ไตรสิกขา อธิบายอย่างไร...?
หลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนพระอานนท์บ้าง
แก่พระภิกษุสงฆ์ที่มาเข้าเฝ้าตามรายทางบ้าง
ในช่วงที่เสด็จพุทธดำเนินจากกรุงราชคฤห์
มุ่งตรงไปยังเมืองกุสินารา สถานที่ดับขันธปรินิพพาน
ธรรมะที่ทรงแสดงมากที่สุด ก็คือเรื่อง ไตรสิกขา
ขณะประทับอยู่ ณ เขาคิชกูฏ เขตพระนรคราชคฤห์นั้น
พระบาลีบันทึกไว้ว่าธรรมีกถา เรื่อง ไตรสิกขา
พระองค์ได้ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายบ่อยที่สุด
ทรงสรุปประโยชน์ของไตรสิกขาไว้ว่า
"อย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา
สาธิอันศีลอบรมแล้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่
ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่
จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ
กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ"
ไตรสิกขา เป็นระบบฝึกฝนอบรมกาย วาจา ใจ
หรือฝึกฝนอบรมใน ๓ ด้านใหญ่ ๆ คือ
ทางปัญญา ทางศีล และทางจิต คือ
สรุปเนื้อหาของอริยมรรคมีองค์ ๘
ไตรสิกขากับอริยมรรคมีองค์ ๘
ก็เป็นอย่างเดียวกันนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าใครพูดว่าแนวทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ คือ
ไตรสิกขา เรียกว่าเขาพูดถูก
หรือใครจะพูดว่าแนวทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ คือ
อริยมรรคมีองค์ ๘ ก็เรียกว่าพูดถูกอีกเหมือนกัน
ธรรมะเป็นอุปกรณ์หรือวิธีการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงที่สิ้นสุดทุกข์
เรียกโดยทั่วไปว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ
อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ
๑. สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบหรือความเข้าใจถูกต้อง
๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ
ทั้ง ๘ ประการนั้น "มรรค"
หรือแนวทางหรือหลักการที่จะต้องปฏิบัติควบคู่กันไปเป็นกระบวนการ
มิใช่ยกขึ้นมาทำทีละอย่าง ๆ ให้เสร็จในตัวแบบบันได ๘ ขั้น
อะไรทำนองนั้น หากแต่ต้องประสานกลมกลืนกัน
เกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นเนื้อเดียวกัน ดุจเกลียวเชือก
เกลียวฟั่นเข้าเป็นเชือกเส้นเดียวตั้งแต่ต้นจนปลายเชือก
ฉะนั้น ในการปฏิบัติจริงจะเริ่มจากจุดไหนก็ได้
เช่น
๑. เริ่มที่ความรู้ความเข้าใจและความคิด ( สัมมาทิฐิ
สัมมาสังกัปปะ = อธิปัญญาสิกขา)
จะต้องมีความเข้าใจ หรือความเชื่อที่ถูกต้องตรงแนวทางเสียก่อน
เมื่อมีพื้นฐานความเชื่อความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว
ค่อยขยายไปที่การควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา ( สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ = อธิศีลสิกขา)
ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมและเอื้อต่อการพัฒนาที่สูงขึ้น
จากนั้นจึงฝึกฝนอบรมจิตใจ (สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ = อธิจิตสิกขา)
ซึ่งเป็นชั้นภายในละเอียดกว่าให้ได้ผลดีต่อไป
ในระหว่างที่อบรมตามขั้นตอนต่างๆ นี้ องค์ประกอบแต่ละอย่าง ๆ
จะค่อย ๆ พัฒนาตัวมันเอง และเสริมหรือเกื้อหนุนขั้นตอนนั้นๆ
ให้เพิ่มพูนและชัดเจนยิ่งขึ้น
เช่นองค์ประกอบทางปัญญา
ในขณะที่ผู้ปฏิบัติฝึกฝนอบรมขั้นศีลหรือขั้นจิต
ตัวปัญญาความรู้ความเข้าใจซึ่งเป็นพื้นฐานเดิมนั้นจะค่อยๆ
พัฒนาแก่กล้าขึ้น ชัดเจนขึ้น
เกื้อหนุนให้องค์ประกอบทางด้านศีลและด้านจิตถูกต้องสมบูรณ์ขึ้น
อาศัยศีลและจิตที่สมบูรณ์นั้นเอง
ปัญญานั้นก็จะพัฒนาถึงขั้นรู้แจ้งเห็นจริง
ทำจิตให้หลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวง
เป็นอันสิ้นสุดกระบวนการฝึกฝนอบรม
๒. เริ่มที่การควบคุมพฤติกรรม ( สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ = อธิศีลสิกขา)
วิธีเน้นไปที่การฝึกฝนอบรมความประพฤติทางกายทางวาจาอย่างจริงจัง
