สี่สหายนัดพบกันเที่ยงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๘ ที่บ้าน ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา เพื่อกินอาหารเที่ยงด้วยกันและคุยกัน โดยสั่งอาหารมาจากร้านใกล้บ้าน ที่มีร้านอาหารอร่อยหลายร้าน
แต่ความอร่อยของอาหาร และชาอู่หลงจากภูสูงไต้หวัน ก็ยังสู่ความอร่อยของการคุยไม่ได้ เวลาจึงผ่านไป ๔ ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว ในสภาพที่สี่สหายต่างก็ชรา สุขภาพถอถอยลงไปอย่างชัดเจน
เราตั้งคำถาม ว่า ดร. ฉัตรทิพย์ ซึ่งเรียนปริญญาเอกมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่กลายเป็นปรมาจารย์ด้านไทยศึกษา ได้อย่างไร โดยผมตั้งประเด็นว่า เป็นเพราะท่านเป็นเด็กกรุง เมื่อมีโอกาสไปเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านไทย ก็มีสายตาของ “คนนอก” (novice’s eyes) ตื่นตาตื่นใจ และมีคำถามเต็มสมอง ความเป็นนักตั้งคำถาม นักแสวงหาข้อมูลเพื่อตอบ และเป็นนักสะท้อนคิดสู่หลักการของท่าน ทำให้ท่านกลายเป็นเมธีวิจัยอาวุโสด้านไทยศึกษา
นำสู่การบอกเล่าของ อ. ฉัตรทิพย์ เรื่องเอกสารเรื่องราวของคนจ้วงในประเทศจีน ที่จารึกมาราวๆ สองพันห้าร้อยปี ในตัวอักษรจีน อ่านเป็นภาษาไทย เรียกเอกสารเหล่านั้นว่า “สือดิบ” ผมใช้วิธีคุยกับเพื่อนสามสหาย ไปพร้อมๆ กันกับคุยกับ DeepSeek R1 จึงถาม DeepSeek ในโทรศัพท์มือถือ ว่า คำว่า สือดิบ ในเรื่องประวัติศาสตร์ชนชาติไท หมายถึงอะไร เกี่ยวข้องกับ ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา อย่างไร
ได้รับคำตอบว่า “คำว่า **"สือดิบ"** ในเรื่องประวัติศาสตร์ชนชาติไท หมายถึง **เอกสารโบราณหรือบันทึกดั้งเดิม** ที่เขียนด้วยอักษรไทโบราณ หรืออักษรธรรมล้านนา ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชนชาติไท โดยเฉพาะในแถบล้านนาและภาคเหนือของไทย เอกสารเหล่านี้มักบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ พิธีกรรม ความเชื่อ ตำนาน และกฎหมายโบราณ
**เกี่ยวข้องกับ ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา**
ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา เป็นนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่มีชื่อเสียงของไทย ท่านมีความเชี่ยวชาญในการศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนาและเอกสารโบราณ โดยเฉพาะการอ่านและตีความ "สือดิบ" หรือเอกสารโบราณเหล่านี้ ท่านมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเอกสารโบราณเหล่านี้ให้เป็นที่รู้จักในวงวิชาการและสาธารณชน
งานวิจัยและผลงานของ ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชนชาติไทอย่างลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะการนำ "สือดิบ" มาใช้เป็นหลักฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนาและภูมิภาคใกล้เคียง ดังนั้น ท่านจึงมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการศึกษาและตีความ "สือดิบ" ในบริบทของประวัติศาสตร์ชนชาติไท”
เมื่อผมเอาคำตอบของ DeepSeek ให้สามสหายดู ก็สร้างความพิศวงให้แก่สามสหายเป็นอันมาก ในพลังของ Generative AI
ศ. ดร. วิสุทธิ์ ใบไม้ เป็นนักดูหนังสารคดีในทีวี โดยเฉพาะจากช่อง Thai PBS และ ALTV ช่อง ๔ เล่าเรื่องการค้นพบรอยเท้าที่น่าจะเป็นของคนที่อพยพจากอัฟริกาผ่านช่วแคบเบอริงไปทวีปอเมริกา ที่เมื่อเอาชั้นดินไปทดสอบอายุก็พบว่า เป็นเมื่อราวๆ สองหมื่นห้าพันปีมาแล้ว ลบล้างความเชื่อเดิม ที่ว่ามนุษย์อพยพไปทวีปอเมริกา เมื่อ ๑๒,๕๐๐ ปีก่อน
