การประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ปี ๒๕๖๘ หัวข้อ HARNESSING TECHNOLOGIES IN AN AGE OF AI TO BUILD A HEALTHIER WORLD ส่วนที่เป็นการประชุมหลัก จัดระหว่างวันที่ ๓๑ มกราคม - ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์ ราชประสงค์
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
PL 2 Ethical Technology : For Whom, By Whom and For What Purposes เป็นการสนทนากันใน ๓ วิทยากร โดยผู้ดำเนินรายการเปิดฉากอย่างคมคายว่า เมื่อวานพูดกันเรื่อง Transformative power of technology วันนี้พูดกันเรื่อง Ethical power ที่วิทยากรชี้ให้เห็นข้อพึงระวังการใช้ในประเทศรายได้ต่ำและปานกลางคือ AI พัฒนาขึ้นโดยข้อมูลจากประเทศร่ำรวย การนำมาใช้ในประเทศยากจนหรือรายได้ปานกลางจึงต้องอย่าเชื่อไปเสียทั้งหมด ที่จริงข้อเตือนใจนี้เป็นเรื่องที่เป็นจริงมาหลายร้อยปี เมื่อประเทศตะวันตกแผ่อำนาจไปทั่วโลก ก็นำเอาความครอบงำทางความคิดไปกระจายทั่วโลก ประเทศไทยเราคุยว่าไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น ที่จริงเป็นอาณานิคมทางปัญญามาตลอด
จะใช้พลัง AI ให้เป็นคุณต่อระบบบริการสุขภาพได้ ระบบข้อมูลต้องดี การเชื่อมต่อดี มีระบบกำกับดูแลให้มีความปลอดภัย และปกป้องความเป็นส่วนตัว การเข้าถึงข้อมูลต้องดี ไม่มี digital divide มาตรฐานข้อมูล รวมทั้งประชาชนต้องมีความเท่าเทียมกันด้านดิจิทัล โดยต้องหาทางใช้เอไอในการแก้ปัญหานี้ ไม่ใช่เพิ่มปัญหา
ก่อนจบ ผู้ดำเนินรายการ (Mandeep Dhaliwal) สรุปอย่างดีเยี่ยมว่า เรื่องเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพเป็นเรื่องซับซ้อน กว้างขวาง มีหลาย principles และ concept ได้แก่ ๑) ความเป็นธรรม แก้ปัญหาไม่เท่าเทียม ๒) ความโปร่งใส อธิบายได้ ๓) ความรับผิดรับชอบ ๔) ความเป็นส่วนตัว การปกป้องข้อมูล ๕) คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม และสภาพแวดล้อม ๖) ระบบกำกับดูแลที่มีคุณธรรม มีการปฏิบัติตาม ๗) ความยั่งยืน ๘) มีการติดตามประเมินผลและพัฒนา ๙) มีการฝึกอบรม ๑๐) เชื่อมโยงร่วมมือหลายภาคส่วน ๑๑) ความร่วมมือ
หลังจากนี้ผมแยกตัวไปประชุมสภา มช. ทางออนไลน์ จนเที่ยง หลังอาหารเที่ยงเข้าฟัง PL 3
PL 3 Effective Governance of Health Technologies and AI เป็นรายการที่องค์การอนามัยโลกรับผิดชอบ มีผู้กล่าว keynote ทางออนไลน์ ๒ คน และวิทยากรร่วมอภิปราย ๓ คน รวมทั้งผู้ดำเนินรายการเป็น ๔ คน
ทั้งสอง keynote ลึกซึ้งมาก สรุปจากประสบการณ์สุดยอด แต่ละคำลึกมาก ได้แก่ ระบบกำกับคูแลต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ได้ผลที่ต้องการ และได้รับความเชื่อถือ อยู่บนฐานทั้งด้านปรัชญา และวิทยาศาสตร์ โดยมี HTA (Helath Technology Assessment) เป็นตัวช่วยสร้างข้อมูลหลักฐานที่นำสู่ความเชื่อถือของสาธารณชน นำสู่การเปลี่ยนมุมมองต่อระบบสุขภาพ การบำบัดโรคแบบเฉพาะราย การค้นพบยาใหม่อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเอไอจะคิดอย่างไรขึ้นกับข้อมูลที่ใช้ฝึก ผมจึงชอบมากที่ในวงเสวนามีการเสนอว่า ผู้ใช้เอไอต้องทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเอไอไปพร้อมๆ กัน และต้องทำหน้าที่ผลักขอบเขตของการกำกับดูแลเอไอด้วย คือในโลกยุคนี้ เราต้องไม่หลงเป็นผู้ถูกกำกับ ถูกกำหนดให้ใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อชีวิตที่ดีในฐานะลูกค้าหรือผู้ใช้บริการเท่านั้น เราต้องแสดงบทเป็นผู้สร้างและผู้กำหนดระบบไปพร้อมๆ กัน
นี่คือข้อเรียนรู้สำคัญที่สุดสำหรับ PMAC 2025 ของผม
