วิชานี้ทำให้ผมเสียน้ำตาตอนปอห้า
เรื่องมีอยู่ว่าวันแรกที่เรียนภาษาอังกฤษตอนปอห้า คุณครูให้การบ้านคัด A-Z เลย คนอื่นเขาเรียนมาหมดแล้ว แต่เราเพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนบ้านนอกต่างอำเภอ
คืนนั้นทำการบ้านไปร้องไห้ไป คิดในใจว่าจะไม่ให้วิชานี้มาทำร้ายผมได้อีก ตั้งแต่นั้นผมชอบภาษาอังกฤษด้วยความแค้น จนวิชานี้เป็นวิชาทำเกรดของผมโดยตลอดจนถึงมหาวิทยาลัย
ดูหนังฝรั่งต้องดู Soundtrack หมั่นฟังเพลงฝรั่ง เพลงไหนชอบมากๆ หาเนื้อมาอ่าน ทำให้เห็นความงดงามของภาษามากขึ้น
คิดแล้วต้องกราบขอบพระคุณพ่อแม่ที่ ท่านทั้งสองอยู่ข้างๆ ในเวลานั้น
ในการทำการบ้านภาษาอังกฤษวันนั้น ท่านทั้งช่วยทำการบ้าน ซับน้ำตา และให้กำลังใจ จนก้าวข้ามอุปสรรคมาจนได้
พ่อแม่คือพรหมของลูกแท้ๆ
คะ ความแค้นในวิชาภาษาอังกิด ...กับความรักของคุณพ่อคุณแม่
น่าสนใจคะ.... ประทับใจ
แวะมายิ้มให้คุณ ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ด้วยความเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ
หัวอกเีดียวกันเป๊ะ ๆ เลยค่ะ
แต่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษนะคะ ภาษาญี่ปุ่นค่ะ แหะ ๆ
แค้นมากเลยค่ะ ที่ต้องมาเรียนตอนแก่เนี่ย
คุณผู้ไม่ประสงค์ออกนามยังดีนะคะ ป.๕ เอง
นี่....ง่า....จบป.๕ มานานมากแล้วน่ะค่ะ
ยังเคยบอกเพื่อน ๆ ว่า สงสัยสมองมันจะเมมโมรี่เต็มแล้ว
เปลี่ยนฮาร์ดไดร์ฟก็ไม่ได้
ซื้อ Thumb Drive เพิ่มก็ไม่ได้
ก็เลยทุลักทุเลมากค่ะ กับภาษาญี่ปุ่น
ทุกวันนี้ก็ยังลำบากอยู่
แต่มีจุดที่ทำให้ฮึดอยู่เรื่องหนึ่งค่ะ คล้าย ๆ กัน
คือมันก็แค้น ๆ นั่นเอง
ปกติช่างพูดค่ะ ชอบพูด (ดูออกเลยใช่ไหมคะ ฮิ ๆ)
ก็เลยไปแข่งพูดภาษาญี่ปุ่นในหมู่นักเรียนซะงั้น
นึกว่าจะใช้แอ๊คติ้งช่วย ฮิๆ
แต่ว่า...ง่า...พลาดค่ะ แหะ ๆ
พลาดด้านเทคนิค เขาบอกว่าเราไม่ใช่สุนทรพจน์
แต่เป็นการชวนคนเล่นเกมส์
หนอย....แค้นนนนนน ฮิ ๆ
เคยเห็นคนแก่อ้วน ๆ แค้นค้างปีไหมคะ?
วันนั้นจำแม่นเลยค่ะว่า บอกตัวเองว่า
คอยดูนะ ปีหน้า I'll be back.
ทำหน้าแบบ อาร์โนลด์ ชวาร์ซเนกเกอร์ ไปด้วยในใจ
และก็นั่งแพลน strategy ในการแข่้งของปีต่อไป ตั้งแต่ในวันที่พลาดนั้นเลยค่ะ
คือวันนั้นได้ที่ ๔ น่ะค่ะ แหะ ๆ
ไม่มีรางวัลชมเชย มันเลยแค้นนนน ฮิ ๆ
ความจริงไม่น่าเลยเนอะ ได้แค่นั้นก็น่าจะดีใจจะตายแล้ว
มนุษย์เรากิเลสไม่มีที่สิ้นสุดก็อย่างนี้นี่เอง
แต่ก็อะนะ ยังดีที่หัดหมุน "ทุกข์" ที่บีบคั้น ให้มันมาเป็นวิริยะ อุตสาหะ กับเขาได้บ้าง
ปีถัดมา ถอดหัวใจพูดเลยค่ะ
แต่แปลก เพราะพอเอาเข้าจริง ปีถัดไป มันไม่ได้อยากชนะแล้ว
มันอยากพูดทดแทนบุญคุณบุพการีมากกว่า
เพราะเนื้อเรื่องที่พูดประมาณนั้น
แอบจะซึ้งน่ะค่ะ
ูพูดไปมีน้ำตาคลอด้วย ไม่ได้แอ๊คติ้งแล้ว คราวนี้ของจริง
แต่ก็มีแทรกขำ ๆ นะคะ เพราะพูดไปก็ลืมบท สะดุ้งเฮือก คนดูขำกลิ้ง
มีครบทุกรสเลยค่ะ
พูดเสร็จก็โล่งอก จบ ๆ เสียได้
นึกในใจ ปีหน้าไม่เอาอีกแล้ว หาเรื่องจริง ๆ เลยตู
ก่อนแข่้งโทร.ไปหาคุณแม่้ บอกว่าให้คุณแม่เอาใจช่วยด้วยนะ ยังตื่นเต้นเหมือนตอนเด็ก ๆ เลย (โทร.ไปอ้อนค่ะ)
ถ้าได้รางวัล จะให้คุณแม่ไปทำบุญหมดเลย (มีติดสินบนด้วย)
คุณแม่บอกว่าจะนั่งสมาธิให้ แล้วก็อวยชัยให้พร
ก่อนก้าวขึ้นเวที ไม่ลืมบอกเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง และอธิษฐานถึงคุณทวด เพราะจะพูดถึงท่าน
คนที่พูดคนสุดท้าย เป็นเพื่อนห้องเดียวกันค่ะ พูดดีมาก กินใจมาก เรื่องราวของเธอเอง เป็นชีวิตที่ฝ่าฟันอุปสรรคดีจริง ๆ
เชียร์เธอมากเลยค่ะ มั่นใจว่าเธอจะต้องชนะเลิศแน่ ๆ เพราะเธอพูดไม่ผิดเลย เสียงดังฟังชัด และดีกว่าผู้เข้าแข่งขันจากที่อื่นมาก
แถมเป็นคนดีอีก ให้เราลอกการบ้านบ่อย ๆ ด้วย (อ้าว)
ประกาศที่ ๔ (ทีปีนี้ล่ะมีที่ ๔ ฮึ งอนดีกว่า) ก็แล้ว ที่ ๓ ก็แล้ว ที่ ๒ ก็แล้ว ก็เริ่มถอดใจแล้วล่ะค่ะว่า สงสัยดวงเราคงเอาดีภาษาญี่ปุ่นไม่ได้แล้วล่ะ เพราะที่ ๑ ต้องเป็นของเพื่อนใจดีที่ให้เราลอกการบ้านนั่นเอง เธอนอนมาเห็น ๆ
เตรียมหันไปตบมือแสดงความยินดีกับเธอแล้ว เพราะเธอนั่งข้างหลังเราในห้องประชุมใหญ่
ปรากฏว่า เซนเซที่สอนภาษาญี่ปุ่นที่เป็นผู้ชายชาวญี่ปุ่น ประกาศหัวข้อสุนทรพจน์ที่ได้รางวัลที่ ๑ มันไม่ใช่อันที่เธอพูดนี่นา เอ๊ะ...คุ้น ๆ นี่หว่า อ้าว....
เซนเซ ประกาศชื่อเรา "เฮ้ย!!"