อาศัยความรู้ความเข้าใจพอเป็นพื้นฐานเท่านั้น
เมื่อศีลถูกต้องสมบูรณ์แล้วก็ก้าวเข้าไปสู่การฝึกฝนอบรมจิตใจอันเป็นขั้นประณีตยิ่งขึ้นจนถึงระดับสุดท้าย
คือ ทำปัญญาให้แก่กล้าจนสามารถพ้นจากตัณหาอุปาทาน
ระบบนี้นิยมทำกันทั่วไป จนเรียกติดปากชาวพุทธทั้งหลายว่า
"ศีล - สมาธิ - ปัญญา"
อาจเป็นเพราะว่าการควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา
เห็นได้ง่าย
และทำได้ง่ายกว่าการที่จะเริ่มต้นพัฒนาจิตหรือปัญญาก็ได้
จึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย
๓. เริ่มที่ฝึกฝนจิตหรือสมาธิ (สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ = อธิจิตสิกขา)
อาศัยความรู้ความเข้าใจพอเป็นพื้นฐานเท่านั้นแล้วเริ่มฝึกอบรมจิตอย่างเข้มงวด
ในระหว่างนั้นองค์ประกอบแต่ละอย่าง ๆ
จะค่อยเกิดขึ้นและเสริมเติมเต็มให้แก่กัน จิตเป็นสมาธิ
แน่วแน่ใสสะอาด พฤติกรรมหรือศีลก็จะเกิดขึ้นเอง
เมื่อศีลสมาธิพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ปัญญาความรู้ความเข้าใจซึ่งเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้วจะค่อยๆ
พัฒนาแก่กล้าชัดเจนขึ้น
เกื้อหนุนให้องค์ประกอบทางด้านศีลและสมาธิถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
อาศัยศีลและจิตที่สมบูรณ์นั้นเอง
ปัญญาก็จะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงทำอาสวะให้หมดไปได้ในที่สุด
--->>> ที่พูดมาทั้งหมดนี้เป็นหลักวิชา
หลักวิชาจะแจ่มแจ้งชัดขึ้นเมื่อลองปฏิบัติดู
การเกิดประสบการณ์แต่ละขั้นตอนนั้น
จะเป็นตัวทดสอบหลักวิชา
และเกิดความเข้าใจยิ่งขึ้นด้วยตนเอง
--->>>
สรุปสั้นๆ ดังนี้
๑. สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ = สรุปลงในอธิปัญญาสิกขา
๒. สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ = สรุปลงในอธิศีลสิกขา
๓. สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ = สรุปลงในอธิจิตสิกขา
ความสัมพันธ์ของอริยมรรคมีองค์ ๘ กับไตรสิกขา
มองเห็นได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เช่น
เมื่อมีความบริสุทธิ์ทางด้านความประพฤติ
เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตน ไม่หวาดต่อการลงโทษ
ไม่สะดุ้งระแวงต่อการประทุษร้ายของคู่เวร
ไม่หวั่นใจเสียวใจต่อเสียงตำหนิหรือความรู้สึกไม่ยอมรับของสังคม
และไม่มีความฟุ้งซ่านวุ่นวายใจ
เพราะความรู้สึกเดือดร้อนรังเกียจในความผิดของตนไม่มี
จิตใจจึงจะปลอดโปร่ง สงบแน่วแน่
มุ่งมั่นต่อสิ่งที่คิด คำที่พูด และการที่ทำได้
ยิ่งจิตไม่ฟุ้งซ่าน สงบมุ่งมั่นเน่วแน่เท่าใด
การคิดการพิจารณาการรับรู้สิ่งต่างๆ ก็ยิ่งชัดเจนและคล่องตัว
เป็นผลดีในทางปัญญามากขึ้นเท่านั้น
ความประพฤติที่บริสุทธิ์และเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตน
เป็นเรื่องของศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ)
การที่จิตปลอดโปร่ง สงบแน่วแน่มุ่งมั่นต่อสิ่งที่คิด
คำที่พูด การที่ทำ เป็นเรื่องของจิตหรือสมาธิ
(สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ )
การรับรู้สิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น เข้าใจอะไรง่ายขึ้น
อันเป็นผลจากจิตสงบนั้น เป็นเรื่องของปัญญา
(สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ )
-->> ดังนั้นเรื่องของไตรสิกขา หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘
จึงเป็นเรื่องของการทำงานร่วมกันเป็นองค์รวมเกื้อกูลกันและกันไปเป็นลำดับ
ศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นเรื่องที่ต้องลงมือปฏิบัติผลอันสัมพันธ์กันและเกื้อกูลต่อการพัฒนาไปสู่ฝั่งมรรคผลนิพพานก็จะปรากฏขึ้นได้...
----------------------------------------------------------
เว็บแนะนำครับ
อยากได้การใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ
ได้ไหม(ต้องการมาก)
ง่ายเหมือนกันน่ะเนี่ย
อยากได้การบูชาคะ
ต้องการพรุ่งนี้ (ด่วน)
คะ
มีประโยชน์ดีนะครับ