นำสู่เรื่องการค้นพบโครงกระดูกในโลงศพในถ้ำเขาสามร้อยยอด เป็นข่าวเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (๑) ที่ผมไม่รู้เรื่องเลย ข่าวว่าศพเก่าถึง ๒ หมื่นเก้าพันปี ที่เมื่อผมถาม DeepSeek ก็ได้รับคำตอบที่โมเมเชื่อถือไม่ได้
ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ มีคำถามเรื่อง การทำหน้าที่นักวิชาการตามความหมายของคำว่า professor ที่รากศัพท์ มีความหมายว่า ผู้เผยแพร่ความรู้ ว่าพวกเรา ศาสตราจารย์แก่ๆ ยังควรทำหน้าที่นั้นหรือไม่
ผมได้โอกาสถาม DeepSeek R1 ว่า คำว่า professor มีรากศัพท์จาก profess มีความหมายว่าอย่างไร ได้รับคำตอบที่ดีมาก ดังนี้ “คำว่า **"professor"** (ศาสตราจารย์) มีรากศัพท์มาจากคำกริยา **"profess"** ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากภาษาละติน **"profitērī"** (อ่านว่า โพร-ฟิ-เท-รี) แปลว่า **"ประกาศอย่างเปิดเผย"** หรือ **"แสดงตนว่ามีความรู้/ความเชี่ยวชาญในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง"** โดยแยกส่วนประกอบได้ดังนี้:
### รากศัพท์ละติน:
1. **"pro-"** = **"ออกสู่สาธารณะ"** (forth, publicly)
2. **"fatērī"** = **"ยอมรับ"**, **"ประกาศ"** (to acknowledge, confess)
เมื่อรวมกัน **"profitērī"** จึงหมายถึง **การประกาศหรือแสดงตนอย่างเปิดเผยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง** เช่น ประกาศตนว่ามีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือความเชื่อในศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่ง
### การพัฒนาความหมายสู่คำว่า "professor"
ในยุคกลาง (Medieval Period) คำว่า **"professor"** เริ่มถูกใช้ในบริบทของสถาบันการศึกษา โดยหมายถึง **ผู้ประกาศหรือถ่ายทอดความรู้แก่สาธารณะ** เช่น ผู้สอนในมหาวิทยาลัยที่ประกาศตนว่าเชี่ยวชาญในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง โดยเฉพาะตำแหน่งทางวิชาการสูงสุดในมหาวิทยาลัย
**ตัวอย่างการใช้ในบริบทวิชาการ:**
- ในสมัยก่อน ผู้ที่เป็น "professor" จะต้อง **"profess"** (ประกาศ) ความรู้ของตนผ่านการบรรยาย การตีพิมพ์งานวิจัย หรือการแสดงความเชี่ยวชาญต่อสาธารณชน
- ปัจจุบัน ตำแหน่ง "professor" ยังคงสื่อถึง **ผู้มีความรู้ระดับสูงและมีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้** แก่นักศึกษาและสังคม
### เปรียบเทียบกับคำกริยา "to profess"
- **"to profess"** ในภาษาอังกฤษปัจจุบัน หมายถึง **"ประกาศอย่างเปิดเผย"** เช่น
- *He professed his love for her.* (เขาประกาศความรักที่มีต่อเธอ)
- *She professes expertise in ancient history.* (เธอประกาศตัวว่าเชี่ยวชาญประวัติศาสตร์โบราณ)
### สรุป
**"Professor"** จึงมีความหมายตามรากศัพท์ว่า **"ผู้ประกาศความรู้"** หรือ **"ผู้แสดงตนว่ามีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง"** สะท้อนบทบาทดั้งเดิมของศาสตราจารย์ในฐานะผู้ถ่ายทอดความรู้และเป็นผู้นำทางวิชาการ ซึ่งสอดคล้องกับรากศัพท์ละตินที่เน้นการ "ประกาศอย่างเปิดเผย" (pro + fatērī)”
ผมบอก ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ ว่า ผมเชื่อในนิยามของคำว่า professor ในความหมายข้างต้นเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งผมคิดว่า ศาสตราจารย์ควรทำหน้าที่ตั้งคำถาม ให้คนรุ่นหลังหาคำตอบใหม่ๆ ให้แก่บ้านเมือง และแก่โลก
วิจารณ์ พานิช
๑๖ มี.ค. ๖๘