นั่งงงเป็นไก่ตาแตก
และคงทำหน้าทุเรศพอใช้ เพราะเขาหัวเราะกันทั้งหอประชุม อาจจะยกเว้นเพื่อนเราคนนั้น
เซนเซที่สอนภาษาเดินหัวเราะจากหน้าเวทีมาจูงมือเราถึงที่นั่งออกไปที่เวที เพื่อรับโล่และรางวัล
เรายังทำหน้าไม่ถูกอยู่เลย เพราะในหัวมั่นใจว่า เพื่อนเราต้องได้
ตอนนั้นมันชักจะเบลอ ๆ จำไม่ได้ว่ามีกี่รางวัล หลายอย่างเหลือเกิน ทั้งโล่ ทั้งกล่อง และซองเงินรางวัล
เย้...ได้ตังค์ให้แม่ทำบุญแล้ว
พอถ่ายรูปหมู่ตอนจบเสร็จ รีบโทร.ไปบอกคุณแม่ คุณแม่หัวเราะชอบใจ บอกว่าแม่นั่งสวดมนต์และนั่งสมาธิให้ตลอด
ก็เลยคิดว่า เป็นเพราะอานิสงส์ที่คุณแม่ส่งกำลังใจมาช่้วยนั่นเอง
ชนะด้วยแรงบุญ แรงกุศลแท้ ๆ
เพราะลำพังการพูดผิด ๆ ถูก ๆ สะดุ้งเฮือกลืมบท แถมมีน้ำตาคลออีกต่างหากนี่ คงไม่น่าจะชนะใจกรรมการแน่
นอกจากกรรมการญี่ปุ่นจะถูกใจกับเนื้อเรื่องเสียขนาดนั้น
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด
มารู้ทีหลังว่า คนญี่ปุ่นเขาไม่ได้ให้คะแนนคนที่ระดับความสามารถ
แต่เขาดูที่ความพยายาม ความตั้งใจ
บางทีเขาอาจจะเห็นที่เราไม่ท้อถอยก็ได้
อาจจะจำได้ว่าคนนี้เคยพลาดมาเมื่อปีที่แล้ว
แบบฉิวเฉียด เพราะพลาดด้านเทคนิค คือ ผิดกติกา
แต่้ไม่ย่อท้อ (หน้าด้าน) มาแข่งใหม่
และถึงจะพูดผิด ๆ ถูก ๆ ก็ทนสู้พูดต่อจนจบ
ไม่ถอดใจไปเสียก่อน
สรุปว่า เรื่องที่เล่ามานี้ คล้ายกับเรื่องของคุณผู้ไม่ประสงค์ออกนามถึงสามประเด็นใหญ่ด้วยกันเลยค่ะ
เรื่องแรก คือ เีรียนภาษาใหม่ช้ากว่าคนอื่นเขา แล้วอาการน่าเป็นห่วง ฮี่ ๆ
เรื่องที่สอง มีเหตุให้ต้องแค้น ฮิ ๆ
เรื่องที่สาม ไม่ลืมพระคุณคุณแม่ที่คอยเคียงข้างให้กำลังใจลูกเสมอ แม้นลูกจะโตเป็นนักเรียนโข่งขนาดนี้แล้วก็ตาม
เลยกลายมาเป็นได้ ลปรร กับคุณ ผู้ไม่ประสงค์ออกนามเีสียยาว
ต้องขอโทษด้วยค่ะที่มาอาศัยพื้นที่
และขอบพระคุณค่ะที่ช่วยกรุณาจุดประกาย
ให้ได้นึกถึงเรื่องดี ๆ
และได้ขอบพระคุณคุณแม่อีกครั้ง
สวัสดีคุ่ะ,
ณัชร
อิอิ เก่งจัง สงสัยแป้นคงเรียนในโรงเรียนที่สอนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาล เลยไม่มีลูกฮึดเท่าไหร่ ตอนจบใหม่ๆ ก็ยังดีๆอ่านออกเขียนได้ พูดคล่องอยู่เลย แต่ปัจจุบัน คืนคุณครูไปหมดแล้ว สงสัยต้องมาฮึดใหม่ หาหนัง soundtrack มาดูบ้าดีฝ่า เผื่อจะเก่งแบบคุณผู้ไม่ประสงค์จะออกนามบ้าง
ดีนะ...ที่คุณไมประสงค์จะออกนามยังมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้กำลังใจ
น่าทึ่งจังค่ะ แปลงความแค้น เป็นแรงผลัก
ขอบคุณเรื่องราวน่ารักๆ ค่ะ
^
ล่าสุดผมอ่านเรื่องของนักวิ่งมาราธอนที่อายุมากที่สุดในโลก อายุ ๑๐๐ ปี
เขาวิ่งเพราะสูญเสียคนที่รัก เลยเอามาเป็นแรงวิ่งมาราธอน อ่านแล้วอึ้ง ชื่นชม
เขาชื่อ Fauja Singh