บันทึกประวัติศาสตร์
ณ จุด พลิกผันของศิริราช
(จัดทำโดย ประเวศ วะสี ศิริราชรุ่น ๖๐)
ศิริราชเก่า
ใน พ.ศ.๒๕๐๔ เมื่อผมกลับจากต่างประเทศนั้น ศิริราชเก่าแก่ทุกโซน เป็นหนี้เป็นสิน
เมื่อครั้งอาจารย์หมอสุด แสงวิเชียร เป็นคณบดีนั้น อาจารย์ดิเรก พงศ์พิพัฒน์ ไปขอให้เจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางกระทรวงการคลังมาตรวจการเงินของศิริราช ปรากฏว่าผลประโยชน์ของศิริราชหายไป ๓๐๐ ล้านบาท ซึ่งสมัยนั้นเป็นจำนวนที่ใหญ่มาก เวลานั้นระบบการเงินการคลังของศิริราชกับของมหาวิทยาลัยอยู่ด้วยกัน ศิริราชเกิดก่อนมหาวิทยาลัย
ตั้งแต่ตั้งโรงศิริราชพยาบาลเป็นต้นมา ศิริราชบริการฟรีเรื่อยมา เพราะอาจารย์ผู้ใหญ่เห็นว่าโรงพยาบาลศิริราชพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชทานมา
แนวคิดเช่นนี้ ทำให้ศิริราชตกอยู่ในความยากจนเรื่อยมา การเงินติดตัวแดงตลอดไม่มีเงินที่จะคิดและทำอะไรใหม่ ๆ ไม่มีเงินส่งอาจารย์ไปต่างประเทศ มีพวกเราคนรุ่นใหม่บางคนเห็นว่าไม่ถูกต้อง ควรมีการเก็บเงินตามฐานะรวยจนที่จนมากก็ฟรี จะได้ช่วยคนจนได้มากขึ้น
อาจารย์ที่กลับจากต่างประเทศหลายคนเห็นว่า ศิริราชเหมือนเรือผุไม่สามารถแก้ให้กลับคืนดีได้ จึงพากันไปตั้งคณะแพทย์ใหม่ คือ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มีอาจารย์อารี วัลยะเสวี เป็นหัวหน้า ท่านอื่นมีเช่น อาจารย์ณัฐ ภมรประวัติ อาจารย์เปรม บุรี อาจารย์รจิต บุรี มรว.พัชรีสาณ ชุมพล มรว.กัลยาณกิติ์ กิติยากร ฯ และแพทย์ใหม่ดูใหม่เอี่ยมเต็มไปด้วยพลัง
จุดพลิกผันศิริราชยุคใหม่
อะไรทำให้เกิดความพลิกผันเป็นศิริราชสมัยใหม่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นโรงพยาบาลสมัยใหม่ที่มีสมรรถนะ และมีทุนที่จะพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เป็น
ช้างที่บินได้
ปรกติช้างตัวใหญ่และหนักจึงบินไม่ได้ แต่ศิริราชใหญ่เหมือนช้างแต่กลับบินได้
จุดพลิกผัน
เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการเป็นคณบดีครั้งที่ ๒ ของอาจารย์อุดม โปษะกฤษณะ ใครจะมาเป็นคณบดีคนใหม่
ขณะนั้นอาจารย์สวัสดิ์ สกุลไทย์ เป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์สวัสดิ์ เป็นนักคิดผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ หลายอย่าง เช่น ระบบแพทย์ฝึกหัด บัณฑิตวิทยาลัย การขยายตัวไปสู่ศาลายา ฯลฯ
