หนังสือธรรมะใกล้มือ ของหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ ชุด “ไตรสิกขา” เรื่อง ทำไมเราจึงไม่มีปัญญา ถอดเทปจากคำสอนอบรมภิกษุนิสิตแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๑๘ โดยท่านพุทธทาส
ท่านพุทธทาสบอกว่า ปัญญา เป็นคำที่กำกวม คำที่แม่นยำคือ “ฉลาดเฉลียว” ที่ส่อความหมายว่า ปัญญากับสติเป็นคุณสมบัติที่อยู่ด้วยกัน จึงจะเป็นคุณ
ซึ่งหมายความว่า คนเรามีปัญญาเท่านั้นไม่พอสำหรับชีวิตที่ดี เราเห็นตัวอย่างคนฉลาดที่ชีวิตอับเฉา เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะที่มั่นคง ถูกชักจูงโดยสิ่งเร้าหรือยั่วยวนได้ง่าย รวมทั้งคนฉลาดที่โกงบ้านโกงเมืองตบตาคนอยู่ในเวลานี้ คือดูเหมือนมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ แต่ประวัติศาสตร์จะจารึกความชั่วของเขา
เป็นหนังสือธรรมะเล่มน้อยที่ผมอ่านสนุกที่สุดเล่มหนึ่ง ท่านพุทธทาสบอกว่า ปัญญามีหลายชนิด หลายระบบ มีทั้งปัญญาอันถูกต้อง และปัญญาที่ไม่ถูกต้อง โดยที่ปัญญาอันถูกต้องช่วยนำสู่การพ้นทุกข์ หรือการมีสุขภาวะ ที่ผมขอเพิ่มเติมว่า ทั้งของตนเอง ของผู้อื่น ของสังคมหรือชุมชน และของโลก
ย้ำการขยายความของผมว่า การมีเป้าหมายการพ้นทุกข์เฉพาะของตนเอง ยังไม่เป็นปัญญาที่ถูกต้อง ต้องมีเป้าหมายทำเพื่อส่วนรวมด้วย จึงจะถูกต้อง เพราะสุขภาวะเป็นเรื่องเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน
ผมสังเกตว่า คนทั่วไปมักมองการมีปัญญาแบบหยุดนิ่งตายตัว แต่ผมมองแบบเคลื่อนไหว ในลักษณะ transformative learning คือมองปัญญาผูกอยู่กับการเรียนรู้ที่ไม่มีจุดสิ้นสุด และต้องเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติแล้วสะท้อนคิดร่วมกัน จึงจะนำสู่ปัญญาแท้
ปัญญาสำคัญคือปัญญารู้เท่าทัน ต่อสิ่งหลอกลวงทั้งปวง ทั้งที่เราหลอกตัวเราเอง คนอื่นหลอกเรา สังคมหลอกเรา และโลกหลอกเรา โดยที่เขาอาจไม่ได้ตั้งใจหลอก แต่สรรพสิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งที่ซับซ้อน กำกวม ไม่ชัดเจน เราหลงไปคิดตีความให้โดนหลอกเอง โดยที่เราก็ไม่รู้ตัว ที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า “ความหลง” ที่ในที่สุดนำสู่ทุกขภาวะ ไม่ใช่นำสู่สุขภาวะ
ผมตีความต่อว่า เจ้า “ความหลง” นี้ มันล่อหลอก คือมันนำสู่ความสุขชั่วแล่น ตามด้วยความทุกข์ระยะยาว การฝึกปัญญารู้เท่าทันจึงเป็นการฝึกให้มีเป้าหมายระยะยาวในชีวิต มีสติอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ที่ทางวิชาการเรียกว่ามี EF – Executive Functions ชนิดบังคับใจตนเอง delayed gratification
คนไทยเรามักยกย่องคน “หัวไว” คือตอบคำถามได้ว่องไว แต่การฝักใฝ่เรื่องหลักการศึกษาหรือการเรียนรู้มาราวๆ ๒๐ ปี สอนผมว่า ปัญญาอย่างหนึ่งของคนเราคือรู้จักแยกแยะ ว่าเมื่อไรจะใช้ความหัวไวปฏิภาณดี เมื่อไรจะใช้ความสุขุมรอบคอบ คือคิดช้าๆ ไตร่ตรองให้ดีๆ ตั้งคำถามหลายๆ แบบเพื่อใคร่ครวญไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
ปัญญาในแง่มุมหนึ่งจึงอยู่ที่การมีทักษะตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งคำถามต่อตนเอง
ตามในหนังสือ ท่านพุทธทาสสอนพระนวกะ ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปี ๒๕๑๘ ว่า แนวปฏิบัติในการทำให้เกิดปัญญามี ๔ ข้อคือ
- อาศัยความไม่ประมาท
- มีสติ ปัญญา และปฏิภาณ
- เสริมต่อจากโลกิยปัญญา สู่โลกุตรปัญญา
- อย่าหลงใหลเป็นเหยื่อของโลก
ผมติดใจเรื่องความไม่ประมาท ที่ผมตีความต่อว่า ความประมาททำให้เราหลงทำตัวเป็น “น้ำเต็มแก้ว” ไม่มุ่งเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต ที่ต้องมีทักษะ เรียนรู้ ‘ขั้นสูง’ จากประสบการณ์ ที่ทักษะสำคัญอย่างหนึ่งคือ “เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง”
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ก.พ. ๖๘
ห้อง ๘๐๓ โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน นครศรีธรรมราช