นตกอยู่ภายใต้การศึกษาอย่างฝรั่งมากเกินไป
นี่ยังไม่นับถึงความพยายามของญี่ปุ่นที่ได้พยายามศึกษาหนังสือมองโกลและเผยแพร่ความยิ่งใหญ่ของมองโกล เพื่อหาความลับในการรบของเจงกีสข่าน และความชอบธรรมในการกลับมายิ่งใหญ่ของคนเอเชียในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย
บทสรุป
จะเห็นได้ว่ามองโกลนั้นสุดยอดจริงๆนะครับ แต่ถ้าจะให้สรุปว่ามองโกลนั้นมีคุณูปการใดบ้างให้กับมนุษยชาติ Dr. Weatherford นั้นกล่าวว่า มองโกลนี่แหละครับที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่าโลกาภิวัฒน์อย่างแท้จริง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพวก universalization คือทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฏเดียวกันหมด แต่ถ้าจะสรุปแล้วก็มีเจ็ดอย่างใหญ่ครับ คือทั้งหมดคือวิทยาการอันก้าวหน้าที่มองโกลให้สู่โลกนะครับ ไม่ว่าจะเป็นยุคเรเนซองค์ของยุโรป ศิลปะวิทยาการที่ก้าวหน้า เลขฐานสิบที่ทำให้เราสามารถต่อยอดได้ วิศวกรรมศาสตร์ การสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แผนที่ เป็นต้น
แต่ถ้าสังเกตแล้วจะมีข้อเสียของมองโกลอยู่อย่างหนึ่งครับ ก็คือมองโกลเป็นชาติวัฒนธรรมอ่อน เมื่อไม่มีวัฒนธรรมของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะดีที่รับเอาความคิดที่ดีของคนอื่นได้ ประยุกต์ความรู้ของคนอื่นได้ มองโกลกลับถูกกลืนชาติไปอย่างเช่นมองโกลในอาหรับ หรือถูกไล่กลับทุ่งหญ้า อย่างเช่นมองโกลในจีน ทำให้มองโกลนั้นกลายเป็นชาติเล็กไปเลย
แต่ที่สังเกตอีกอย่างคือมองโกลนั้นไม่พยายามที่จะเก็บความรู้และวิทยาการเหล่านั้นไว้ครับ คือได้มาแล้วก็ส่งต่อ แต่ไม่พยายามที่จะศึกษาค้นคว้าโดยคนของมองโกลเอง อาจจะเป็นไปได้ที่คนมองโกลนั้นคิดว่าตนเองเป็นนักรบ มากกว่าที่จะเป็นนักประดิษฐ์คิดค้น ดังนั้นก็เลยพยายาม put the right man on the right job คนไหนเก่งคิดก็คิดไป คนไหนเก่งปกครองก็ทำไป เช่นสภาขุนนางในจีน ที่มีขุนนางชาวมุสลิมหลายคน
บันทึกเรื่องเจงกีสข่านของผมคงจบตรงนี้ครับ หวังว่าทุกท่านคงจะได้รับความบันเทิงจากเรื่องนี้พอสมควรนะครับ เรื่องต่อไปอย่างที่ได้กราบเรียนไว้แล้วว่า ได้เปิดโอกาสให้เลือกระหว่าง
ใครสนใจเรื่องไหนก็ text message หรือ reply มาได้เลยครับ ผมเปิดโอกาสให้ถึงวันจันทร์นะครับ เรื่องไหนได้โวตมากกว่า ก็จะอ่านเรื่องนั้นครับ ถ้าเท่ากัน เรื่องไหนมาก่อน ก็จะเป็นเรื่องเล่าเรื่องต่อไปครับ
สำหรับท่านที่มีโอกาสเข้ามาที่นี่ครั้งแรก ผมรวมลิงค์ไว้ที่นี่ละกันนะครับตอนที่ 1, ตอนที่ 2, ตอนที่ 3, ตอนที่ 4, ตอนที่ 5
ถ้าท่านใดอยากอ่านเพิ่มเติม เรื่องเล่าเหล่านี้มาจากหนังสือเล่มข้างล่างนี้ครับ
ที่มา: Weatherford, J. Genghis Khan, Three river press, NY, 2004. ISBN: 0-609-80964-4
ไปอ่านหนังสือ.....
สงสัยนิดหนึ่ง..
คนเขียนไม่อ้างถึงคนไทยบ้างหรือ...
เหมือนหนังสือเก่าๆ อ้างว่า ข่าน ก็คือ ขุน ในคำไทยเดิมๆ ของเรา (..........)
