GotoKnow

พระเจ้ากรุงธนบุรีมีเชื้อสายคนจีน หรือสามัญชน หรือเจ้า ?

ดร. ณัฐวิทย์ พรหมศร
เขียนเมื่อ 21 มกราคม 2025 17:51 น. ()
แก้ไขเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2025 10:59 น. ()

                   พระเจ้ากรุงธนบุรีมีเชื้อสายคนจีน หรือสามัญชน หรือเจ้า ?

 

            ข้อมูลที่มีผู้เขียนนำมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน ได้ศึกษา มีหลายประเด็นที่ทำให้เกิดข้อสงสัยมากมายว่า เป็นเรื่องที่ถ่ายทอดจดกันมาผิดพลาด หรือคลาดเคลื่อน หรือถูกสร้างขึ้นมาใหม่ตามความต้องการของผู้มีอำนาจ หรือผู้ปกครองในยุคต่อมากันแน่  ซึ่งประเด็นทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ชวนให้ฉุกคิด สะกิดใจให้ค้นคว้า ตั้งคำถาม ท้าทายสติปัญญาให้เสาะหา รวบรวมข้อมูล แล้วนำมาวิเคราะห์จำแนกแจกแจง  เรียบเรียงตามข้อมูลที่ได้มาใหม่ตามศักยภาพของตนเอง

            ในยุคนี้การฝึกฝนสติปัญญาและประสบการณ์มีอย่างหลากหลายวิธี เช่น วิธีทางวิจัย หรือวิทยาศาสตร์ แม้แต่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถฝึกฝนสติปัญญาได้เช่นกัน  เพราะประวัติศาสตร์ที่เขียนเรียบเรียงขึ้นมาจากข้อมูลต่างๆ ในยุคหนึ่ง แล้วนำมาเผยแพร่ กลับขัดแย้งกับการค้นพบหลักฐานใหม่ๆในยุคปัจจุบัน ยิ่งยุคนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก้าวหน้าค้นพบหลักฐานข้อมูลที่สะท้อนความจริงของยุคต่างๆมากมาย  ทำให้ขัดแย้งกับข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และความเชื่อในอดีต เช่น ขอมในอดีตไม่ใช่เขมรในปัจจุบัน, สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของคนไทย, พ่อขุนศรีอินทราฑิตย์ไม่ได้มาจากนครไทย, อโยธยามีก่อนกรุงศรีอยุธยา, หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงสร้างก่อนกรุงศรีอยุธยา, เมืองอู่ทองร้างมาก่อนพระเจ้าอู่ทองเกิด ๔๐๐ ปี, จดหมายเหตุประพาสต้น ของ ร.5 ระบุว่า ปากพิงหมายถึงบริเวณที่แม่น้ำยมและแม่น้ำน่านประสบกัน อยู่ใกล้วัดจุฬามณี พิษณุโลก ไม่ใช่ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ตามที่คนในปัจจุบันเชื่อ, พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้ชนช้างที่บ้านตากและไม่ได้สร้างเจดีย์ยุทธหัตถีไว้, นครชุม ไตรตรึงษ์ เมืองเทพนคร บ้านโคน ไม่ได้อยู่ที่กำแพงเพชร ตามที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพเขียน  แต่กลับมีนครชุม นาบัว เมืองเทพ เมืองพรหม เมืองพิชัย บ้านโคน แถบ จ.อุตรดิตถ์ และ จ.พิษณุโลกในปัจจุบัน  ซึ่งปรากฏหลักฐานในแผนที่ยุทธศาสตร์ ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สมัยอยุธยามานานแล้ว, การพิสูจน์ DNA ทำให้ยืนยันได้ว่าคนไทยไม่ได้อพยพมาจากจีน กลับมีเชื้อสายมอญโบราณมากกว่า, เมืองละโว้ ไม่ใช่ลพบุรี เพราะตำนานเหนือระบุว่าเมืองละโว้อยู่ทางใต้เมืองพิษณุโลก 500 เส้นเท่านั้น  ฯลฯ

              ดังนั้น ประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ขัดแย้งเหล่านี้ชวนให้ฉุกคิด สะกิดใจให้ค้นคว้า ตั้งคำถาม ท้าทายสติปัญญาเกิดความสนุกเช่นเดียวกับวิธีการทางวิจัย หรือวิทยาศาสตร์เช่นกัน  ประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ชวนให้ขบคิดไตร่ตรองถึงความจริงว่าเป็นเช่นไรมีมากมาย  แม้ประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีก็เช่นเดียวกัน  ท่านกลับมีประวัติที่คลุมเครือ  มีความขัดแย้งกับหลักฐานในยุคเดียวกันที่มีการอ้างอิงข้อมูลแล้วนำมาเรียบเรียงขึ้นเป็นอย่างมาก  ผมเคยอ่านประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีหลากหลายสำนวน หลายฉบับ  ยิ่งอ่านยิ่งนึกเอะใจสงสัยมาตลอดว่าทำไมหลักฐานที่เป็นพงศาวดารหรือจดหมายเหตุชั้นต้น กลับมีประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีแค่สงครามเสียกรุงอยุธยาเป็นต้นมาเท่านั้นที่ดูจะละเอียดชัดเจน  แต่ประวัติตั้งแต่ประสูติจนถึงก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ไม่มีความชัดเจนน่าเชื่อถือแม้แต่ฉบับเดียว ยิ่งหนังสือของนาย ก.ศร.กุหลาบ ที่เขียนถึงประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งแต่ประสูติก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเหมือนนวนิยายหรือนิทานมากไป  เช่น

พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ได้บันทึกไว้อย่างละเอียดว่า “…ครั้น ณ วันเสาร์ ขึ้น ๔ ค่ำ  เดือนยี่ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๑๒๘ ปี (ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๓๐๙) เพลาดึกเที่ยงคืน เกิดเพลิงขึ้นในพระนคร ไหม้ตั้งแต่ท่าทราย ติดลามมาถึงสะพานช้าง คลองข้าวเปลือก แล้วข้ามมาติดป่ามะพร้าวและป่าโทน ป่าถ่าน ป่าทอง ป่ายา วัดราชบูรณะ วัดพระศรีมหาธาตุ เพลิงไปหยุดอยู่เพียงวัดฉัททันต์ ติดกุฏิวิหาร และบ้านเรือนที่เพลิงไหม้ครั้งนั้นมากกว่าหมื่นหลัง ในเมื่อเวลากลางวัน วันนั้น ฝ่ายพระยากำแพงเพชร ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ วัดพิชัย จึงชุมนุมพรรคพวกพลทหารไทยจีนประมาณพันหนึ่ง สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธ กับทั้งนายทหารผู้ใหญ่ คือพระเชียงเงิน หนึ่ง หลวงพรหมเสนา หนึ่ง หลวงพิชัยอาสา หนึ่ง ขุนอภัยภักดี หนึ่ง เป็นห้านาย กับขุนหมื่นผู้น้อยอีกหลายคน จัดแจงยกทัพหนีไปทางตะวันออก แต่หลวงศรเสนี นั้นหาไปด้วยไม่ พาพรรคพวกหนีไปอื่น พอฝนห่าใหญ่ตกเป็นชัยมงคลฤกษ์ พระยากำแพงเพชร ก็ยกกองทัพออกจากค่ายวัดพิชัย…”

ทำไมหลักฐานเหล่านี้  จึงเขียนได้ละเอียด ทำให้เห็นภาพเหตุการณ์ชัดเจน  ท่านที่สนใจศึกษาลองอ่านจากต้นฉบับดูสิครับ  

หลักฐานพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขานั้น ระบุหลักฐานชัดเจนว่าคราวเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๓๐๙ ซึ่งเป็น ปีจอ และยังระบุว่า “…กองทัพพม่าสามารถเข้ายึดกรุงศรีอยุธยาได้เมื่อลุศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน ณ วันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ (ตรงกับวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐)…

เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ห่างกันประมาณ ๑ ปี กับ ๔ เดือน ทำให้นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มสันนิษฐานว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีน่าจะยกกองทัพออกจากค่ายพิชัยเมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๓๑๐ ทั้งนี้เพราะการเรียงลำดับเหตุการณ์ตามพระราชพงศาดารฉบับพระราชหัตเลขา ได้เรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ที่พระเจ้ากรุงธนบุรียกกองทัพออกจากค่ายพิชัย โดยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเหตุการณ์หลังจากที่ แม่ทัพมังมหานรธา ได้เสียชีวิตแล้ว

ส่วนนักประวัติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่ง ได้นำหลักฐานจากพระราชพงศาวดารต่างๆ มาเปรียบเทียบ จึงสันนิษฐานว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีน่าจะยกกองทัพออกจากค่ายพิชัยจริง เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๓๐๙ แต่กลับพบว่า เรื่องราวการกอบกู้เอกราชของพระเจ้ากรุงธนบุรีหายไปหนึ่งปีกับสี่เดือนได้อย่างไร ? จึงเป็นความคลุมเครือทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกประเด็นหนึ่ง มาจนถึงปัจจุบัน  แค่หลักฐานระดับพระราชหัตถเลขา  พระราชพงศาวดาร  ในยุคเดียวกันแท้ๆ  ยังขัดแย้งข้อเท็จจริงกันได้เลย

.

พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาบันทึกเรื่องการสร้างกองทัพเรือที่เมืองพุทไธมาศ ว่า

“…ครั้นถึง ณ วันเสาร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีจอ อัฐศก จึงพระพิชัย และนายบุญมี ข้าหลวงก็ไปถึงปากน้ำเมืองพุทไธมาศ จึงนำเอา ศุภอักษรกับเสื้ออย่างฝรั่งนั้นขึ้นไปหาพระยาราชาเศรษฐี และเจรจาตามข้อความใน ศุภอักษรนั้น พระยาราชาเศรษฐี ก็มีความยินดี จึงว่าฤดูนี้จะเข้าไปยากขัดด้วยลมอยู่ไปมิทัน ต่อถึงเดือน ๘ เดือน ๙ จึงจะยกกองทัพเรือเข้าไปช่วยราชการ ครั้นถึง ณ วันจันทร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน นพศก จึงให้องค์ไกเรือง กับทั้ง ศุภอักษรตอบและเครื่องบรรณาการขึ้นเฝ้า ณ ค่ายประดู่ เมืองระยอง…”

จะเห็นว่าเวลาของเหตุการณ์ห่างกันประมาณ ๑ ปี ตั้งแต่เดือน ๔ ปีจอถึงเดือน ๕ ปีกุน จากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของพระเจ้ากรุงธนบุรีหายไปประมาณ ๑ ปี 

พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา และ หนังสืออื่นๆ เกี่ยวกับพระราชประวัติ ของ พระเจ้ากรุงธนบุรีมักจะสร้างภาพให้เข้าใจว่า หลังจากการยึดครองเมืองระยองเรียบร้อยแล้ว พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้เคลื่อนกองทัพเข้ายึดครองเมืองจันทร์บูรณ์ เป็นเมืองต่อไป ทั้งๆ ที่การยึดครองเมืองระยองเกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนมกราคม พ.ศ.๒๓๐๙ ส่วนการยึดครองเมืองจันทร์บูรณ์ นั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๓๑๐ เป็นเวลาต่างกัน ๑๕ เดือน ช่วงเวลาที่ขาดหายไป ยังเป็นข้อสงสัยของนักประวัติศาสตร์ มาจนถึงปัจจุบัน

พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาฯ(หน้า ๑๕๔) ระบุว่า "...เมื่อเดินทัพมาทางริมชายทะเล ถึงตำบลหินโขง และนำเก่า แขวงเมืองระยอง หยุดทัพพักแรมแห่งละคืนตามระยะทางมา พระยากำแพงเพชร(สิน) จึงปรึกษากับนายทหาร และรี้พลทั้งปวงว่า กรุงเทพมหานคร คงจะเสียแก่พม่าเป็นแท้ ตัวเราคิดจะซ่องสุมประชาราษฎรในแขวงหัวเมืองตะวันออกทั้งปวงให้ได้มากแล้ว จะยกกลับไปกู้กรุงให้คงคืนเป็นราชธานีดั่งเก่า แล้วจักรทำนุบำรุง สมณพราหมณาประชาราษฎรซึ่งอนาถา หาที่พักบ่มิได้ ให้ร่มเย็นเป็นสุขานุสุข และจะยอยกพระบวร พระพุทธศาสนาให้โชตนาการไพบูลย์ขึ้นเหมือนอย่างแต่ก่อน เราจะตั้งตัวเป็นเจ้าขึ้น ให้คนทั้งหลายนับถือ ยำเกรงจงมาก การจะก่อกู้แผ่นดินจึงจะสำเร็จโดยง่าย ท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด นายทหารและไพร่พล ทั้งปวงก็เห็นชอบด้วยพร้อมกัน จึงยกพระยากำแพงเพชร(สิน) ขึ้นเป็นเจ้าเรียกว่า “เจ้าตาก” ตามนามเดิม..."(เห็นความย้อนแย้งไหมครับ ?)