นั่นคือ ประเทศผู้ใช้เอไอ ต้องกำหนดกรอบตรวจสอบและกำกับเอไอในบริบทการใช้งานของตนเอง เพื่อปกป้องสิทธิของผุ้ป่วย และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยผมขอเพิ่มเติมความเห็นของตนเองว่า การทำเช่นนั้นจะช่วยให้โลกได้รับประโยชน์ เพราะจะช่วยให้เอไอมีความครบถ้วนสมบูรณ์ เข้าใจความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น เข้าใจเรื่องคุณธรรม และความเท่าเทียมระหว่างคนในสังคมเดียวกัน และระหว่างสังคม รวมทั้งการให้ความเห็นที่ช่วยยกระดับความเป็นธรรมทางสังคม
คือต้องสอนเอไอ ให้รู้จักคิดต่างในต่างพื้นที่ ต่างบริบท
ผมชอบที่วิทยากรจากอัฟริกา บอกว่า เรื่องการกำกับดูแลเทคโนโลยี และเอไอ เพื่อสุขภาพ ต้องคำนึงถึง 5P ได้แก่ ๑) People เทคโนโลยีต้องเป็นไปเพื่อ/โดย/ของ คน (for, by, of people) อธิบายว่าเป็นเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ของคน ใช้โดยคน มีคนเป็นผู้กำหนด ๒) Policies มีการกำหนดนโยบายอย่างชัดเจน ครบถ้วน และเปิดช่องให้ยืดหยุ่น ๓) Partnerships มีภาคีร่วมดำเนินการที่หลากหลาย ครบถ้วน ๔) Platforms หมายถึงมีดิจิทัล แพล็ตฟอร์ม ที่มีคุณภาพ ใช้งานง่าย ปลอดภัย และเสมอภาค ๕) Profit มีคุณค่าต่อสังคม
ศาสตราจารย์ Mary-Anne Hartley จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นวิทยากรที่ผมชอบมากที่สุด บอกว่า ต้องใช้พลังวิชาการ ที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ทำงานตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างใด ใช้พลังความช่างสงสัย ความสร้างสรรค์ เป็นกลาง ยึดข้อมูลหลักฐาน มุ่งสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง มุ่งสร้างพื้นที่เป็นกลาง ลดละอีโก้ของตนเอง
PS 3.4 Equity and Accountability in Digital Health and AI Addressing Risks Digital Health Foundation GAPS , and Advancing Open and Local Solutions มีวิทยากร ๕ คน ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง
ผมชอบการนำเสนอหลักการโดย Alvin B. Marcelo แห่ง AeHIN ที่เสนอกฎ ๑๐ ประการสำหรับเอไอทางการแพทย์ที่มีคุณธรรม คือ ๑) เปิดเผยว่าการตัดสินใจหรืออการกระทำส่วนใดทำโดยเอไอ ๒) เปิดเผยว่าการสื่อสารส่วนใดทำโดยเอไอ ๓) การตัดสินใจ การกระทำ การสื่อสาร โดยเอไอต้องมีมนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบ ๔) การตัดสินใจ การกระทำ การสื่อสาร โดยเอไอ ต้องโปร่งใสและอธิบายได้ ๕) การตัดสินใจโดยเอไอต้องมีหลักการเหตุผล และทำซ้ำได้ ๖) คำอธิบายการตัดสินใจของเอไอต้องเป็นไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ๗) การตัดสินใจ การกระทำ การสื่อสาร โดยเอไอ ต้องไม่ถูกใช้เป็นหุ่นเชิด ๘) การตัดสินใจ การกระทำ การสื่อสาร โดยเอไอต้องไม่ละเมิดกฎเกณฑ์กติกา และไม่ทำอันตรายต่อมนุษย์ ๙) การตัดสินใจ การกระทำ การสื่อสาร โดยเอไอต้องไม่เลือกปฏิบัติ ประเด็นนี้เน้นที่การฝึก algorithm ๑๐) การกำหนดเป้าหมาย ควบคุม และตรวจสอบ การตัดสินใจ การกระทำ การสื่อสาร โดยเอไอต้องไม่ดำเนินการโดย algorithm
ท่านเสนอบาป ๗ ประการของ เอไอทางการแพทย์ ว่าได้แก่ ๑) เชื่อเอไอแบบคนตาบอด (ที่จริงสมองบอด) ๒) สร้างกฎกติกามากเกินไป ๓) เชื่อถือหุ่นยนตร์เหนือมนุษย์ ๔) มีเป้าหมายที่ผิด ๕) ชวนเชื่อและทำนายผิด ๖) เอาผลของรายเดียวมาเป็นสถิติ ๗) ตรวจสอบโดยอ้างอิงตนเอง (อ้างเอไอ)
ศาสตราจารย์ Leo Anthony Celi แห่ง Harvard School of Public Health เสนอ ๖ มิติของการกำกับดูแลเอไอ คือ ๑) ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ ๒) เป็นที่เชื่อถือ ๓) เน้นที่ผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก ๔) ยึดข้อมูลหลักฐาน ๕) จำเพาะตามบริบท ๖) เป็นไปตามสัดส่วน (proportionate)
เป็นการเรียนรู้ระดับเปิดกระโหลกสำหรับผม
วิจารณ์ พานิช
๑ ก.พ. ๖๘
ห้อง ๔๖๒๒ โรงแรมเซนทารา แกรนด์