<p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">พัฒนาสองวิถี: งานที่รับผิดชอบนั้นเรียกว่างานพัฒนาชุมชน ซึ่งกิจกรรมในโครงการนี้ทำการพัฒนาทั้งวิถีพึ่งตนเอง หรือเศรษฐกิจพอเพียง (Self Sufficient Economy) ซึ่งเป็นนโยบายหลักและครอบคลุมพื้นที่ทั้งโครงการ 35 หมู่บ้านทั้ง 4 ตำบล โดยมีเครือข่ายไทบรูเป็นแกนหลัก การพัฒนาแนวทางนี้เป็นกระแสของ “การพัฒนาเพื่อการปลดปล่อย” ที่กล่าวว่าปลดปล่อยเพราะต้องการออกมาจากวงจรทุนนิยม </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; tab-stops: list 21.3pt" class="MsoNormal">ขณะเดียวกันโครงการนี้ก็มีพื้นที่เฉพาะ 1,500 ไร่ เกษตรกรจำนวน 100 ครัวเรือน ทำการเกษตรแบบทุนนิยมเต็มตัวคู่กับการพึ่งตนเอง เป็นกิจกรรมภาคบังคับ คือมีโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาแล้วก็ต้องทำกิจกรรมใช้ประโยชน์ต่อไป พร้อมกับหาช่องทางที่จะแปรผันข้ามไปสู่ระบบการผลิตพืชอินทรีย์ในอนาคตต่อไป </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">วิถีที่เปลี่ยนไป๋: เฉพาะพื้นที่ในโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้านี้ การเกษตรช่วงแรกนี้เป็นแบบ Contract farming หรือการเกษตรแบบ Intensive Care Crop(ใกล้เคียงกับ ICU เลย) เพราะเป็นพืชอายุสั้นเพียง 2-3 เดือนก็เก็บผลผลิตได้แล้ว แต่เป็นพืชที่ปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาใหม่ให้มีผลผลิตสูงๆ ต้องการปุ๋ยวิทยาศาสตร์ แต่ก็อ่อนแอต่อโรคภัยและแมลงต่างๆ รวมทั้งอ่อนไหวต่ออุณหภูมิ และบรรยากาศที่อาจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในช่วงฤดูแล้ง </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p> ดังนั้นวิถีชีวิตไทโซ่ที่ชอบขึ้นภูล่าสัตว์ เก็บของป่าจะต้องงดและใช้เวลาทั้งหมดกับแปลงพืชนี้เท่านั้น ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตั้งแต่วันจันทร์จรดวันอาทิตย์ ตั้งแต่เริ่มเพาะกล้าจนถึงเก็บเกี่ยวต้นสุดท้าย ในช่วงเวลาที่ผ่านมาราคาสินค้าและผลตอบแทนเป็นแรงกระตุ้นให้หลายคนหันมา ทำ Contract farming ก็เป็นไปตามหลักธุรกิจทุกประเภทแหละครับ แน่นอนบางคนก็หน้าเหี่ยวเพราะขาดทุน แต่มีแรงฮึด อย่างไรก็ตามผู้เขียนก็ “วิเคราะห์ความเสี่ยง” ไว้แล้ว ผู้ใดสนใจก็ติดต่อเอกสารชุดนั้ได้ครับ </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">กะลากับ ICC : มันช่างตรงข้ามจริงๆนะ เจ้าการเกษตรสองวิถีนี้ คือการเกษตรแบบ ICC ต้องทำงานกลางแดดเปรี้ยง แต่การเกษตรแบบพึ่งตนเอง เกษตรผสมผสานมักทำงานใกล้กับร่มไม้หรือใต้ร่มไม้ใหญ่ด้วยซ้ำไป ดังนั้นเกษตรกรที่ทำงานกับระบบ ICC ทำงานสักพักต้องเดินหาร่มไม้ใหญ่กัน เพื่อพักผ่อน หรือเมื่อจะกินข้าวมื้อกลางวันก็ใช้ร่มไม้ใหญ่เป็นห้องครัวใหญ่ ชาวบ้านใกล้ๆนั้นก็มาอาศัยพักร้อนกลางวันด้วยกัน หนักเข้าก็งีบสักพักแล้วไปทำงานใหม่ พร้อมเปิดวิทยุฟังเพลงดังลั่นทุ่ง เพลงพื้นบ้าน และเพลงเพื่อชีวิตล้วนถูกเปิดเป็นที่นิยมมากในช่วงทำงานกลางแดดนั้น เพลิดเพลิน พอดึงใจออกจากการทนร้อน ความเมื่อยออกไปได้มากโข </p><p align="center"> </p><div style="text-align: center"></div><p> เมื่อหิวน้ำก็เดินเข้าร่มไม้กินน้ำจากกระติกที่หิ้วมาจากบ้าน รินน้ำ “ใส่กะลา” ที่ชาวบ้านผู้เฒ่าผัวเมียทำทิ้งไว้ที่เถียงนาใกล้ๆ กินน้ำจากกะลากลางทุ่งนี้ได้บรรยากาศจริงๆ พ่อเฒ่าขัดกะลาเสียมันเลื่อม 3-4 ใบพร้อมที่จะใช้งาน ใบนี้กินน้ำ ใบนั้นใส่กับข้าวสารพัดชนิด ใบโน้นใส่ข้าว ผู้เขียนออกเยี่ยมเกษตรกรบ้างเป็นครั้งคราวก็ได้ลิ้มรสข้าวจากกะลากลางทุ่งใต้ร่มสะเดาใหญ่แห่งนี้แล้ว มันได้บรรยากาศจริงๆเหมือนใครบางคนกล่าวไว้ จะให้ดีต้องกินข้าวด้วยมือด้วย พอดีวันนั้นผู้เขียนยังเป็นหวัดและกินอาหารประเภทมังสวิรัติ จึงขอใช้ช้อนและแยกออกมาใกล้ๆ “ชุดกะลาสังคโลก” ของพ่อเฒ่าแม่เฒ่ามีครบ มีด ขวดพริกที่ขาดไม่ได้ทั้งพริกป่น พริกเมล็ด เกลือพร้อมที่จะใช้ประกอบกับข้าวป่าแบบง่ายๆพื้นบ้าน </p><p></p><div style="text-align: center"></div><p> </p><div style="text-align: center"></div><p> เพียงเอากระติบข้าวมาจากบ้าน กับข้าวไปหาเอากลางทุ่ง วันนั้นถ้าเฉพาะพ่อเฒ่าแม่เฒ่าสองคน กะลาก็เพียงพอสำหรับอาหารมื้อไหนๆ แต่เรามีหลายคนเลยต้องใช้จาน ถ้วย ชามจากบ้านพักเจ้าหน้าที่มาเพิ่มด้วย จะเอาอะไรกับวิถีพอเพียงแบบบ้านนากลางป่าเขา </p><p><div style="text-align: center"></div></p><p>ผมนึกถึงอาหารมื้อแพงๆในเมืองกับกะลาใบนี้ ผมนึกถึงการเกษตรแบบพึ่งพากับกะลาใบนี้ ผมนึกถึงเงินหลายร้อยหลายพันล้านที่ปลิวว่อนในกรุงเทพฯโดยนักการเมืองกับกะละใบนี้ กะละ เรียบง่าย ไม่ได้พึ่งพาใคร หาได้ในชุมชน ใช้ได้นาน ทำความสะอาดได้ คงทน และสามารถคืนกลับสู่ธรรมชาติได้ ผมชอบกะลา.. </p>
สวัสดีคะ
โครงการสูบน้ำนี้ก็ดีนะคะจะได้ให้สะดวกกับชุมชน แต่อีกมุมก็น่ากลัวนะคะ ยังไงก็ช่วยกันดู วิถีชีวิตสังคมปัจจุบันก็เริ่มเปลี่ยนไป ในทาง 2 ทางแต่ละทางนั้นก็แตกต่างกันไป ยังไงจะติดตามผลงานนะคะ
ดีใจที่ใช้ภาชนะจากธรรมชาติ
ถ้ามองหาประโยขน์เห็น อะไรๆก็เป็นประโยขน์
การทำเกษตรสมัยนี้อยู่ยาก เพราะราคาผู้ซื้อกำหนดไว้ต่ำ
ไม่มีคานงัดที่สมดุลย์และเป็นธรรม
ชวนกันปลูกต้นไม้เยอะ
ทำไร่นาแต่พอถิน
เงินทองต้องไปเอาที่กรุงเทพ เพราะระบบมันวางล่อไว้อย่างนั้น
ก่อนจะไป ต้องปลูกต้นไม้ ในอนาคตมันจะเป็นทุนได้จริงๆ
ในระหว่างรอเวลา
ก็หาเรื่องทำไปพลาง แต่ก็ต้องดูหลุมพราง
ยิ่งทำยิ่งขาดทุนเกษตรแบบสมัยใหม่นี้
ถ้าพื้นที่มีน้ำน่าปลูกพืชทำหัวอาหารสัตว์ มาขายให้พวกไร้น้ำแต่ทะลึ่งเลี้ยงสัตว์แบบพวกบุรีรัมย์
ต้องตกอยู่ในอานัตินายทุนอุตสาหกรรม ที่อยากจะขึ้นราคาเมื่อไหร่ก็ได้
ตราบใดที่ชาวบ้านไม่หันหน้าเข้าหากัน แก้ไขจุดตายร่วมกัน
ทำไปก็มีแต่ตาย กับตาย
ประเด็นเอาหัวโจกแต่ละท้องถิ่นมาเจอกัน เพื่อจะทำกิจกรรมอุดช่องโหว่ให้กัน น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง
แต่นโยบายเรื่องนี้ไม่มี มีแต่ให้ตายคาเขียง
อยู่กับเศรษฐกิจพอเพียงที่มีแต่คำหวานลมๆแล้งๆ
ลมแล้ง ถึงพัดมา มันก็มาแบบแล้งๆ
ถึงพัดแรง มันก็แรงแบบแห้งแล้ง
ว่าแต่หลานสาวผมจะไปออสเตรเลียวันไหน จะเชิดสิงห์โตส่งที่สุวรรณภูมิ อิอิๆๆ
เรื่องดงหลวง พิมพ์รวมเล่มแล้วหรือยัง
เป็นตำราพัฒนาแบบฉบับไทอีสานแท้
อยากเห็น อยากได้ เก็บไว้อ่านก่อนตาย
การยุให้ชาวบ้านทำการเกษตรในสภาวะที่ไม่พร้อมและเสียเปรียบ อีกนัยหนึ่ง เหมือนกับเรากำลังบอกเขาว่า
สวัสดีค่ะคุณบางทราย
โอ้โห เห็นวิทยุทรานซิสเตอร์แล้วต๊กใจ ไม่นึกว่ายังมีการนำมาใช้งานได้อยู่ บ้านราณีก็มีกระบวยตักน้ำเพราะแม่ชอบซื้อเก็บ (ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนนะค่ะ แต่อยากเข้ามาคุยค่ะ) บางครั้งเราต้องมองประโยชน์ของกะลาให้ทะลุค่ะ .......