หลักฐานที่ระบุว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเคยเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร มาจาก "สังคีติยวงศ์ " เป็นงานนิพนธ์ของสมเด็จพระวันรัตน์ วัดพระเชตุพน เมื่อครั้งยังมีสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมในสมัยรัชกาลที่ ๑ แต่งเป็นภาษามคธ เรียกพระเจ้ากรุงธนบุรีในภาษามคธว่า "วชิรปาการรัญ์ญา" ซึ่งน่าจะหมายถึง “กำแพงเพชร”  แต่ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ สันนิษฐานว่า "วชิรปาการ" ในสังคีติยวงศ์น่าจะเป็นเพียงคำยกย่องมากกว่าจะหมายถึงเจ้าเมืองกำแพงเพชร

หลักฐานชิ้นต่อมาคือ พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ซึ่งมีบานแพนกระบุว่าสมเด็จพระวันรัตน์กับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสผู้เป็นศิษย์ ได้ทรงชำระต่อมาจากพงศาวดารที่รัชกาลที่ ๑ ทรงชำระเอง จึงเข้าใจว่ากรมพระปรามานุชิตชิโนรสเป็นผู้ชำระเป็นองค์สุดท้าย (น่าจะชำระราวสมัยรัชกาลที่ ๓) ระบุว่า "ครั้นถึง ณะ เดือน ๑๒ น่าน้ำ จึ่งทรงพระกรรุณาโปรดให้พญาตากเลื่อนที่เปนพญากำแพงเพช แล้วตั้งให้เปนนายกองทับเรือ..."

ด้วยเหตุที่พงศาวดารฉบับนี้ ระบุว่าพระยาตากได้เลื่อนเป็นพระยากำแพงเพชรในเดือน ๑๒ ระหว่างทำศึกอยู่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงวินิจฉัย(สันนิษฐาน) ไว้ในหนังสือไทยรบพม่าว่า “ครั้นพม่าเข้ามาล้อมกรุงฯ พระยาตากถูกเกณฑ์ลงมาช่วยรักษาพระนคร ฝีมือรบพุ่งเข้มแข็ง มีบำเหน็จความชอบในการสงคราม จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยากำแพงเพชร แต่หาทันได้ขึ้นไปครองเมืองไม่”

ผู้แต่งสังคีติยวงศ์ และผู้ชำระพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ก็คือ สมเด็จพระวันรัตน์ซึ่งเป็นบุคคลร่วมสมัย เคยถูกพระเจ้ากรุงธนบุรีลงพระราชอาญาเฆี่ยนแล้วถอดจากสมณศักดิ์  เพราะว่าเป็นหนึ่งในพระราชาคณะที่ทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีว่าพระภิกษุไม่ควรกราบไหว้คฤหัสถ์ที่บรรลุโสดาบัน จนได้คืนสมณศักดิ์ในรัชกาลที่ ๑  พิจารณาแล้วไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่สมเด็จพระวันรัตน์จะต้องแต่งเรื่องเสริมฐานะพระเจ้ากรุงธนบุรีตอนก่อนขึ้นครองราชย์ให้ดูดีขึ้นด้วยการเป็นพระยากำแพงเพชร เมื่อเทียบกับเนื้อหาในพงศาวดารฉบับนี้ ที่ส่วนมากเขียนประณามการปกครองของพระเจ้ากรุงธนบุรีในปลายรัชกาลเป็นอย่างมาก  

ในยุคหลัง มีผู้อ้างหลักฐานของจีนคือชิงสือลู่ (清實錄) ที่เขียนตามข้อมูลจากพระยาราชาเศรษฐีเมืองพุทไธมาศ ระบุพระนามพระเจ้ากรุงธนบุรีว่า กานเอินชื่อ (甘恩敕) ซึ่งคนที่เชื่อบอกว่าสำเนียงกวางตุ้งออกเสียงว่า กำยันเพ็ก ใกล้เคียงกับคำว่ากำแพงเพชรมาก  แต่หลักฐานหลายชิ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ยังเรียกพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อพ้นแผ่นดินไปแล้วว่า "เจ้าตาก" "เจ้าตากสิน" "พระยาตากสิน" "ขุนหลวงตาก" หรือแม้แต่พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ยังระบุว่าเมื่อพระยากำแพงเพชรตั้งตนเป็นเจ้า คนก็เรียกขานพระองค์ว่า "จ้าวตาก"  ดูย้อนแย้ง และขัดแย้งกันอย่างมาก 

เมื่อค้นหาหลักฐานต่างๆ เทียบเคียง พระราชพงศาวดารที่บอกว่าพระองค์ได้เป็น “พระยาวชิรปราการ” มีแต่พระราชพงศาวดารและสังคีติยวงศ์ที่สมเด็จพระพนรัตน์เขียนขึ้นเป็นภาษามคธเท่านั้น  มีแต่“พระยากำแพงเพชร”ปรากฏในพระราชพงศาวดารที่รัชกาลที่ ๑ ทรงเป็นประธานในการชำระ 

ตามปกติราชทินนามของเจ้าเมืองกำแพงเพชรตามพระไอยการนาหัวเมืองก็ไม่ใช่ "วชิรปราการ" แต่คือ "ออกญารามรณรงค์สงครามรามภักดีอภัยพิรียภาหะ"  ซึ่งราชทินนาม "วชิรปราการ" หรือ "วิเชียรปราการ" มีปรากฏใช้ในสมัยธนบุรี แต่เป็นราชทินนามของเจ้าเมืองเชียงใหม่ไม่ใช่เจ้าเมืองกำแพงเพชร ปรากฏหลักฐานว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งพญาจ่าบ้านเป็นพระยาวิเชียรปราการเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๙ ปรากฏชื่อในจารึกวัดพระธาตุศรีจอมทองว่า “พฺรฺยาหฺลวฺงวชฺชิรบฺรากานกำแพฺงเพฺก” ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๑ เจ้ากาวิละแห่งลำปางได้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่มีบรรดาศักดิ์พระยาวชิรปราการเช่นเดียวกัน

งานเขียนชิ้นแรกที่อ้างว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมียศเป็น “พระยาวชิรปราการ” คือ “อภินิหารบรรพบุรุษ” ระบุว่าเมื่อเจ้าเมืองกำแพงเพชรถึงแก่กรรมเลยเรียกพระยาตากลงมายังกรุงเพื่อเลื่อนเป็นพระยาวชิรปราการเจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่เมื่อลงมาแล้วพม่ายกทัพมาพอดีเลยไม่ได้ไปครองเมือง  "....ในแผ่นดินกรุงเก่าไม่ช้านาน พระยาวชิระปราการ ผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรถึงแก่กรรม มีใบบอกลงมากราบบังคมทูลพระกรุณาได้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เสนาบดีกรมมหาดไทย มีท้องตราพระราชสีห์หาตัวพระยาตากสินลงมาเฝ้าฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเจ้าแผ่นดินจึ่งทรงพระมหากรุณาโปรดเลก้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งยศพระยาตากสินให้เปนพระยาวชิระปราการผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร ยักพักอยู่ในกรุงศรีอยุทยาก็พอพม่าข้าศึกยกกองทัพเข้ามาล้อมในพระนครศรีอยุธยาถึงสองปีเศศ..."

แต่ช่วงเวลาที่พระยาตากได้เป็นพระยากำแพงเพชรในอภินิหารบรรพบุรุษ  ขัดแย้งกับพระพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ที่ระบุว่าได้เป็นพระยากำแพงเพชรในเดือน ๑๒ พ.ศ.๒๓๐๙  เป็นไปได้ผู้เขียนอภินิหารบรรพบุรุษ คิดว่าราชทินนามพระยากำแพงเพชร มาจากภาษามคธว่า "วชิรปราการ" และอาจจะได้อิทธิพลจากสังคีติยวงศ์มาด้วยเลยแต่งไปตามนั้น ทั้งที่ไม่เคยพบหลักฐานว่ามีเจ้าเมืองกำแพงเพชรคนใดใช้ทินนามว่า "วชิรปราการ"  เพิ่งปรากฏว่ามี "พระวิเชียรปราการ" เป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชรในสมัยรัชกาลที่ ๕-๖ สองคน แต่ก่อนหน้านั้นใช้  "รามรณรงค์สงคราม" แทบทุกคน 

ในขณะ[A1] ที่หลักฐานส่วนใหญ่ที่มีตั้งแต่รัชกาลที่ ๑  บ่งชี้ว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีสมัยเป็นขุนนางน่าจะมีบรรดาศักดิ์สูงสุดเป็นแค่พระยาตาก จึงเรียกกันต่อมาเมื่อทรงได้เป็นเจ้าหรือเมื่อสวรรคตไปแล้วว่า "เจ้าตาก, เจ้าตากสิน, พระยาตากสิน, ขุนหลวงตาก, พระเจ้าตาก"  

แต่เมื่อพิจารณาตำแหน่งของพระเจ้ากรุงธนบุรีสมัยเป็นขุนนาง  ยิ่งปรากฏความย้อนแย้งเช่นเดียวกัน  เพราะตามทำเนียบศักดินาในสมัยอยุธยา เจ้าเมืองตากไม่ปรากฏศักดินา  มีแต่เจ้าเมืองกำแพงเพชรที่มีศักดินา  จึงเป็นประเด็นว่าเหตุใดพระราชพงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์ จึงระบุว่ามีการโปรดให้พระเจ้ากรุงธนบุรีสมัยเป็นเจ้าเมืองตากเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร ศักดินา 10,000 ไร่  คือมีศักดินาเท่ากับ สมุหนายก สมุหกลาโหม เจ้าเมืองพิษณุโลก เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช  ศักดินาขนาดนี้พระเจ้าแผ่นดินจะตั้งคนที่ไม่มีสาแหรก ขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้หรือ  ซึ่งจากหลักฐานจากศิลาจารึกและจดหมายเหตุ เมืองกำแพงเพชรเองก็เป็นเมืองสำคัญ ผู้ครองเมืองในยุคต่างๆ มักจะมีเชื้อสายราชวงศ์ แต่ทำไมจึงให้พระยาตากซึ่งเป็นคนธรรมดา ยังไม่มีผลงานอะไรที่โดดเด่น และถ้าเชื่อว่าเป็นลูกจีน ทำไมกลับแต่งตั้งไปครองเมืองได้

แม้ว่าพระราชพงศาวดารยุคหลัง ระบุว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เป็นเจ้าเมืองตากโดยการซื้อตำแหน่ง แต่ทำไมต้องไปซื้อให้ไกลมาก ยุ่งยากทั้งต้องลำบากปกครองเมือง หาไพร่พลฝึกทหารไว้ป้องกันเมือง และต้องหาส่วยส่งให้กรุงศรีอยุธยาทุกปี สู้วิ่งหาซื้อตำแหน่งจากเมืองเล็กๆใกล้ๆ เช่น เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ เมืองพรหม เมืองชัยนาท อุทัย หรือเมืองแถวสุพรรณก็ได้ เป็นเจ้าเมืองไม่ดีกว่าหรือ ผิดวิสัยพ่อค้าที่ช่ำชองเรื่องกำไรขาดทุน และเมื่อเกิดสงครามพม่าก็กลับเรียกตัวมาช่วยป้องกันเมือง  ทำไมพ่อค้าจึงเก่งเรื่องสงครามนัก  เรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรีจะทรงวิ่ง หรือซื้อตำแหน่งหรือไม่นั้น เป็นข้อมูลจากพระราชพงศาวดาร ฉบับเลขที่ ๒/ก.๑๐๑  ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีในแง่ลบจำนวนมาก จึงเข้าใจได้ว่าเขียนโดยศัตรูการเมืองของพระเจ้ากรุงธนบุรี  ดังนั้นอาจจะมีข้อความที่เป็นการให้ร้ายเพื่อทำลายความน่าเขื่อศรัทธาก็เป็นได้

ถ้าอ้างอิงจากพระไอยการเก่าตำแหน่งนาหัวเมืองฉบับอยุธยา (ไม่ทราบแน่ชัดว่าบัญญัติในรัชกาลใด) เมืองตากเป็นเมืองขึ้นเมืองกำแพงเพชรที่มีศักดินา ๑๐,๐๐๐ ไร่  ผู้รักษาเมืองตากมีศักดินา ๖๐๐ ไร่ แต่มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเขียนเลขตก ที่จริงควรจะเป็น ๑๖๐๐ เท่าเมืองขึ้นของเมืองพิษณุโลกที่เจ้าเมืองมีศักดินา ๑๐,๐๐๐ ไร่เช่นกัน  แต่จากจารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง บนฝาผนังในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สมัยรัชกาลที่ ๓ พบว่า เมืองตากถูกยกขึ้นเป็นเมืองชั้นจัตวา สังกัดกรมมหาดไทย ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ซึ่งศักดินาของเจ้าเมืองจัตวาคือ ๓,๐๐๐ ไร่ และได้ระบุราชทินนามของเจ้าเมืองตากว่า "พระยาวิชิตชลธีศรีสุรสงคราม รามราชราชัย อภัยภักดี พิริยพาหะ" ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นราชทินนามดั้งเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือเพิ่งตั้งใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์  นอกจากนี้ในจารึกระบุว่า เมืองเชียงเงิน เมืองเชียงทอง ซึ่งเดิมเป็นเมืองขึ้นเมืองกำแพงเพชร กลายเป็นเมืองขึ้นเมืองตาก  "๏ เมืองเชียงทอง ๑ เมืองเชียงเงิน ๑ อยู่ลำพิงฝั่งออก ขึ้นตาก ๒"  สอดคล้องกับที่ว่าพระเชียงเงินเป็นข้าหลวงเดิมที่ติดตามพระเจ้ากรุงธนบุรีมาแต่แรก และมีหลักฐานทำให้สันนิษฐานว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลาย  เมืองตากน่าจะยังเป็นเมืองขึ้นเมืองกำแพงเพชรอยู่ ยังไม่ได้เลื่อนเป็นเมืองชั้นจัตวา เพราะในพระไอยการตำแหน่งนาหัวเมืองของกฎหมายตราสามดวงสมัยรัชกาลที่ ๑ ยังไม่ปรากฏว่าเมืองตากเป็นเมืองชั้นจัตวา   