หลวงพี่อ่านได้ทั้งนั้น จ้า
เจริญพร
สวัสดีครับอาจารย์ขจิต
เรื่องโรคระบาดที่ชื่อ Bubonic plague นั้นในหนังสือได้เขียนถึงอาการของโรคว่า จะทำให้เลือดไหลช้า ซึ่งทำให้ผิวหนังนั้นนั้นซีดครับ แล้วทำให้ต้นขา ต้นแขน (groin) นั้นโต แล้วพอเลือดไหลช้า ไม่มีการหมุนเวียน แถมมีเลือดเสียอีก ก็เลยทำให้คนป่วยดูตัวดำครับ ผมไม่แน่ใจว่าจะเหมือนกับกาฬโรค หรือเปล่านะครับ เพราะว่าตัวพาหะของโรคก็คือหนูด้วยครับ
เรื่องนี้คงต้องขอความรู้จากคุณหมอที่คอยตามอ่านจะดีกว่าครับ ผมตอนที่อ่านถึงเรื่องโรค bubonic plague นั้น อ่านข้ามๆมากครับ ไม่ค่อยเข้าใจอาการโรคเท่าไรครับ
ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
ถ้าพระคุณเจ้าหมายความถึงผู้เขียนหนังสือคือตัว Dr. Weatherford ผมคิดว่าเรื่องประเด็นเมืองไทยเล็กมากครับจึงนั้นไม่เป็นประเด็นที่ Dr. Weatherford ให้ความสำคัญในหนังสือครับ
แต่ถ้าพระคุณเจ้าหมายถึงผู้เขียนบล็อกซึ่งก็คือผมนั้น
ผมคงต้องกราบเรียนพระคุณเจ้าว่า ผมไม่ลึกซึ้งในคำไทยเท่าไรครับ ดังนั้นผมจึงไม่ทราบว่าคำว่าข่านนั้นพอมาถึงสยามประเทศแล้วกลายเป็นคำว่าขุนครับ
ต้องกราบขอบพระคุณพระคุณเจ้าที่ได้ให้ความรู้ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
แต่ว่า ถ้าจะเรียก กุบไลข่าน ว่า ขุนกุบไล หรือ เจงกีสข่านว่า ขุนเจงกีส ฟังแล้วมันก็ดูทะแม่งๆ เหมือนกันนะครับ :D
กราบนมัสการมาด้วยเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
คุยเล่นๆ นะ ... หลวงพี่เคยอ่านหนังสือ (ไทย) ที่เค้าแต่งไว้นานแล้ว เค้าก็วิจารณ์ว่า ข่าน ก็คือ ขุน (จำชื่อหนังสือไม่ได้แล้ว....
ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว... อ่านสารคดีด้านประวัติศาสตร์ก็สนุกไปอีกอย่าง กล่าวคือ อ่านของที่เค้าเขียนเมื่อ ๕๐-๖๐ ปีก่อน เค้าก็ใช้แว่นตอนนั้นเข้าไปจับ...๒๐-๓๐ ปีก่อน เค้าก็ใช้แว่นอีกอันเข้าไปจับ...พอมาอ่านของยุคนี้ เค้าก็ใช้แว่นปัจจุบันเข้าไปจับ....
หลวงพี่เคยแปลคัมภีร์ธัมมปทัฎฐกถา (นิทานธรรมบท) จำเรื่องราวไม่ได้... แต่จำประเด็นหนึ่งได้ว่า พระนครหนึ่งมีเศรษฐี ๕ คน... แต่อีกพระนครหนึ่งไม่มีเศรษฐีเลย พระนครนี้จึงส่งฑูตเพื่อไปขอเศรษฐีอีกพระนคร ให้เข้ามาพำนักในพระนครของตน... หลังจากได้มาแล้วก็อำนวยความสะดวกพร้อมอวยยศบางอย่างให้....
หลวงพี่พิจารณาดูแล้ว ก็คิดว่า นี้จะเป็นเหมือนการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในปัจจุบันหรือไม่ ?
เล่ากันอ่านเล่นๆ นะครับ.....