ท่านชอบมาชวนผมคุยในเรื่องต่าง ๆ คราวนี้มาคุยเรื่อง ใครควรเป็นคณบดีคนใหม่ของศิริราช คุยไปคุยมาก็มาตกลงกันว่าน่าจะเป็น อาจารย์ร่มไทร สุวรรณิก อาจารย์ภาควิชารังสีวิทยา ท่านเป็นคนคล่องแคล่ว สุภาพ พูดจาไพเราะ อาจารย์สวัสดิ์ก็ว่า “ดี เอาไอ้ไทร นี้แหละ” ท่านเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน
อาจารย์สวัสดิ์กับผมจึงไปพบอาจารย์ร่มไทรและเสนอความคิดดังกล่าว ท่านไม่ตกลง โดยกล่าวว่า “ให้ไอ้กิจมันเป็น ผมและหมอช่วย” ท่านหมายถึงอาจารย์วีกิจ วีรานุวัตติ์ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ภายหลังเมื่ออาจารย์วีกิจเป็นคณบดี อาจารย์ร่มไทรเป็นรองคณบดี
อาจารย์วีกิจเหมือนนักแสดงอยู่หน้าฉากแต่มือทำงานคืออาจารย์ร่มไทร ทั้งคู่ซื่อตรงและไว้ใจกันมาก ผมช่วยอาจารย์ร่มไทรโดยไม่มีตำแหน่งใด ๆ
ในปี ค.ศ. 1972 มีการเปลี่ยนตำแหน่ง ประธาน China Medical Board เป็น Dr.Patrick A. Ongley ผมไม่รู้จักท่านแต่ก็เขียนไปถึงท่านในนามส่วนตัว วิจารณ์การทำงานของ CMB คือ ทำตัวเหมือน Santa Claus เที่ยวแจกโน่นแจกนี่โดยไม่มีระบบ
CMB แยกตัวออกมาจาก Rockefeller Foundation เป็นกองทุนที่สนับสนุนโรงเรียนแพทย์ที่ปักกิ่ง หลังจากจีนเป็นคอมมูนิสต์ได้สั่งให้องค์กรต่างประเทศที่มาช่วยเหลือปิดตัวลง CMB ในชื่อเดิมได้ให้ ความช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ เอเชียอาคเนย์ ศิริราชเป็นแห่งหนึ่งที่ได้รับความช่วยเหลือ โดยให้ทุนการไปศึกษาต่างประเทศบ้าง ให้เครื่องมือตามที่ได้รับการขอร้องบ้าง
ผมสังเกตดูพบว่าการได้รับการช่วยเหลือโดยซื้อเครื่องมือแพง ๆ แต่เอามาตั้งไว้เฉย ๆ โดยไม่มีการใช้ ทั้งนี้เพราะไม่มีระบบจึงเกิดการสูญเปล่าจำนวนมาก
นี้เป็นจุดที่ผมคิดว่าเหมือนซานตาครอสที่เกิดจาก CMB
ปรากฏว่า Dr.Ongley ชอบใจสิ่งที่ผมวิจารณ์ เมื่อเข้ามาประเทศไทยจึงทำงานร่วมกันกับอาจารย์ร่มไทร เพื่อปรับระบบความช่วยเหลือของ CMB โดยตกลงกันที่จะตั้งกองทุนเริ่ม ๒ กองทุน ต่อมาเพิ่มเป็น ๓ คือ
- กองทุนสนับสนุนการส่งอาจารย์ไปต่างประเทศ
- กองทุนวิจัย
- กองทุนบริหารทั่วไป
โดยต้องออกเงินสมทบฝ่ายละเท่ากัน ทำให้อาจารย์ร่มไทรต้องกัดฟันหาเงินมาสมทบ ทำให้ต้องปรับปรุงระบบการเงินของศิริราช การวิจัยต้องมีการเสนอ protocol จึงจัดให้มีคณะกรรมการวิจัยของศิริราชขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีอาจารย์ร่มไทรเป็นประธาน ผมเป็นเลขานุการ มีอาจารย์ปรีชา วิชิตพันธ์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
อาจารย์ปรีชาเป็นอาจารย์ วิชากุมารแก่กว่าผมหนึ่งปี เป็นอาจารย์ที่สนใจเรื่องชุมชนเป็นอย่างยิ่ง กลายมาเป็นผู้ช่วยประสานงานกับ CMB โดยไม่มีตำแหน่งแต่อย่างใด คือต่างมาช่วยอาจารย์ร่มไทร