จากเอกสารคำให้การชาวกรุงเก่า ตอนภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงเมืองตากที่มีความสำคัญอยู่บ้างในทางเศรษฐกิจ  ว่า "อนึ่งเรือระแหงแขวงเมืองตาก แลเรือหางเหยี่ยวเมืองเพชบูรณ์ นายม บรรทุกครั่งกำยานเหล็กหางกุ้งไต้หวายชันน้ำมันยางยาสูบ สรรพสินค้าตามแขวงตามย่าน มาจอดเรือขาย ๑"  จากรายการสินค้าดังกล่าวบ่งชี้ว่า เมืองตาก-ระแหงน่าจะเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุคนั้น สอดคล้องกับรายงานของ ร.อ.เจมส์ โลว์ (James Low) เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ สมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งไม่น่าจะต่างจากสมัยอยุธยามากนัก ระบุว่าบริเวณนั้นมีการปลูกยาสูบมาก และมีการเลี้ยงไหมด้วยใบหม่อน รวมถึงของป่าอย่างงาช้าง สีผึ้ง รัก เป็นต้น

          ทั้งหมดนี้ เป็นการเกริ่นให้เห็นถึงความย้อนแย้งข้อมูลในพระราชประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีจากเอกสารต่างๆ ในยุคนั้น ทำให้ประวัติของพระองค์ยิ่งคลุมเครือมากขึ้น  ไม่สามารถสรุปให้ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่งได้

                                                          …………………

เอกสารประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีที่นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการนิยมอ้างอิง มีที่มาเช่นไร  ?

ประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรี มีความชัดเจนละเอียด เมื่อคราวมาช่วยเหลือกรุงศรีอยุธยาต่อสู้กับพม่าในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์จนปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ส่วนตั้งแต่กำเนิด เยาว์วัยจนเจริญเติบโตได้รับราชการเป็นขุนนางเจ้าเมืองตาก กลับคลุมเครือไม่กระจ่าง  ถึงแม้จะมีเอกสารที่นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการอ้างอิงเป็นหลักฐาน   กล่าวถึงประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งแต่เยาวว์วัย แต่เอกสารเหล่านั้นกลับมีที่มาที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเป็นเอกสารที่จัดให้มีเรียบเรียงขึ้นมาใหม่(ชำระ) ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ หรือเป็นเอกสารที่จดเป็นทอดๆ จากคำบอกเล่าของคนอื่นและบุคคลที่เป็นศัตรู ซึ่งเอกสารเหล่านั้น มีดังนี้

๑. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เป็นพงศาวดารสยาม ต้นฉบับเป็นสมุดไทยจำนวน 22 เล่มสมุดไทย พระราชพงศาวดารฉบับนี้ไม่มีบานแพนกระบุที่มาการชำระ หอพระสมุดวชิรญาณรับซื้อมาราวปี พ.ศ. 2449-2450  เนื้อความตรงกับพระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ต่างตรงที่ฉบับนี้เริ่มเรื่องตั้งแต่สถาปนากรุงศรีอยุธยา (แต่ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์เริ่มเรื่องที่พระเจ้าเชียงรายกับชาวเมืองอพยพมาสร้างเมืองไตรตฤงษ์) และมีลายมือเขียนแก้ไขเพิ่มเติมคำและสำนวนไว้ สอดคล้องกับพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีถึงเซอร์จอห์น เบาว์ริง ลงวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2398 ระบุว่าพระองค์กับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท กำลังร่วมกันแต่งตำนานกรุงสยามเริ่มความตั้งแต่การสร้างกรุงศรีอยุธยามาจนถึงราชวงศ์จักรี จ.ศ. 1152 (พ.ศ. 2333)  จึงเรียกพงศาวดารฉบับนี้ว่า “พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา”  ซึ่งสันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชำระต่อเนื่องมาจนสิ้นรัชกาล  ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดช รับสั่งให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ชำระและจัดพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในงานพระศพพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค กรมขุนอรรควรราชกัลยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเยาวมาลย์นฤมล กรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี ในปี พ.ศ. 2455 ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเพิ่มเติมเนื้อหาจนจบรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและเพิ่มคำอธิบายรัชกาลต่าง ๆ จนถึงรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2457 เป็นจำนวน 2 เล่ม   

๒. หนังสือ ”อภินิหารบรรพบุรุษ”ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ แต่งขึ้นในสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยเริ่มแต่งครั้งแรกเป็นตอนๆลงในหนังสือสยามประเภทเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๒ ให้ชื่อเรื่องว่า”อภินิหารประจักษ์แห่งพระเจ้ากรุงธนบุรีศรีอยุธยา” ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๓ จึงพิมพ์รวมเป็นเล่ม ชื่อเรื่องว่า”หนังสือพระราชประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรี  ซึ่งเนื้อหามีความพิสดารจำนวนมาก หลายตอนหาหลักฐานอ้างอิงไม่ได้ และมีความขัดแย้งกับหลักฐานอื่นๆอยู่มาก ประกอบกับนายกุหลาบมีประวัติเคยลักลอบทำสำเนาเอกสารจากหอหลวง ไปแต่งเติมดัดแปลงเนื้อหาตามอำเภอใจจนถูกลงโทษมาแล้ว ทำให้เอกสารนี้ไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือจากนักประวัติศาสตร์เท่าไหร่ แต่ก็เป็นเอกสารที่คนทั่วไปนิยมอ้างอิงกันมาก  ในการเขียนประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีมากที่สุด

๓. พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) มีการชำระเรียบเรียงใหม่ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นประธานชำระ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๘ 

๔. พระราชนิพนธ์พงศาวดารสยามฉบับย่อ (Brief History of Siam) ของรัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชทานให้เซอร์จอห์น เบาว์ริง โดยพระราชนิพนธ์ฉบับนี้ ตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสาร The Chinese Repository ฉบับเดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ. ๒๓๙๔  ตีพิมพ์เป็นหนังสือ “The Kingdom and People of Siam” จำนวน ๒ เล่ม ของเซอร์จอห์น เบาว์ริง ภาค ๑ พิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๓๙๙ เล่มสองพิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด จัดพิมพ์ขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒

๕. ข้อมูลที่รัชกาลที่ ๔ ทรงเขียนให้กับนายแพทย์มัลคอล์ม สมิธ (Malcolm Smith, Dr. A Physician at the Court of Siam. University of Michigan Library. p. 13.) 

๖. จดหมายเหตุความทรงจำ ของกรมหลวงนรินทรเทวี และพระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ ๕  พิมพ์ครั้งแรกในปี ๒๔๕๑ 

๗. หนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ไทยได้ต้นฉบับมาจากประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๔ เป็นช่วงที่พม่าตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิอังกฤษ โดยเชื่อว่าครั้งแรกคงให้การเป็นภาษาไทย แต่พระเจ้าอังวะคงให้แปลและจดเป็นภาษามอญ ต่อมาค่อยแปลเป็นภาษาพม่าเก็บไว้ในหอหลวง แล้วเราได้แปลกลับมาเป็นภาษาไทยอีกทีหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ พิมพ์โดยโรงพิมพ์หมอสมิธ (แซมมวล เจ.สมิธ) และหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัด แปลเป็นภาษาไทยโดยกรมหลวงวงศาธิราชสนิท หนังสือเล่มนี้ถูกนายกุหลาบดัดแปลงไปให้หมอสมิธ บางคอแหลมพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๖  ต่อมาหอสมุดแห่งชาติเป็นผู้จัดพิมพ์ฉบับที่ถูกต้องใหม่อีกครั้ง

๘.  หนังสือ “อิสตัวร์ นาตูว์แร็ล เอ ซีวิล ดู รัวโยม เดอ ซียาม (Histoire naturelle et civile du royaume de Siam" (ประวัติศาสตร์ด้านธรรมชาติและพลเมืองของราชอาณาจักรสยาม) ที่เขียนโดย “ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง” ชาวฝรั่งเศส จำนวน ๒ เล่ม เผยแพร่ในยุโรป เมื่อ ค.ศ. 1771 หรือ พ.ศ.๒๓๑๔ หลังจากพระเจ้ากรุงธนบุรี ปราบดาภิเศกได้ไม่นาน  โดยดัดแปลงจากบันทึกของบาทหลวงบรีโกต์ ชาวฝรั่งเศส บิชอบแห่งตาบรากา(Bishop of Tabraca) ประมุขมิสซังกรุงสยาม และมิชชันนารีอีกหลายคนที่เคยเข้ามาอยู่กรุงสยามหลายปี ในช่วงก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา  เล่มแรกกรมศิลปากร มอบให้นายปอล ซาเวียร์ แปลเป็นภาษาไทยจากฉบับภาษาฝรั่งเศส ชื่อว่า “ประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม” ในปี พ.ศ.๒๕๓๐, เล่มที่สอง กรมศิลปากร มอบให้นางสมศรี เอี่ยมธรรม แปลเป็นภาษาไทยจากฉบับภาษาอังกฤษ มิได้แปลจากภาษาฝรั่งเศสโดยตรง ใช้ชื่อว่า “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปง” พิมพ์ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ 

๙. บันทึกจดหมายเหตุชิงสือลู่ (สมัยฮ่องเต้เฉียนหลงปีที่ ๓๐-๔๙ จนถึงสมัยฮ่องเต้เกาจง ชิงสือลู่ต้นฉบับอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เมืองไทเป ไต้หวัน) และร่างพงศาวดารราชวงศ์ชิง หัวข้อประวัติเสียนหลอ(สยาม) ที่ต้วน ลีเซิง อ้างถึงในหนังสือ”พลิกต้นตระกูลไทย” คราวพระเจ้ากรุงธนบุรีแต่งตั้งคณะทูตเดินทางไปเจริญพระราชไมตรียังราชสำนักจีน ในปี พ.ศ.๒๓๒๔    

๑๐. เอกสารประชาสัมพันธ์ของสำนักงานท้องถิ่นอำเภอเถ่งไฮ่ ของจีน ที่กล่าวแนะนำสถานที่สำคัญน่าชมในท้องถิ่นแห่งนี้ ซึ่งรวมสุสานของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ตำบลหัวฟู่ อำเภอเฉิงไห่ จังหวัดแต้จิ๋ว(เฉาโจว) มณฑลกวางตุ้งไว้ด้วย กล่าวว่าสุสานแห่งนี้เป็นสุสานเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเฉียนหลงฮ่องเต้ (พ.ศ. ๒๒๗๘-๒๓๓๙) มีป้ายหินจารึกไว้ว่าเป็น สุสานของ”แต้อ๊วง” และได้ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.๒๕๒๘) 

จากเอกสารที่กล่าวข้างต้นได้กล่าวถึงเกี่ยวกับประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรี  ซึ่งนักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ และผู้สนใจชอบนำมาอ้างอิงอยู่เป็นประจำ แต่เมื่อเขียนเรียบเรียงตามเอกสารที่อ้างถึง  ก็ยังไม่สามารถขจัดความสงสัยแก่ผู้ตั้งใจศึกษาประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีอย่างถ่องแท้ กลับมีผู้เห็นแย้งและสับสนเพิ่มขึ้น  เพราะเอกสารที่อ้างอิงบางฉบับก็ไม่มีที่มาที่ชัดเจนที่น่าเชื่อถือ บางฉบับก็ไม่แน่ใจว่าจะมีการชำระ(เขียน)ขึ้นมาใหม่ตอนไหนบ้าง บางฉบับก็จดบันทึกหรือเขียนตาม “คนรุ่นหลังเล่าว่า” หรือ จดจากคำบอกเล่าของศัตรู(ชิงสือลู่) แต่ไม่ว่าจะเป็นฉบับใด ก็ล้วนเขียนเรียบเรียงใหม่/ดัดแปลงจากต้นฉบับเดิมทั้งสิ้น  บางครั้งก็แปลเรียบเรียงจากหนังสือที่แปลถ่ายทอดกันมาอีกหลายทอดไม่รู้กี่ครั้ง เช่น เอกสารหมายเลข ๖,๗,๘,๙ เป็นต้น

 .

