- อยู่ด้วยอุเบกขา คือการวางใจเป็นกลาง มองด้วยความเป็นไปอย่างธรรมชาติ ตามเหตุและปัจจัย
(อิทับปัจยตา) ใครสร้างเหตุปัจจัยไว้อย่างไรก็ได้ผลเช่นนั้น
- มีปีติกับสิ่งที่เขาทำได้ดี ด้วยใจจริง ด้วยสติ ตามเหตุผล เฝ้ามองการเติบโตภายในของเขา เพื่อประเมินซ้ำว่าอยู่ในระดับที่สามารถ เรียนรู้แบ่งปัน รับฟังอย่างลึกซึ้งแล้วหรือยัง
- เรียนรู้จากความพร่อง ความไม่ดี ความไม่งามของคนเหล่านี้ เพื่อสะท้อนตนเอง ต่อยอดเพื่อปรับปรุงตน และมองหาหนทางที่ควรจะเป็นด้วยฐานของความรู้ที่เป็นสากล จารีต บริบท และพุทธวิถี
- ระมัดระวังในการข้องเกี่ยว สัมพันธ์ โดยยึดหลักที่จะสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ตามจริงมากที่สุด เท่าที่สติ ปัญญาในช่วงขณะนั้นๆจะเอื้ออำนวย
- บางครั้งก็ใช้วิธีการหนี.... คือเลี่ยง เปลี่ยน ไปให้ห่าง ไม่ข้องแวะกับคนประเภทนี้(จากประสบการณ์ที่ผ่านมา) เพราะว่าได้รับผลกระทบที่มากเกินไป มากเกินที่จะเรียนรู้และปรับตัวได้ทัน( ปัญญามาไม่ทัน )
- อาจจะเป็นเพราะว่าการเรียนรู้จากการเป็นกัลยาณมิตรกับทุกคน ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเกิดประเด็นความขัดแย้งขึ้นมาบ่อยๆ ก็เริ่มเรียนรู้ได ดักทางได้ ตั้งแต่เล็กจนโต เพราะว่าประสบการณืจะช่วยสอนเรา(ส่วนมากไม่ใช่ทั้งหมด) ว่าคนแบบนี้... คนที่คิดตัดสินใจแบบนี้.... คนที่ประพฤติกระทำตัวเช่นนี้. ถ้ามาแนวนี้รับรองได้ว่าเป็นคนละแนวแน่นอน ต้องระมัดระวังตัวพอสมควร
- ส่วนมากแล้วคนที่เป็นกลุ่มนี้เขาก็จะเป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากเท่าได ส่วนมากก็เป็นคนที่ไม่ได้เข้ามาสู่การเป็นพันธมิตรแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีบ้างเหมือนกันแต่น้อยที่จะเข้ามาเป็นมิตรกันภายหลัง
- เพราะการคัดสรร เพราะว่าชีวิตที่เรียบง่ายอยู่แล้ว ส่วนมากก็จะได้เรียนรู้และสัมผัสกับกัลยาณมิตรที่ดีงามเสมอ เมื่ออยู่กับคนที่ดีเราก็เริ่มรับรู้และเรียนรู้แต่สิ่งที่ดีๆมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ต่อยอดการเติบโตด้านในของตนเอง แบบค่อยๆเป็นไป
อนาคตจะยังคงคิดเช่นนี้หรือไม่ จะเป็นไปอย่างไร- อนาคตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตามกาล ตามเหตุปัจจัย และสติปัญญาที่อาจจะสามารถงอกงาม เจริญขึ้นกว่าเดิม ขอเพียงให้มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เรียนรู้วิธีที่จะเรียนรู้ วิธีที่จะพัฒนา วิถีเพื่อการเปลี่ยนแปลงด้านในของจิตใจ
- อาจจะมีจุดเปลี่ยนที่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือปิ๊งแว็บเข้ามาทันทีก็ได้
- แต่จะพยามไม่หลีกหนีต่อไป เพราะการเลี่ยง หลีกห่าง ไม่ได้ทำให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่ควรจะเป็น(เหมือนการหนีการทำข้อสอบที่มีโจทย์ลักษณะเช่นนี้)
เห็นด้วยครับ
หลีกเลี่ยง แต่ไม่ หลีกหนี
อย่างไรก็ตาม การคบหาคนดี ก็จะช่วยชุบชูจิตใจของเรา มีน้ำหล่อเลี้ยงด้วย ไว้ได้มีแรงไป เรียนต่อ จากคนพวกนี้อีกสักตั้งครับ
เป็นการเติบโตขึ้นเรื่อยๆจากภายใน
.....
ผมขอเรียนรู้ด้วย
ตามมาอ่านต่อจากตอน 1 ครับ..
ดีครับ...มีธรรมะอยู่กับตัว
มอง คิด วิเคราะห์ โดยใช้ธรรมะ การดำเนินชีวิตจะได้ถูกต้อง เกิดความสุขใจครับ...
ไม่ทราบว่า.งคิดเหมือนกันมั๊ยคะว่า..ในพรหมวิหาร 4 เนี่ย ..การวางอุเบกขาเนี่ย ยากสุดๆ จากการประเมินของตนเอง..การที่เราจะไม่ทุกข์ไปกับคนที่ทุกข์ ซึ่งเราไม่สามารถจะช่วยเหลือได้เนี่ย..มันรู้สึกแย่มากเลย และตัวเองก็พยายามที่จะผ่านขั้นนี้ไปให้ได้..ก็อาศัยว่าช่วยได้ก็พยายามช่วยอย่างที่สุด..แต่ถ้าเกินกำลังก็ต้องพยายามปลง อุเบกขา..ว่าเป็นกรรมของเขา...ซึ่งก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ยึดหลัก..ท่านพุทธทาส ว่า
ทุกข์มีไว้ดู..ไม่ได้มีไว้เป็น...ก็ช่วยให้ทุกข์น้อยลงนะคะ