อาจารย์ร่มไทรมีความคล่องแคล่วว่องไว กิริยามารยาทสุภาพ และพูดจาไพเราะ มีความเป็นอิสระที่จะทำอะไรต่ออะไร เพราะคณบดีให้ความไว้วางใจเต็มที่
กองทุนที่ตั้งร่วมกับ CMB ผู้บริหารรุ่นหลังได้เพิ่มเงินจนมีขนาด ๕๐๐ ล้านบาทต่อกองทุน ทำให้ศิริราชมีกำลังพอที่จะส่งแพทย์ไปศึกษาต่างประเทศ
ผมปฏิบัติหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการวิจัยด้วยความลำบากอย่างยิ่ง เพราะอาจารย์วิจัยไม่เป็น แม้สร้างฟอร์มการเสนอโครงการวิจัยและพยายามให้มี peer review ก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีใครจะเป็น peer ได้ ต่อมาได้ส่งอาจารย์ไปเรียนเรื่องการวิจัย สถานการณ์จึงดีขึ้นเรื่อย ๆ
การพลิกผันจากคณะที่เก่าแก่คร่ำครึและอ่อนแอ กลายมาเป็นศิริราชสมัยใหม่ที่แข็งแรงและทันสมัย มีจุดพลิกผันอยู่ที่มีอาจารย์ร่มไทร สุวรรณิก เป็นรองคณบดี ถ้าผมซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ไม่นำความจริงมาบอกเล่าอาจจะไม่มีใครทราบเรื่องนี้
การเรียนรู้จากประสบการณ์ของการพลิกผันมีความสำคัญมาก เพราะองค์กรต่าง ๆ อาจเก่าแก่เสื่อมโทรมและต้องการพลิกผันให้เป็นสมัยใหม่และเข้มแข็ง ดังที่เกิดขึ้นกับศิริราช ซึ่งขณะนี้ต้องถือว่าเป็นองค์กรที่แข็งแรงที่สุด ประกอบด้วยกำลังคน บารมี ทุน ปัญญา และความสามารถในการจัดการ ผมซึ่งเป็นอาจารย์แก่แล้ว เคยวิพากษ์วิจารณ์ศิริราชไว้มาก ย่อมชื่นชมในการที่ศิริราชเป็นช้างที่บินได้
องค์กรอื่น ๆ ที่อยากให้เกิดการพลิกผันในองค์กรของตน ควรศึกษาประวัติศาสตร์ของศิริราช
ทั้งรอยต่อของศิริราชเก่ากับศิริราชใหม่ ในสมัยที่ศาสตราจารย์นายแพทย์ร่มไทร สุวรรณิก เป็นรองคณบดีว่ามีเหตุปัจจัยอะไรบ้างที่นำมาซึ่งการปรับตัวครั้งใหญ่กลายมาเป็นศิริราชเช่นปัจจุบัน
CMB แน่นอนว่ามีบทบาทที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านของศิริราช แต่ไม่ทราบว่าทางโน้นจะมีบันทึกเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด CMB ยังจะต้องช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ต่อไปอีกมาก ถ้าทราบเรื่อง
..............
ผมสงสัยมานาน ว่าจุดพลิกผันเชิงระบบการบริหารจัดการ ของศิริราชในตอนนั้น (ซึ่งผมทำงานอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๕๑๑ - ๒๕๑๗) ศ. นพ. ร่มไทร สุวรรณิก น่าจะมีบทบาทหลัก มาได้ความกระจ่างจากข้อเขียนนี้ ส่วนเรื่อง CMB กับการตั้งกองทุนวิจัย ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลย
วิจารณ์ พานิช
๑๗ มี.ค. ๖๘