พระเจ้ากรุงธนบุรี  เดิมชื่อ ?

พระเจ้ากรุงธนบุรี เดิมชื่ออะไรกันแน่ก่อนที่จะสถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีใครยืนยันให้ชัดเจน แต่มีเอกสารหลายแห่งปรากฏชื่อต่างกัน  

ชื่อแรกที่ปรากฏ คือ “จีนเจ้ง” ในปี พ.ศ.๒๓๓๘ จากพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(รัชกาลที่ ๑) ทรงเป็นประธานชำระ ความว่า “...เดิมชื่อจีนเจ้ง ซึ่งเป็นพ่อค้าเกวียน มีความชอบในแผ่นดิน ได้ไปเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ ณ เมืองตาก...”

ชื่อที่สอง คือ “พระเจ้าตาก” โดยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงเขียนไว้ในพระราชนิพนธ์พงศาวดารสยามฉบับย่อ (Brief History of Siam) ที่พระราชทานให้เซอร์จอห์น เบาว์ริง และนายแพทย์มัลคอล์ม สมิธ  ความตอนหนึ่งว่า “...พวกข้าราชการหลายคนจากครั้งกรุงศรีอยุธยา ไม่เต็มใจที่จะเข้าเฝ้าถวายตัวต่อ “พระเจ้าตาก” ทั้งหมดมีใจโอนเอียงไปข้างแม่ทัพผู้พี่ และยิ่งกว่านั้นพวกเขาซึ่งมีใจอคติต่อพระเจ้าตาก ในเรื่องที่ว่าทรงมีเชื้อสายจีนได้พากันมองท่านแม่ทัพผู้พี่ควรมีฐานันดรสูงกว่าพระองค์เสียอีก พวกผู้ดีเก่าเหล่านี้ได้ชุมนุมกันเป็นข้ารับใช้ในเรือนส่วนตัวของท่านแม่ทัพโดยมิให้ผิดสังเกต...”

ชื่อที่สาม คือ “เตียซินตัด หรือ เตียซินตาด (爹信達) แปลว่า พ่อสินเจ้าเมืองตาก เป็นชื่อที่รัชกาลที่ ๔ ทรงให้ข้อมูลแก่นายแพทย์มัลคอล์ม สมิธไว้  

ชื่อที่สี่ คือ “สิน” จากหนังสือ ”อภินิหารบรรพบุรุษ”ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ

ชื่อที่ห้า คือ “เจิ้งเจา” [鄭昭) หรือ “เจิ้งกั๋วอิง” (鄭國英) ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุชิงสือลู่ ในสมัยฮ่องเต้เฉียนหลง

ชื่อที่หก คือ “พระยาตากขุนนางสยาม” จากหนังสือ ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปงเขียนโดยนาย”ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง” ชาวฝรั่งเศส “...ประชาชนมุ่งมั่นไปที่พระยาตากขุนนางสยามซึ่งมารดาเป็นชาวจีนท่านเป็นทั้งนักการเมืองและนักรบ ท่าน ปูทางที่จะไปสู่ความยิ่งใหญ่ของท่านด้วยการเรียกร้องความสงสารและความเห็นใจ ท่านได้รับเลือกเป็นหัวหน้าโดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนทั้งหมดครั้งแรกท่านได้ใช้นามแฝงว่า”ผู้กู้ชาติ”และแอบแฝงความสูงศักดิ์ โดยการใช้เครื่องนุ่งห่มตามปรกติ ท่านปรารถนาที่จะทำตัวเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น เพื่อที่จะเป็นผู้ปกครองประเทศที่แท้จริงต่อไป”  ซึ่งไม่รู้ว่าคำว่าพระยาตากขุนนางสยาม  ผู้แปลได้แปลจากคำที่ใช้ในฉบับภาษาอังกฤษ  หรือว่าแปลจากคำที่สะกดตามภาษาฝรั่งเศส แต่ส่วนมากผู้แปลใช้วิธีแปลโดยทับศัพท์ในบางคำ  หรือแปลโดยการตีความตามบริบท

สรุปได้ว่า มีเอกสารที่ระบุชื่อของพระเจ้ากรุงธนบุรียามเยาววัยมี  ๒ ชื่อ  ได้แก่  เจ้ง, เจิ้ง และ สิน

.  

ก.ศ.ร.กุหลาบ “กุ”ประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรี ?

ประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ ก.ศ.ร.กุหลาบเขียนขึ้น กล่าวว่าพระองค์มีบิดาชื่อไหฮอง เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มารดาชื่อนางนกเอี้ยง ประสูติได้ไม่กี่วัน พระยาจักรีมารับไปเป็นบุตรบุญธรรม เพราะมีอภินิหารน่าเหลือเชื่อในวันประสูติ มีส่วนสูงจากสะดือถึงศีรษะจะเท่ากับสะดือถึงฝ่าเท้า  เกิดได้ ๗ วัน มีงูใหญ่มาขดรอบกระด้งให้เห็นเป็นอัศจรรย์  เมื่อโตขึ้นได้เล่าเรียนหนังสือกับพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส ระหว่างนั้นก็มีอภินิหาร ที่พระอาจารย์ลงโทษจับผูกไว้ที่ท่าน้ำ น้ำขึ้นก็ไม่ตาย หลักที่ผูกไว้กลับหลุดลอยเหนือน้ำ เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พร้อมนายทองด้วง และนายบุนนาค ต่อมานายบุนนาคแกล้งผูกเปียพระเจ้ากรุงธนบุรีขณะนอนหลับกับตั่ง แล้วออกบวชพระพร้อมกับนายทองด้วง ต่อมามีซินแสจีนมาทำนายว่าจะเป็นกษัตริย์ทั้งคู่

            อ่านดูแล้ว ประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรีของ ก.ศ.ร.กุหลาบนั้น มีข้อความเหตุการณ์หลายอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้  อาทิ ประสูติได้ไม่กี่วัน พระยาจักรีรีบมารับเป็นบุตรบุญธรรม อ้างว่าเพราะมีอภินิหารน่าเหลือเชื่อในวันประสูติ  ทั้งๆที่ในช่วงที่พระเจ้ากรุงธนบุรีประสูติไม่กี่เดือนนั้น มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นในบ้านเมือง คือ “...ครั้นถึง ณ เดือน ๑๐ ข้างแรม จีนนายก่าย ณ กรุงเทพ มหานคร และพรรคพวกประมาณสามร้อยเศษ  คบคิดกันเป็นกบฏเข้ามาในเพลาราตรี จะเข้าปล้นชิงเอาพระราชวังหลวง พระยาเพชรพิชัยและข้าราชการทั้งปวงซึ่งอยู่รักษาพระนครนั้น ชวนกันออกต่อรบฆ่าฟันจีนกบฏป่วยเจ็บล้มตายเป็นอันมาก พวกกบฏจีนจะเข้าพระราชวังมิได้ก็แตกพ่ายหนีไป ครั้นเพลาสิบเอ็ดทุ่ม วันแรมสิบเอ็ดค่ำ ในเดือน ๑๐ นั้น ก็เสด็จโดยทางชลมารคจากเมืองลพบุรีกลับมายังพระมหานครศรีอยุธยา ดำรัสสั่งให้พิจารณาสืบสาวเอาตัวจีนกบฏ จับตัวได้สองร้อยแปดสิบเศษที่เป็นต้นเหตุนั้น สี่สิบคนให้ประหารชีวิตเสีย เหลือนั้นให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนแล้วขังไว้ให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้าง” 

จากกรณีกบฏจีนก่ายที่เกิดขึ้นทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่ “เจัาพระยาจักรี” บ้านโรงฆ้องจะกล้าหาญขนาดเอาลูกคนจีนมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เพราะโทษฐานก่อกบฏในรัชสมัยนั้นมีสถานเดียว คือ ประหารชีวิตทั้งตระกูล  โอกาสที่พระเจ้ากรุงธนบุรี จะมีพระบิดาเป็นชาวจีน ตามหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษนั้นแทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย เพราะเจ้าพระยาจักรีคงไม่กล้าก่อเรื่อง นำลูก “จีนกบฏ” มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเป็นแน่ และพระยาจักรีที่รับเลี้ยงพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นบุตรบุญธรรมก็ไม่มีหลักฐานชัดเจนเช่นกัน  แม้ว่าจะมีตัวตนจริง แต่ทำไมพระยาจักรีผู้นี้อยู่ในตำแหน่งยืดยาวมาก ตั้งแต่รับนายสินเป็นบุตรบุญธรรม จนถึงได้เลื่อนจากยกกระบัตรเมืองตากขึ้นเป็นเจ้าเมืองในราว ๓๐ ปี และเป็นที่สมุหนายกเป็นขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หรือว่าจะมีพระยาจักรีหลายคน  แต่เหตุใดจึงไม่มีวัดของตระกูลท่าน กลับเอานายสินไปฝากให้ร่ำเรียนที่วัดของตระกูลคนอื่นล่ะ  ข้อสงสัยมีมากมายแทบจะทุกข้อความก็ว่าได้ เช่น

การที่เด็กเชื้อสายจีน จะเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงได้เป็นเรื่องยากมาก ยิ่งบอกว่าขณะพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นมหาดเล็กไว้ผมเปีย จนกระทั่งนายบุนนาคแกล้งผูกเปียได้นั้น ยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปอีก รวมทั้งมีซินแสมาทำนายว่าพระองค์และนายทองด้วงจะได้เป็นกษัตริย์ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมเนียมซินแสจะทำนายใครก็ตาม จะต้องเป็นเรื่องที่มีพ่อแม่หรือขุนนางมาจ้างวานทำนายลูกหลานอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่มายืนจ้องแล้วเอ่ยปากทำนายขณะออกบิณฑบาต ไม่เคยมีนิทานหรือนิยายเรื่องใดของจีนกล่าวแบบนี้เลย    และยิ่งที่บอกว่าเมื่อแรกเกิดวัดส่วนสูงจากสะดือถึงศีรษะจะเท่ากับสะดือถึงฝ่าเท้า อันเป็นพุทธลักษณะย่อมเกิดขึ้นจริงไม่ได้เพราะพระองค์เกิดเป็นสามัญชน จะมีชาวบ้านที่ไหนวัดส่วนสูงลูกตัวเองแล้วจดไว้ เพราะพ่อแม่คงไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าลูกตนเองเกิดมาเพื่อเป็น”มหาราช” หรือแม้กระทั่งพระราชประวัติเมื่อแรกเกิดได้ ๗ วัน มีงูใหญ่มาขดรอบกระด้งให้เห็นเป็นอัศจรรย์ อย่างน้อยทั้งสองเหตุการณ์ ถ้ามีอยู่จริงคงปรากฏในพระราชพงศาวดาร คงไม่ไปปรากฏเฉพาะแต่ในอภินิหารบรรพบุรุษเป็นแน่ 

พระราชประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรี ในหนังสือ”อภินิหารบรรพบุรุษ”ที่ ก.ศ.ร.กุหลาบ เขียนนั้น อ้างว่าได้คัดลอกมาจาก “ตำรามหามุขมาตยานุกูลวงษ์” ของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช(บุญรอด) เช่นเดียวกับที่อ้างถึงสมัยเมื่อครั้งเขียนเรื่องพงศาวดารกรุงสุโขทัย ตอนเมื่อจะเสียกรุงแก่กรุงศรีอยุธยาที่ตีพิมพ์ในหนังสือสยามประเภท  ก.ศ.ร. กุหลาบได้ปลอมแปลง/ดัดแปลงเอกสารประวัติศาสตร์/ตำรา/พงศาวดาร/หนังสือเก่าไว้มากมาย จนเป็นเหตุให้รัชกาลที่ ๕ ทรงจับผิดได้ จึงให้มีการสอบสวนและสั่งให้ส่งตัว ก.ศ.ร.กุหลาบไปอยู่โรงเลี้ยงม้า ๗ วัน แต่กว่าจะจับได้ก็ทำให้หนังสือเก่าๆ ถูก ก.ศ.ร. กุหลาบทำให้เสียหายไปไม่ใช่น้อย  ก.ศ.ร.กุหลาบ เริ่มแต่งพระราชประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรี หลังจากเริ่มออกหนังสือพิมพ์ชื่อ“สยามประเภท” ในปี พ.ศ.๒๔๔๐ คือเริ่มตีพิมพ์เรื่องราวของพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นตอนๆภายใต้ชื่อว่า”อภินิหารประจักษ์แห่งพระเจ้ากรุงธนบุรีศรีอยุธยา” ในปีพ.ศ. ๒๔๔๒ พร้อมๆกับการตีพิมพ์พงศาวดารเชียงราย เชียงแสน ศุโขทัย ที่ถูก รัชกาลที่ ๕ จับส่งโรงพยาบาลบ้า ต่อมาพ.ศ. ๒๔๕๓ ก.ศ.ร.กุหลาบ รวบรวมบทความ “อภินิหารประจักษ์แห่งพระเจ้ากรุงธนบุรีศรีอยุธยา”ที่ตีพิมพ์เป็นตอนๆ มารวมพิมพ์เป็นเล่มใหม่ แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “หนังสือพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตาก(สิน)” ซึ่งต่อมาหนังสือนี้เป็นต้นฉบับของหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระราชประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรี จริงๆ แต่ก็เป็นหนังสือที่คนนิยมนำไปอ้างอิงมากที่สุดเช่นกัน  ทั้งนี้เพราะดูเป็นสำนวนชาวบ้านธรรมดา และเขียนไปในทำนองอภินิหารของวีรบุรุษ  ยิ่งทำให้คนคล้อยตามและเชื่อถือในที่สุด  
.

พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ที่ถูกชำระใหม่

เอกสารไทยที่ระบุถึงพระราชประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ถูกนักวิชาการรุ่นใหม่กล่าวถึงและนำมาอ้างอิงอีกฉบับหนึ่ง คือ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม)  แต่พงศาวดารฉบับนี้ ก็ขาดความน่าเชื่อถือระดับหนึ่ง เพราะมีบานแพนกแทรกในข้อความหลังรัชกาลพระเจ้าเสือว่า เรื่องเดิมว่าพงศาวดารฉบับนี้ สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ต่อมารัชกาลที่ ๑ โปรดให้เจ้าพระยาพิพิธพิชัยเขียนเพิ่มเติมอีก เริ่มตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเพทราชาเป็นต้นไป คราวที่ชำระแก้ไขโดยนักปราชญ์ราชบัณฑิต ซึ่งมีสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นประธาน ในปี พ.ศ. ๒๓๓๘  ดังนี้
             - (บานพะแนก) (๑) ศุภมัสดุ ศักราช ๑๑๕๗ ปีเถาะสับตศก (พ.ศ. ๒๓๓๘) สมเด็จพระบรมธรรมิกมหาราชาธิราชพระเจ้าอยู่หัว ผ่านถวัลราชย์ ณ กรุง เทพทวาราวดีศรีอยุธยา เถลิงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงชำระ พระราชพงศาวดาร  
              - พระราชพงศาวดาร อนึ่ง ณ วัน ๗๒ ค่ำ ปีจออัฐศก (จ.ศ. ๑๑๒๘ พ.ศ. ๒๓๐๙) ขณะเมื่อกรุงเทพมหานครยังมิได้เสียนั้น พระเจ้าอยู่หัวอันมีอภินิหารนับในเนื้อหน่อพุทธางกูรเจ้า ตรัสทราบพระญาณว่ากรุงศรีอยุธยาจะเป็น (๑) พ.ศ. ๒๓๓๘ เป็นปีที่ ๑๔ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์
            - ๒(๑) “...อันตราย แต่เหตุอธิบดีเมืองแลราษฏรมิเป็นธรรม จึงอุตสาหะด้วยกำลังกรุณาแก่สมณพราหมณาจารย์ แลพระบวรพุทธศาสนาจะเสื่อมสูญเสีย จึงชุมนุมพักพวกพลทหารไทยจีนประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ สรรพด้วยเครื่องสาตราอาวุธต่าง ๆ แลประกอบด้วยทหารผู้ใหญ่นั้น มีพระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสนา ขุนอภัยภักดี หมื่นราชเสน่หา แล้วยกออกไปตั้งณวัดพิชัย อันเป็นที่มงคลมหาสถาน ด้วยเดชพระบรมโพธิสมภาร เทพดาเจ้าอภิบาลรักษาพระพุทธศาสนาส้องสาธุการ บันดาลให้วรรษาการห่าฝนตกลงมาเป็นมหาพิชัยฤกษ์ จำเดิมแต่นั้นมาจึงให้ยกพลพยุหกองทัพออกจากวัดพิชัย ฝ่ากองทัพพะม่าออกมาเป็นเพลาย่ำฆ้องยามเสาร์ ได้รบกันกับพะม่าเป็นสามารถ พะม่ามิอาจจะต่อต้านทานพระบารมีได้ก็ถอยไป จึงดำเนินด้วยพลทหารมาโดยสวัสดิภาพ ไปตามทางบ้านข้าวเม่าพอบรรลุถึงสำบัณฑิตเพลาเที่ยงคืน 2 ยามเศษ เพลิงเกิดในกรุงเทพฯ…”
             - (๑) ฉบับหมายเลข ๒/ไฆ ว่า ”จึงอุตสาหะด้วยกำลังกรุณาแก่สมณพราหมณาจารย์ แลพุทธศาสนาจะเสื่อมสูญ เดิมชื่อจีนเจ้ง ซึ่งเป็นพ่อค้าเกวียน มีความชอบในแผ่นดิน ได้ไปเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ ณ เมืองตาก”

ส่วนพระราชพงศาวดารเหนือเลขที่ ๑/ไฆ กล่าวว่า “พระยานักเลงมีเชื้อสายพระเจ้ามักกะโท (พระราชพงศาวดารเหนือเลขที่ ๔๗) ทรงพระนามพระยาตาก จะตั้งเมืองใหม่ที่ธนบุรี”      

                        

จะเห็นได้ว่าเมื่อเริ่มชำระพระราชพงศาวดารก็มีการเพิ่มเติม(๑) โดยอ้างเอกสารฉบับหมายเลข ๒/ไฆ หรือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาช่วงก่อนเสียกรุง อันเป็นเอกสารสั้นๆ ช่วงก่อนเสียกรุง หรือถ้าจะระบุให้ชัดก็คือ มีแนวโน้มเป็นเอกสารที่จงใจสร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมาในหลายแห่ง หาที่มาที่ไปไม่ได้ เช่น ระบุชาติกำเนิดพระเจ้ากรุงธนบุรี ไว้เพียงว่า “เดิมนั้นชื่อ”จีนเจ้ง”มีอาชีพเป็นพ่อค้าเกวียน ทำความดีความชอบจึงได้เป็นเจ้าเมืองตาก” แต่กลับไม่ระบุว่า”จีนเจ้ง” เป็นใคร มาจากไหน  มีเชื้อสายอย่างไร และพ่อค้าเกวียนผู้นี้ทำความชอบอะไรถึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองตาก

ต่อมาจึงได้มีการอ้างถึง “คัมภีร์ธาตุวงศ์ ของมหาโสภิต” ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ตอนที่เสียเมืองพิษณุโลก ดังนี้ “...ณ วัน ๒ ๖ ค่ำพระราชสงคราม พบหนังสือมหาโสภิต เจ้าอารามวัดใหม่ เขียนใส่ใบตาลไปถวาย เป็นเนื้อความพุทธทำนายมีในคัมภีร์ธาตุวงศ์ใจความว่า “...ตระกูลเสนาบดีได้เป็นกษัตริย์ ๔ พระองค์ๆ สุดนั้นพะม่าจะยกมาย่ำยีกรุงเทพฯ เมื่ือกรุงเทพฯเสียแก่พะม่าแล้วยังมีชายพ่อค้าเกวียนจะได้เป็นพระยาครองเมืองทิศใต้กรุงชายชเล ชื่อเมืองบางกอกพระยาองค์นั้นจะสร้างเมืองได้ ๗ ปี ในที่สุด ๗ ปีนั้น พะม่าจะยกมาเพียรพยายามกระทำศึกอยู่ ๓ ปี  ในพระพุทธศักราช ๒๓๒๐ ปี จุลศักราช ๑๑๓๘ พระนครบางกอกจะเสีย แนะนำให้เสด็จขึ้นไปประทับอยู่เมืองลพบุรี อันเป็นที่ประชุมพระบรมธาตุ ข้าศึกศัตรูคิดร้ายมิได้เลย...” 

การอ้างคัมภีร์ธาตุวงศ์ ของมหาโสภิตขึ้นมา คงมีเจตนาเพื่อให้เรื่องพ่อค้าเกวียนที่ได้กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) มีความเป็นจริงมากขึ้น  แต่ต่อมานักค้นคว้ากลับพบว่า ข้อความในคัมภีร์ธาตุวงศ์ หลายตอนไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้ในพงศาวดารฉบับอื่นๆ เช่น ตระกูลเสนาบดีที่ได้เป็นพระมหากษัตริย์ ๔ พระองค์นั้นแล้วจะสิ้นสุด  ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ ราชวงศ์ที่เสียกรุงศรีอยุธยา คือ ราชวงศ์พลูหลวง ซึ่งมีกษัตริย์ ๖ องค์ ได้แก่ ๑. พระเพทราชา ๒.พระเจ้าเสือ ๓. พระเจ้าท้ายสระ ๔. พระเจ้าบรมโกศ  ๕. พระเจ้าอุทุมพร  ๖. พระเจ้าเอกทัศน์.  จริงๆแล้ว เหตุการณ์ในคัมภีร์ธาตุวงศ์ส่วนมากไม่เป็นความจริงแม้แต่เรื่องเดียว บางเหตุการณ์ที่อ้างไว้ในคัมภีร์ธาตุวงศ์ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนนานแล้ว แต่เขียนให้ดูเหมือนเป็นความจริงที่เพิ่งเกิดขึ้น 

สรุปว่า พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ชำระใหม่ปี พ.ศ.๒๓๓๘ พยายามชี้ว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นมีเชื้อสายจีน เดิมชื่อ “จีนเจ้ง” อาชีพเดิมก่อนเป็นเจ้าเมืองตาก คือ “พ่อค้าเกวียน”เท่านั้นการได้เป็นเจ้าเมืองตาก  เพราะวิ่งเต้นจ่ายเงินทองผ่านพระยาจักรี ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น บิดามารดาคือใคร ทำอาชีพใด เกิดที่ไหน เติบโตอย่างไร ไม่มีปรากฏข้อความในที่ใดเลย

เพิ่มเติม : พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) ชำระใหม่ปี พ.ศ.๒๓๓๘  มีเนื้อหาเริ่มตั้งแต่แรกสถาปนากรุงศรีอยุธยาจนสิ้นสุดกรุงธนบุรี ต้นฉบับเป็นสมุดไทยจำนวน 22 เล่ม ในบางเล่มมีข้อความขาดหายบางส่วน ปัจจุบันพบว่าเหลือเพียง 11 เล่ม  กรมศิลปากรได้นำเนื้อหาเฉพาะตอนกรุงศรีอยุธยามาพิมพ์ในชื่อ "ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๔ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)" แจกในงานปลงศพคุณหญิงปฏิภานพิเศษ (ลมุน อมาตยกุล) ณ วัดประยุรวงศาวาส วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2479, ส่วนตอนกรุงธนบุรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ โปรดให้พิมพ์ "ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๕ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)" แจกในงานพระราชทานเพลิงศพนายพันเอก พระยาสิริจุลเสวก (พัว จุลเสวก) ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 นักประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งเชื่อว่าพงศาวดารฉบับนี้น่าจะเป็นต้นฉบับในการชำระพระราชพงศาวดารฉบับตัวเขียนของสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน และพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ ๔-๕

.

พงศาวดารสยามฉบับย่อ (Brief History of Siam)  
          พงศาวดารฉบับนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชนิพนธ์ เพื่อพระราชทานให้เซอร์จอห์น เบาว์ริง ต่อมาเซอร์จอห์น เบาว์ริง ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ฮ่องกงในวารสาร The Chinese Repository ฉบับเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ.๒๓๙๔  และถูกตีพิมพ์ซ้ำอีกที่ลอนดอน ในชื่อว่า “The Kingdom and People of Siam” ในปี พ.ศ.๒๓๙๙-๒๔๐๐ พงศาวดารฉบับนี้ พระองค์ทรงอธิบายถึงความไม่ชอบธรรมของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ เพราะมีเชื้อสายจีนไว้ดังนี้ “...พวกข้าราชการหลายคนจากครั้งกรุงศรีอยุธยาไม่เต็มใจที่จะเข้าเฝ้าถวายตัวต่อพระเจ้าตากทั้งหมดมีใจโอนเอียงไปข้างแม่ทัพผู้พี่และยิ่งกว่านั้นพวกเขาซึ่งมีใจอคติต่อพระเจ้าตากในเรื่องที่ว่าทรงมีเชื้อสายจีนได้พากันมองท่านแม่ทัพผู้พี่ควรมีฐานันดรสูงกว่าพระองค์เสียอีกพวกผู้ดีเก่าเหล่านี้ได้ชุมนุมกันเป็นข้ารับใช้ในเรือนส่วนตัวของท่านแม่ทัพโดยมิให้ผิดสังเกต...” 