เจริญพร
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
หนังสือประวัติศาสตร์แต่ละเล่มที่เขียน ก็คงจะเป็นอย่างที่พระคุณเจ้าได้กล่าวไว้ครับ คือเอาสภาพสังคมในยุคนั้นมามองแล้วตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี
ในงานวิจัยบางอย่างเช่นทางด้านการเงินนั้น ก็มีนักวิจัยหลายท่านที่ได้สร้าง trading strategy (ยุทธศาสตร์การลงทุนในตลาดหุ้น) ขึ้นมา แล้วก็เอายุทธศาสตร์นั้นมาลองกับตลาดในอดีต (ซึ่งตัวเองก็จะรู้ว่า ตลาดนั้นมันขึ้นๆลงๆตอนไหน) แล้วก็จะบอกว่าวิธีที่ตัวเองสร้างนั้นดีที่สุด
ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครับ แต่เราก็อาจจะแย้งได้ว่า ก็เขาเหล่านั้นรู้แล้วนี่ว่าอดีตนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเอามาใช้กับตลาดหุ้นจริงๆวันนี้ตอนนี้ วิธีหลายๆอย่างที่คิดที่วิจัยกันมานั้นอาจจะไม่ได้เรื่องก็ได้ครับ
เพราะฉะนั้นการเอา"แว่นปัจจุบัน" ไปจับเหตุการณ์ในอดีต ถึงแม้จะไม่ได้ดีที่สุด แต่เราก็เรียนรู้อดีตและผลที่ตามมาได้ครับ
ต่อข้อคำถามที่ว่า เศรษฐีย้ายเมืองนั้นเป็นเหมือนการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศหรือไม่
ก่อนตอบเราต้องมานิยามคำว่า "การลงทุนในต่างประเทศ" ก่อนครับ
ถ้าเรานิยามคำว่า "การลงทุนในต่างประเทศ" คือการที่นักลงทุนจากประเทศหนึ่งย้ายที่อยู่ไปอีกประเทศหนึ่ง
เราก็จะได้คำตอบว่า เป็นครับ
แต่ถ้าเรานิยามมากไปกว่านั้นว่า "การลงทุนในต่างประเทศ" เป็นการที่นักลงทุนจากแผ่นดิน ก ไปลงทุนในแผ่นดิน ข แล้ว แต่ตัวบริษัทแม่ยังอยู่ในแผ่นดิน ก
เราก็ต้องมาดูต่อครับว่า ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว การกระจายเทคโนโลยีและความรู้นั้นมากน้อยแค่ไหน
ถ้าเกิดการกระจายความรู้มาก สามารถสร้างคนของประเทศ ข ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง
คำตอบที่ได้ก็คือเป็นครับ
แต่ถ้าไม่ใช่ ผมว่าคำตอบที่ได้ก็คงไม่เป็นครับ
ผมมองว่าการส่งเสริมการลงทุนนั้น นัยยะของความแตกต่างนั้นอยู่ตรงนี้ครับพระคุณเจ้าครับ
ความแตกต่างคือผลประโยชน์นั้นตกไปอยู่ที่มือใครมากกว่ากันครับ ยกตัวอย่างง่ายๆเหมือนบริษัทผลิตเสื้อผ้าครับ ที่โรงงานและคนงานในประเทศไทยทำงานหัวปั่นแถมหนักอีกต่างหาก โรงงานในไทยไม่ได้อะไรมากไปกว่าค่าแรง แต่บริษัทอย่างไนกี้กลับได้ประโยชน์และกำไรไปเต็มๆ
หรือว่าห้างโลตัส ที่มีมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ผมคงไม่สามารถมองได้ว่านั่นคือการส่งเสริมการลงทุนจากประเทศครับ
แต่ถ้าพระคุณเจ้าบอกว่า เป็นเหมือนการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้นั้น ผมจะเห็นด้วยกับพระคุณเจ้าทุกประการครับ เพราะการย้ายถิ่นฐานนั้น อย่างน้อยก็จำยังให้เกิดการเผยแพร่วิทยาการเกิดขึ้นบ้างครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้ามาด้วยความเคารพยิ่งครับ
สวัสดีครับอาจารย์Ranee
ประวัติศาสตร์นั้นสอนอะไรเรามากทีเดียวครับ เคยมีคนกล่าวว่าคนที่ไม่มีประวัติศาสตร์คือคนที่ไม่มีอนาคตครับ ซึ่งผมก็ว่าท่าทางจะจริงเหมือนกันครับ
ขอบพระคุณนะครับอาจารย์ได้กรุณาสละเวลามาอ่านครับ
ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ช่วยเล่า ประวัติศาสตร์ของเกาหลี ก็ดีนะครับ น่าสนใจดี
ยิ่งในช่วง 3เเคว้น ใหญ่ นี่ ก็ดีไม่น้อยเลยครับ ยังไงก็ลองพิจารณาดูนะครับ
ขอบคุณครับ