พระองค์ยังระบุในพงศาวดารสยามฉบับย่อตอนหนึ่งว่า ในสมัยกรุงธนบุรีนั้นมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองอยู่สามพระองค์ “...So, upon that time, there were three king presented in Siam, viz., Supreme King Phya Tark ; King of war, our grandfather, and the latter said King of Northern Siam” (King of war คือ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือเจ้าพระยาจักรี, King of Northern Siam คือ เจ้าพระยาสุรสีห์)  และทรงบอกการขึ้นสู่อำนาจของราชวงศ์จักรีไว้ดังนี้ “... พระองค์เกิดพระสติฟั่นเฟือนหรือทรงพระพิโรธ ตรัสว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าฯลฯ แล้วสั่งประหารผู้บริสุทธิ์ไปมากกว่า ๑๐,๐๐๐ คน และบีบบังคับขู่เข็ญเอาเงินเข้าพระคลังหลวง โดยที่มิได้เป็นค่าภาษีหรือมีเหตุผลที่ชอบธรรมใดๆ ดังนั้น จึงเกิดการกบฏลุกลามขนานใหญ่ขึ้น จับเอาพระเจ้าแผ่นดินที่เสียพระจริตเอาไว้ แล้วส่งคณะไปยังกัมพูชาเพื่ออัญเชิญพระเจ้าแผ่นดินทั้งสอง คือ เจ้าแห่งสงครามกับกษัตริย์ตอนเหนือ กลับมาครองราชย์บัลลังก์ประเทศสยามทั้งหมดกับทั้งเมืองขึ้นทั้งปวง...” 

พงศาวดารสยามฉบับย่อนี้  บอกว่าราชวงศ์ของพระองค์สืบสายมาจากตระกูลขุนนางเก่าแก่สมัยอยุธยาที่ทำคุณงามความดีไว้มากมาย ดังนี้ “...ต้นตระกูลผู้เป็นบิดาของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกและเป็นปู่ของพระราชบิดาในพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน (ตัวข้าพเจ้า-ร.๔) กับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน(พระเชษฐาผู้ทรงล่วงไปของข้าพเจ้า-ร.๓)แห่งสยาม เป็นอภิชาตบุตรของตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเสนาบดีต่างประเทศ (เจ้าพระยาโกษาปาน-สมัยพระนารายณ์) ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ท่านได้ย้ายหลักแหล่งจากอยุธยามาเพื่อความสุขของชีวิตมาตั้งบ้านเรือน ที่“สเกตรัง”เป็นท่าเรือบนลำน้ำสายเล็กอันเป็นสาขาของแม่น้ำใหญ่  ท่านได้ออกจาก ”สเกตรัง”ไปยังอยุธยาที่ซึ่งได้รับคำแนะนำให้เข้ารับราชการและได้สมรสกับธิดารูปงามของครอบครัวคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุดในย่านที่อยู่อาศัยของชาวจีน ภายในกำแพงเมืองตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอยุธยา...” 

ที่น่าแปลก คือ พงศาวดารสยามฉบับย่อนี้ กลับระบุว่า พระชนนีของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น “...เป็นธิดารูปงามของครอบครัวคหบดีจีน” ที่ร่ำรวยที่สุดในย่านการค้าของกรุงศรีอยุธยา นั่นย่อมแสดงว่าขนบธรรมเนียมการสืบสายสกุลในสมัยนั้นเพียงถือเอาสายโลหิตทางบิดาเป็นหลัก  ไม่นับรวมสายโลหิตฝ่ายมารดาเข้าไปด้วยเพราะการมีพระราชมารดาเป็นชาวจีนก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเป็นพระเจ้าแผ่นดินของรัชกาลที่ ๑ หรือทำให้ขาดความชอบธรรมแบบที่อ้างกับพระเจ้ากรุงธนบุรี 
.

จดหมายเหตุความทรงจำ ของกรมหลวงนรินทรเทวี และพระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ ๕   

เป็นชื่อเรียกเอกสารที่หอสมุดวชิรญาณได้รับมาจากวังหน้า เป็นสมบัติของท่านผู้หญิงพัน ภริยาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เขียนด้วยดินสอในสมุดไทยดำ  โดยเนื้อหาเป็นการบันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในปี จ.ศ. ๑๑๙๒ - จ.ศ. ๑๑๘๒ (พ.ศ. 2310 -พ.ศ. 2363) ในปี พ.ศ. 2451 (ร.ศ.127) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นว่าเนื้อหาของเอกสารมีความแปลก จึงได้คัดสำเนาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ รัชกาลที่ 5 ได้ทอดพระเนตร ทรงมีพระบรมวินิจฉัยสันนิษฐานว่า ผู้เขียนจดหมายบันทึกความทรงจำนี้ คงจะเป็น "พระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี" พระกนิษฐาต่างพระชนนีของรัชกาลที่ ๑ ด้วยทรงเห็นว่าเป็นเอกสารที่บันทึกจากความทรงจำของผู้อยู่ในเหตุการณ์ช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา และช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยขณะเรียบเรียงจดหมายนี้ คงจะมีอายุราว 70 ปีแล้ว รัชกาลที่ ๕ จึงทรงแก้ชื่อเดิมที่ผู้คัดลอกตั้งไว้ คือ "จดหมายเหตุตั้งแต่กรุงเก่าเสียแล้วเจ้าตากมาตั้งกรุงธนบุรี”เป็น "จดหมายความทรงจำ ของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ) ตั้งแต่จุลศักราช 1129 ถึงจุลศักราช 1182 เปนเวลา 53 ปี" นอกจากนี้พระองค์ยังทรงพระราชวิจารณ์จดหมายเหตุ และอธิบายเพิ่มเติมทำให้รายละเอียดในเอกสารนี้ครบถ้วนถูกต้องยิ่งขึ้น

หลังจากพระราชวิจารณ์ถึงผู้แต่งจดหมายนี้ ล่วงไปได้ 8 ปี ในปี พ.ศ. 2459 หอสมุดวชิรญาณได้รับจดหมายเหตุความทรงจำอีกส่วนหนึ่ง จากจมื่นทิพรักษา (เนตร บุณยรัตพันธุ์) และพระพิเรนทรเทพบุตร  ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์เพิ่มเติมจากส่วนแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2381  กรมพระยาดำรงฯทรงพิจารณาแล้ว พบว่าสำนวนที่บันทึกในส่วนหลังนี้ แตกต่างจากสำนวนในส่วนแรกซึ่งรัชกาลที่ 5 มีพระราชวิจารณ์ว่าผู้ที่บันทึกคือ "กรมหลวงนรินทรเทวี"  คงจะเป็นการบันทึกเพิ่มเติมของเจ้านายวังหน้าอีกพระองค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้คัดลอกเพิ่มเติมเข้าไปในภายหลังจากที่กรมหลวงนรินทรเทวี (พระองค์เจ้ากุ) สิ้นพระชนม์ไปแล้วถึง 11 ปี 

เอกสารฉบับนี้ แม้จะผ่านการคัดลอกมา แต่ไม่ได้ผ่านการ "ชำระ" มาก่อน ดังคำบรรยายในการเรียบเรียงหนังสือเมื่อ ร.ศ. ๑๒๗ ของรัชกาลที่ ๕ ใจความว่า  “…ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าหนังสือฉบับนี้ไม่มีความเท็จเลยความที่คลาดเคลื่อนนั้นด้วยลืมบ้าง ด้วยทราบผิดไปบ้าง เรียงลงไม่ถูกเปนภาษาไม่สู้แจ่มแจ้งบ้าง ทั้งวิธีเรียงหนังสือในอายุชั้นนั้นไม่สู้จะมีเครื่องมือสําหรับเขียนบริบูรณ์แลคล่องแคล่วเหมือนอย่างทุกวันนี้  แต่เปนเคราะห์ดีที่สุดที่จดหมายกรมหลวงนรินทรเทวีฉบับนี้ ไม่ปรากฏแก่นักเลงแต่งหนังสือในรัชกาลที่ 4 ฤๅในรัชกาลปะจุบันนี้ ตกอยู่ในก้นตู้ได้จนถึงรัตนโกสินทรศก 127 นี้ นับว่าเปนหนังสือพรมจารีไม่มีด้วงแมลงได้เจาะไชเลย  ความยังคงเก่าบริบูรณ์เว้นไว้แต่หนังสือไม่ใช่เปนตัวหนังสือเก่าแท้...”

เอกสารฉบับนี้ แม้จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่มากมาย  แต่ก็ไม่ได้กล่าวถึงชาติกำเนิด และชีวิตวัยเยาว์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้แต่ประการใด  เริ่มต้นเขียนถึงตอนพระเจ้ากรุงธนบุรีสมัยเป็นขุนนางยิงปืนใหญ่ หนีพม่าไปยังจันทบุรี กอบกู้ชาติ ขึ้นครองราชย์ ชีวิตส่วนพระองค์ ทำสงคราม จนถึงบั้นปลายชีวิตและสวรรคตเท่านั้น  

.

เอกสารหลักฐานชาวตะวันตก ฉบับตุรแปง

             มีหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา พิมพ์ขึ้นที่ฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1770 หรือ พ.ศ.๒๓๑๓ หลังจากพระเจ้ากรุงธนบุรี ขึ้นครองราชย์ได้ ๒ ปี (พระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นครองราชย์ เมื่อ ๒๘ ธ.ค. จ.ศ.๑๑๒๙, พ.ศ. ๒๓๑๑) ชื่อว่า “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา (Histoire covole et naturelle du royaume du Siam des revolutions qui ont  bouleverse cet empire jusqu’en, 1770.) เขียนโดยนาย”ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง” ชาวฝรั่งเศส จำนวน ๒ เล่ม โดยรวบรวมเรื่องราวจากคำพูด และบันทึกของบาทหลวงบรีโกต์ ชาวฝรั่งเศส บิชอบแห่งตาบรากา (Bishop of Tabraca) ประมุขมิสซังกรุงสยาม และมิชชันนารีอีกหลายคนที่เคยเข้ามาอยู่กรุงสยามในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1751 (พ.ศ. ๒๒๙๔) จนถึงกรุงศรีอยุธยาถูกทำลาย ถูกพม่าจับตัวไปเป็นเชลย และเดินทางกลับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1768 (๒๓๑๑)  โดยมีตอนหนึ่งบันทึกเหตุการณ์ร่วมสมัยในช่วงกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเข้ามาทำลายไว้ เล่มแรกแปลเป็นภาษาไทยโดยนายปอล ซาเวียร์ ๒๕๓๐ ส่วนเล่มที่สอง นางสมศรี เอี่ยมธรรม แปลเป็นภาษาไทยจากฉบับภาษาอังกฤษ ใช้ชื่อว่า “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปง” พิมพ์ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ มีข้อความที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้ากรุงธนบุรี ดังนี้
             ”...วันที่ ๒๘ เม.ย. ค.ศ.1767 (พ.ศ.๒๓๑๐ หลังพม่าเข้าเมืองได้ ๒๑วัน) บ้านเมืองถูกยึดโดยการโจมตีทรัพย์สมบัติในพระราชวังและวัดต่างๆไม่เหลืออะไรเลยนอกจากซากปรักหักพังและเถ้าถ่านพระพุทธรูปถูกนำมาหลอมและทำลายโดยผู้ชนะที่ป่าเถื่อนผู้มีแต่ความโลภเท่านั้น เพื่อเป็นการแก้แค้นในความเสียหายครั้งนี้พวกพม่าได้ถ่ายเทความโกรธแก่เมืองเล็กๆโดยรอบสยาม   พวกพม่าได้ใช้ไฟลนฝ่าเท้าของพวกสยามเพื่อจะให้พวกสยามเปิดเผยที่ซ่อนทรัพย์สินและทำการข่มขืนลูกสาวที่กำลังร่ำไห้ต่อหน้าต่อตาพวกเขา พระสงฆ์ซึ่งถูกสงสัยว่าปิดบังทรัพย์สินจำนวนมากถูกหอกซัดและถูกธนูยิงจนพรุน คนอื่นๆจำนวนมากก็ถูกตีจนตายด้วยกระบองหนัก  สภาพบ้านเมืองก็เช่นเดียวกับวัดวาอารามซึ่งเต็มไปด้วยซากศพแม่น้ำต่างๆไหลไม่สะดวกเนื่องจากพวกซากศพกีดกั้นทางน้ำ กลิ่นเหม็นจากสิ่งเหล่านี้ชักจูงพวกแมลงวันมาตอมอันเป็นเหตุให้ยุ่งยากในการล่าถอยของกองทัพ พวกเสนาบดีและพวกคนสนิทถูกจับใส่โซ่ตรวนและถูกกล่าวหากลายเป็นทาสอยู่ในเรือโบราณ พระเจ้าแผ่นดินผู้รู้เห็นในชะตากรรมของข้าราชสำนัก พระองค์ได้พยายามที่จะหลบหนี แต่พระองค์ทรงถูกจำได้ และถูกปลงพระชนม์ที่ประตูพระราชวัง   ขุนหลวงหาวัด(พระเจ้าอุทุมพร) ถูกพรากจากความสงบ ซึ่งพระองค์ปรารถนาเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากและถูกนำไปรวมกับพระราชวงศ์ทั้งหมด พวกที่ถูกจับกุมทั้งหมดกลัวถูกทรมานได้สารภาพว่าพวกเขามีทรัพย์สมบัติที่แอบซ่อนอยู่มากมาย เมื่อความโลภของพวกพม่าเป็นที่จุใจแล้วและบ้านเมืองเต็มไปด้วยซากศพและคนที่กำลังจะตาย กองทัพผู้มีชัยก็ถอนกลับไปพะโค พร้อมจับพวกเราไปด้วย...” 

เหตุการณ์ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาที่บรรยายไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปงนั้น ถูกนำมาอ้างอิงจากนักวิชาการมาตลอด และได้รับการยอมรับในเรื่องรายละเอียดของเหตุการณ์ว่าถูกต้องแม่นยำกว่าเอกสารทางฝ่ายไทย อาทิ การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ที่ตุรแปงบันทึกว่าถูกปลงพระชนม์ที่ประตูพระราชวัง” ซึ่งตรงกับพงศาวดารพม่า แต่ฝ่ายไทยบอกว่าจับได้ที่ใต้ต้นจิก เหตุการณ์นี้พงศาวดารพม่าและประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปงถูกต้อง และหนังสือฉบับนี้ต่อมาถือเป็นข้อมูลในการศึกษาอาณาจักรสยามของชาวตะวันตกตลอดมา 

หนังสือประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับตุรแปงฉบับนี้ นอกจากจะบันทึกเหตุการณ์ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาไว้อย่างละเอียดแล้ว ยังได้บันทึกถึงบุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ไว้ว่า “...ประชาชนมุ่งมั่นไปที่พระยาตากขุนนางสยามซึ่งมารดาเป็นชาวจีน ท่านเป็นทั้งนักการเมืองและนักรบ ท่านปูทางที่จะไปสู่ความยิ่งใหญ่ของท่านด้วยการเรียกร้องความสงสารและความเห็นใจ ท่านได้รับเลือกเป็นหัวหน้าโดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนทั้งหมด ครั้งแรกท่านได้ใช้นามแฝงว่า”ผู้กู้ชาติ”และแอบแฝงความสูงศักดิ์ โดยการใช้เครื่องนุ่งห่มตามปรกติ ท่านปรารถนาที่จะทำตัวเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น เพื่อที่จะเป็นผู้ปกครองประเทศที่แท้จริงต่อไป...”  แต่ข้อความตรงนี้ ก็ยังน่าสงสัยตรงที่ท่านถูกพม่าจับตัวไปเป็นเชลยในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1767 (๒๓๑๐) จนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1768 (๒๓๑๑) ท่านจึงได้เดินทางกลับฝรั่งเศส รวมเวลาแค่ ๑ ปี แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า “พระยาตาก” เป็นผู้นำในการกู้ชาติ ถ้าข้อมูลตรงนี้เป็นความจริง ก็หมายความว่าบาทหลวงบรีโกต์ ท่านได้ยินจากคนอื่นในภายหลังตอนอยู่ที่พม่า ไม่ได้บันทึกจากขณะที่ท่านอยู่กรุงศรีอยุธยาหรือนายตุรแปงได้จดบันทึกจากมิชชันนารีคนอื่นในเวลาต่อมา หรือ ผู้แปลทั้งนายปอล และคุณสมศรี แปลจากฉบับที่พิมพ์ขึ้นในภายหลัง ไม่ใช่ต้นฉบับโดยตรง  หรืออาจจะแปลตามนั้น แต่ระบุชื่อจากการตีความตามบริบทจากข้อมูลที่เอ่ยชื่อภายหลังก็ได้   ซึ่งอาจจะมีผู้เติมข้อความขึ้นในภายหลังอีก เพื่อให้หนังสือกล่าวถึงประเทศสยามขณะนั้นได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น             

.

หลักฐาน/เอกสารทางจีน

นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ นักค้นคว้าที่เชื่อว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี มีเชื้อสายจีน” นั้น มักจะอ้างอิงจากหลักฐาน

ข้อมูลสองอย่างนี้ ได้แก่ 

๑. สุสานบรรจุฉลองพระองค์ที่เถ่งไฮ่ 

๒. ชิงสือลู่ - จดหมายเหตุราชวงศ์ชิง(สมัยฮ่องเต้เฉียนหลง-เกาจง)

 

สุสานบรรจุฉลองพระองค์
       สุสานแห่งนี้ นักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการไทย ชอบอ้างอิงและเชื่อถือว่า เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าพระเจ้ากรุงธนบุรี มีเชื้อสายเป็นชาวจีน ซึ่งนิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนไว้ในหนังสือการเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี(มติชน, ๒๕๕๐) หน้า ๖๓ บอกว่า บิดาของพระองค์ชื่อ หยง แซ่แต้ (鄭鏞) อยู่ที่อำเภอเถ่งไฮ่  มณฑลกวางตุ้ง (แต่ นิธิ บอกว่า ก.ศ.ร. กุหลาบเป็นคนเขียนไว้คนแรก)

รูป  ประตูขนาดใหญ่บริเวณทางเข้าสุสานแต้อ๋อง และศิลาจารึกในปัจจุบัน

แต่ถ้าเราไปเที่ยวที่เมืองเถ่งไฮ่  จะมีมัคคุเทศก์แนะนำพาชมสถานที่ และแจกเอกสารประชาสัมพันธ์ของกรมการบริหารท้องถิ่นอำเภอเถ่งไฮ่  ซึ่งเอกสารนั้นมีตอนหนึ่ง แนะนำว่า.... 

“...สุสานบรรจุฉลองพระองค์นี้ตั้งอยู่ที่อำเภอเถ่งไฮ่  มณฑลกวางตุ้ง บริเวณแหล่งดูดทรายแห่งหนึ่งในอำเภอเถ่งไฮ่  มีฮวงซุ้ยหรือสุสานเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทางเข้าทำเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ เมื่อถึงบริเวณสุสาน มีรั้วรอบขอบชิดและซุ้มประตูอีกชั้นหนึ่ง เหนือซุ้มประตูเขียนอักษร 4 คำ ความว่า “ตง ไถ่ จือ กวง” 中泰之光แปลว่า แสงเจิดจรัสของจีนและไทย  สุสานแห่งนี้เป็นสุสานเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเฉียนหลงฮ่องเต้ (พ.ศ. ๒๒๗๘-๒๓๓๙) มีป้ายหินจารึกไว้ว่า “เป็นสุสานของแต้อ๊วง” 暹羅鄭皇達信大帝衣冠墓 (อ่านว่า : เสี่ยมล้อ แต้*อ๊วง ตักสิ่งไต่ตี่ อี กวง หมอ)  ซึ่งสุสานแห่งนี้ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1958 (พ.ศ.๒๕๒๘)  และซ่อมแซมอีกครั้งเมื่อ ค.ศ.2015 (พ.ศ.๒๕๕๘) 

               “...คนเถ่งไฮ่ รู้จักและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าตากดี เขาเรียกกันว่า”แต้อ๊วง” แปลว่าพระเจ้าแผ่นดินตระกูลแต้ มีเรื่องเล่าว่าเมื่อ”แต้อ๊วง” เกิด พ่อของท่านก็พาท่านกลับมาเรียนภาษาที่เมืองจีน จนอายุได้ ๑๐ ขวบจึงส่งมาอยู่เมืองไทย

              “...คนเถ่งไฮ่ ภูมิใจใน”แต้อ๊วง”มาก ว่าเป็นคนบ้านเราที่มีวาสนาเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทยและมีความกล้าหาญยิ่ง เสี่ยงชีวิตไปรบกับพม่าเพื่อกอบกู้ชาติไทย

             “...คนเถ่งไฮ่ เชื่อกันว่าหลังจากที่พระเจ้าตากสิ้นพระชนม์ได้ไม่นานบรรดาญาติพี่น้องได้นำฉลองพระองค์กลับมายังบ้านเกิดและฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ

ที่สุสานแห่งนี้ ยังมีป้ายหินจารึกไว้ว่า “สุสานแห่งนี้เป็นที่ฝังฉลองพระองค์ของ”แต้อ๊วง” ที่นำมาจากเมืองไทย ห้ามผู้ใดทำลายเด็ดขาด”  ลงชื่อ โดยกรมการบริหารท้องถิ่นอำเภอเถ่งไฮ่

            แต่กลับไม่มีผู้เขียนประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ชอบอ้างหลักฐานจากจีน เอ่ยถึงว่าที่ข้างประตูศาล เดิมมีศิลาจารึกแผ่นเล็กๆ ติดตั้งอยู่ จารึกว่า “...ศาลแห่งนี้สร้างขึ้นในปีที่ ๑๑ (ค.ศ.1923) ในช่วงยุคสาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912-1949)”  เท่ากับว่าศาลแห่งนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ หลังจากพระเจ้ากรุงธนบุรีสวรรคตไปแล้ว ๑๔๐ ปี”  ซึ่งต้วนลี่เซิงได้เขียนไว้ในหนังสือ “พระเจ้ากรุงธนบุรีกับจักรพรรดิจีน” บอกว่า “ได้พบสุสานบรรจุฉลองพระองค์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ตำบลหัวฟู่ อำเภอเฉิงไห่ จังหวัดแต้จิ๋ว (เฉาโจว) อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน รวมทั้งศาลประจำตระกูลซึ่งสร้างขึ้นใน ค.ศ.1921 (พ.ศ. 2464)” หลักฐานชิ้นนี้จึงขัดแย้งกับเอกสารประชาสัมพันธ์ของเมืองเถ่งไฮ่ที่ว่า “สร้างในรัชสมัยฮ่องเต้เฉียนหลง”  

ป้ายศิลาหน้าสุสานที่ฝังฉลองพระองค์ของพระเจ้าตากสินมหาราช ณ บ้านหั่วปู่ เมืองเถ่งไฮ่ ระบุว่า 清乾隆岁次壬寅年建 อักษรสามคำแรก อ่านว่า “ชิงเฉียนหลง” 清乾隆 แปลว่ารัชศกพระเจ้าเฉียนหลงในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1736-1795 อักษรอีกสองคำที่ตามมาคือ “ซุ่ยชื่อ” 岁次 เป็นการเรียกปีปฏิทินโบราณแบบจีน (ระบบเทียนกันตี้จือ 天干地支) แต่อักษรที่ระบุปีจริงๆ คืออักษรที่ตามมาอีกสองคำคือ “เหยินอิ๋น” 壬寅 ซึ่ง 60 ปีถึงจะซ้ำกันครั้งหนึ่ง และหากคำนวณ “เหยินอิ๋น” ที่ตกอยู่ในในรัชศกเฉียนหลง ก็จะเป็นปี ค.ศ. 1782 (พ.ศ. 2325) แสดงว่า ในปีที่พระเจ้าตากสินสวรรคต และรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีขึ้นครองราชย์ ( ๖ เมษายน พ.ศ. 2325) ทางญาติฝ่ายไทยก็ได้จัดส่งฉลองพระองค์ไปให้พระญาติทางเมืองเถ่งไฮ่ทันที  ซึ่งเป็นได้หรือ ?

ถ้าเอกสารเมืองเถ่งไฮ่เป็นจริง ที่ระบุว่า เมื่อ “แต้อ๊วง”เกิด บิดาท่านก็พาท่านกลับมาเรียนภาษาที่เมืองจีนที่เฉิงไห่ จนอายุ ๑๐ ขวบ จึงพากลับมาอยู่เมืองไทยแล้วทำอาชีพค้าขาย จนเป็นขุนนางราวๆอายุ ๒๐ กว่าๆ เมื่อเป็นขุนนางก็ต้องทำสงครามอยู่ตลอดเวลา จนขึ้นครองราชย์  แต่เมื่อพิจารณาพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ของพระองค์ในปี จ.ศ.1132 (พ.ศ.๒๓๑๓) ก็พอจะทำให้น่าเชื่อถือได้ว่าทรงมีความรู้ทั้งด้านภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีไทยเป็นอย่างดียิ่ง ตลอดจนส่งเสริมให้คัดลอกพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี และให้ตรากฎหมายว่าด้วยวัตรปฏิบัติในทางธรรมวินัยของพระสงฆ์ พ.ศ. 2316 โดยถือเป็นต้นฉบับกฎหมายพระสงฆ์ฉบับแรกของไทย ทรงนำแนวคิดทางพระพุทธศาสนามาใช้เป็นหลักในการจัดระเบียบสังคมในสมัยนั้นด้วย ทรงรื้อฟื้นช่างสิบหมู่ และยังทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ก็พอจะทำให้น่าเชื่อถือได้ว่าทรงมีความรู้ในทางพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง  แล้วพระเจ้ากรุงธนบุรีเอาเวลาช่วงไหนไปเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดีได้นะ  ยิ่งถ้าเป็นลูกจีนที่เติบโตที่เมืองจีน  แล้วพระองค์จะมามีความรู้สึกผูกพันกับความเป็นไทยขนาดนี้ได้อย่างไร

และข้อความที่ว่า “...คนเถ่งไฮ่ เชื่อกันว่าหลังจากที่พระเจ้าตากสิ้นพระชนม์ได้ไม่นานบรรดาญาติพี่น้องได้นำฉลองพระองค์กลับมายังบ้านเกิดและฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ”  แต่เอกสารและหลักฐานจากชิงสือลู่ และพงศาวดารของไทย รวมทั้งจดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวีนั้น ไม่มีเรื่องสุสานบรรจุฉลองพระองค์ที่บรรดาพระญาตินำไปฝังไว้หลังจากที่พระเจ้ากรุงธนบุรีสวรรคตได้ไม่นาน  เข้าใจว่าคงเป็นการกล่าวอ้างเอาเองของคนรุ่นหลัง  เพราะอำเภอเถ่งไฮ่นั้นมีคนแซ่แต้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก  และส่วนใหญ่มีฐานะยากจน  สุสานนี้ขัดกับหลักความจริงหลายเรื่อง อาทิพระญาติทำไมไม่นำฉลองพระองค์ไปสร้างสุสานขณะที่พระองค์เสวยราชย์สมบัติ  ซึ่งย่อมทำได้อย่างง่ายดายกว่า และสุดท้ายเมื่อครั้งผลัดแผ่นดินนั้น ไม่มีพระญาติที่ใกล้ชิดที่เป็นชายรอดชีวิตแม้แต่ผู้เดียว นอกจากเจ้านายองค์น้อยๆเท่านั้น ส่วนพระญาติที่เป็นสตรีก็ถูกถอดยศและให้อยู่ในเขตพระราชวังจนถึงแก่ชีวิตไปเอง  จึงไม่น่าจะมีพระญาติสนิทที่สามารถครอบครองฉลองพระองค์ท่านไหนหลงเหลือไปเมืองจีนได้ 

ชิงสือลู่ - จดหมายเหตุราชวงศ์ชิง(สมัยฮ่องเต้เฉียนหลง-เกาจง) 

             ส่วนเอกสารของจีนที่นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการและนักค้นคว้าของไทย  เชื่อถือและนำมาอ้างอิงมากที่สุด คือ สือลู่ หรือ ฉือลู่ (จีน : 实录) ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์ต่างของฮ่องเต้แต่ละสมัยในประเทศจีน (ปัจจุบันต้นฉบับอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ไทเป ประเทศไต้หวัน)  ต้วน ลีเซิง ได้แปลในช่วงราชวงศ์ชิง และเขียนเป็นหนังสือ ชื่อว่า ”พลิกต้นตระกูลไทย” ต่อมา ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียรและคณะได้นำในส่วนที่เกี่ยวข้องสยาม(อยุธยา) สมัยราชวงศ์หยวน-หมิง-ชิง มาแปลเป็นภาษาไทย พิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙ ใช้ชื่อว่า“หมิงสือลู่-ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตอนว่าด้วยสยาม” และ “หนังสือความสัมพันธ์ไทยจีนจากเอกสารสมัยราชวงศ์หยวน-หมิง-ชิง ซึ่งกรมศิลปากรได้รวบรวมการแปลสือลู่ทุกฉบับมาจัดพิมพ์ใหม่ เมื่อปี ๒๕๖๔

          ก่อนที่จะวิเคราะ์และตั้งข้อสังเกตในเอกสารชิงสือลู่  ผมขอเล่าประวัติความเป็นมาของ หมิงสือลู่-หมิงฉือลู่ (จีนตัวย่อ: 明实录; จีนตัวเต็ม: 明實錄) หรือ ชิงสือลู่-ชิงฉือลู่ (จีน: 清实录) คือ ต้าชิงหลี่เฉาฉือลู่ (จีน: 大清历朝实录) ก่อน  เพราะเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารที่นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ในบ้านเราชอบใช้อ้างอิงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยในอดีตกันอย่างจริงจัง

          แท้จริงแล้ว หมิงสือลู่ หรือ ชิงสือลู่ เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ที่ผ่านการชำระ ทั้งลบล้าง และปั้นแต่งเติมในหลายยุคหลายสมัย  ครั้งล่าสุดกระทำโดยเหล่าราชบัณฑิตแห่งราชสำนักชิง  เริ่มตั้งแต่ต้นฮ่องเต้ชุ่นจื้อแห่งราชวงศ์ชิง  มาชำระเสร็จในสมัยฮ่องเต้เฉียนหลง  และเมื่อชำระเสร็จ ก็มีประกาศจากราชสำนักชิงให้หมิงสือลู่ (ฉบับเก่า) ที่ราษฎรถือครองอยู่ทั้งหมด  ถูกประกาศให้เป็นหนังสือต้องห้าม ทั้งให้เผาทำลายเสียสิ้น  ผู้ครอบครองหมิงสือลู่ฉบับที่พิมพ์ และคัดลอกจากฉบับเดิม จะมีโทษมหันต์  ซึ่งในปี ค.ศ. 1783 หนังสือหมิงสือลู่ ฉบับราชวงศ์หมิง ที่เก็บรักษาในหอพระสมุดจำนวน 4,757 เล่ม  ก็ถูกนำออกเผาทำลายเสียสิ้น 

          แม้ในยุคสุดท้ายของราชวงศ์ชิง  ในสมัยจักรพรรดิเซฺวียนถงหรือผู่อี๋จักรพรรดิองค์สุดท้ายก็ยังปรับปรุงชำระ "ชิงฉือลู่", “ชิงไท่จู่ฉือลู่” และ "เซฺวียนถง เจิ้งจี้" อีกจำนวน 70 เล่ม  โดยชิงฉือลู่ที่นับได้มีจำนวนทั้งหมด 4,326 เล่ม   สรุปได้ว่า  แม้ชิงสือลู่จะมีข้อเท็จจริงค่อนข้างมาก  แต่ข้อมูลด้านสถานที่และตัวบุคคลเรื่องราว  ก็ยังเชื่อถือได้ไม่เต็มที่  เพราะถูกการชำระปรับปรุงมาตลอด

           

            ส่วนเอกสารที่นักวิชาการไทยและกรมศิลปากรจัดทำ โดยแปลมาจากชิงสือลู่  ผมมีข้อน่าสังเกต ดังนี้  (ตามหัวข้อ ๕๑-๗๗ เกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรี และ ร.๑ หน้า ๑๓๖-๑๗๕)

            ๑. ชิงสือลู่ในสมัยฮ่องเต้เฉียนหลงที่เกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรี (ข้อ ๕๑ หน้า ๑๓๖) ล้วนจดบันทึกจากข้อมูลตามรายงานของ “หลี่ซื่อเหยา”ข้าหลวงประจำมณฑลกวางตุ้งและกว่างซีที่กราบทูลต่อฮ่องเต้เฉียนหลง  ตามที่ฮ่องเต้เฉียงหลงได้สั่งให้ขุนนางช่วยกัน ตรวจสอบเรื่องราวของประเทศเซียนหลัวอย่างละเอียด ในปีที่ ๓๒ (พ.ศ. ๒๓๑๐) แห่งรัชกาลเฉียนหลง เพื่อช่วยปราบศึกพม่า ขุนนางกรมพิธีการรายงานว่า  “...ได้ตรวจดูเรื่อง เสียม หลัว กั่ว หรือเสียมหลอก๊กแล้ว เห็นมีต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ครั้งราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง สมัยโน้นเรียกว่า ประเทศ ซื่อ-ถู-กั่ว (หรือ เซี้ยะโท้ว หรือ เฉตู) ด้วยครั้งพระเจ้าสุยทางเต้ พระเจ้าสุยเอียงเต้ ขึ้นครองราชย์สมบัติ ปีอิดทิ้ว  ขุนนางสุนถังจู้ ชื่อเสียงจุ่น ได้จดความไว้ว่า ซื่อ-ถั่ว-กั่ว-อ๋อง นับถือศาสนาพุทธ คาดคะเนว่า พระเจ้าแผ่นดินแซ่เดียวกับพระพุทธเจ้า ชาวเสียม-หลั่ว-กั่ว เป็นชนชาติเดียวกับชาวฮูหลำ (อาณาจักรฟูนัน) ประเทศนี้ตั้งอยู่ริมทะเลทางทิศใต้”    (ส่วนรายงานของหลีซือเหยา ก็ได้ข้อมูลจากรายงานของนายทหารชื่อม่ายเซิน และม่อซือหลินเจ้าเมืองไห่เตียน(ไทยเรียกพุทไธมาศ) ที่เจ้าจุ้ย เจ้าสังข์ หนีลี้ภัยไปอยู่ด้วย ซึ่งม่อซือหลินให้การสนับสนุนช่วยเหลือให้เป็นกษัตริย์อยุธยาองค์ต่อไป)

            ๒. หลี่ซื่อเหยา ได้มอบหมายให้นายทหารชื่อ “สี่ฉวน”(ข้อ ๕๒ หน้า ๑๓๗) ตำแหน่งโหยวจี (เทียบเท่าผู้บังคับกองพัน) อาศัยไปกับเรือสินค้าเดินทางไปสืบเสาะข่าวเซียนหลัวที่อันหนันพร้อมราชโองการถึงกษัตริย์เซียนหลัว เพื่อมอบให้ม่อซื่อหลินเป็นคนติดต่อกับเซียนหลัว หรือถ้าไปด้วยตนเองถึงจ้านเจ๋อเวิ่น ก็มอบให้ผู่หลานนำเอาไปให้กษัตริย์เซียนหลัวและเอาหนังสือตอบกลับมาด้วย แต่สี่ฉวนกลับไปเสียชีวิตที่ลี่คุณ[-นครศรีธรรมราช(พ่อค้าจีนหรือชาวเรือจีนสมัยก่อน เชื่อว่าเซียนหลัว 暹罗(สยาม) อยู่ที่นครศรีธรรมราชลงไป)]  เหลือแต่นายทหารติดตามชื่อ “ม่ายเซิน” ที่รอดชีวิต

                        รูป : บันทึกของหม่าฮวนบันทึกเกี่ยวกับเซียนหลัวในช่วงราชวงศ์หมิง

            ๓. ขณะม่ายเซินเดินทางกลับกวางโจว ได้แวะเมือง “เหอเซียน” (ไทยเรียกพุทไธมาศ, เขมรเรียกบันทายมาศ, ปัจจุบันอยู่ในเขตเวียดนาม เรียกว่า “ห่าเตียน Hà Tiên trấn” จังหวัดเกียนซา) ซึ่งมี “ม่อซื่อหลิน”(ไทยเรียกว่า-พระยาราชาเศรษฐี) เป็นเจ้าเมือง  ม่อซื่อหลินเป็นคนมีชื่อเสียง ทำการค้ากับจีนมาโดยตลอดตั้งแต่รุ่นพ่อ(ม่อจิ่ว) จึงคุ้นเคยกันดีกับหลี่ซื่อเหยาข้าหลวงประจำมณฑลกวางตุ้งและกว่างซี ขณะที่ม่ายเซินแวะเมืองเหอเซียน(พุทไธมาศ) เจ้าจุ้ย เจ้าสังข์โอรสเจ้าฟ้าอภัย หลานพระเจ้าท้ายสระ ก็ได้มาอาศัยอยู่กับม่อซื่อหลิน (พระยาราชาเศรษฐี) เพื่อหลบภัย และถือโอกาสสะสมกำลังคิดการต่อต้านพระเจ้ากรุงธนบุรี  (ม่อซื่อหลินวางแผนตั้งเจ้าองค์นี้เป็นกษัตริย์สยาม แต่พระเจ้ากรุงธนบุรีกู้ชาติสำเร็จเสียก่อน ม่อซื่อหลินวางแผนกำจัดพระเจ้ากรุงธนบุรีหลายทาง ทั้งการทูตกับจีนไม่ให้จีนยอมรับกรุงธนบุรี การแย่งตัวเจ้านายราชวงศ์บ้านพลูหลวงมาเป็นพวกอีกหลายองค์ และให้บุตรเขยตนลอบสังหารพระเจ้ากรุงธนบุรีแต่แผนแตกเสียก่อน จึงถูกพระเจ้ากรุงธนบุรีตีกองทัพเรือของไห่เตียนจนพ่ายไป)

            เมื่อม่อซื่อหลินทราบข่าวจากม่ายเซินว่า ฮ่องเต้เฉียนหลงสั่งให้สืบเสาะเรื่องราวภายในอาณาจักรสยาม ม่อซื่อหลิน จึงได้ส่งหลินอี้และม่อหยวนเกา เดินทางไปพร้อมกับม่ายเซิน (ชิงสือลู่บอกว่าม่ายเซินมีหนังสือของพระเจ้ากรุงธนบุรีตอบกลับไปด้วย) พร้อมแผนที่ของสยามที่ม่อซื่อหลินสั่งให้ทำไว้ เพื่อรายงานให้หลี่ซื่อเหยาทราบ (ตรงนี้คิดว่าม่อซือหลินน่าถือโอกาสจะได้ให้ราชสำนักจีนสนับสนุนให้เจ้าจุ้ยเป็นกษัตริย์ที่หนีมาอยู่กับตนเอง  จึงให้ข้อมูลกับหลี่ซือเหยาว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นลูกจีนแถวมณฑลกวางตุ้ง หลบหนีเร่ร่อนไปอยู่ดินแดนชายทะเล จนได้เป็นขุนนางสยาม แล้วแย่งราชสมบัติจากเชื้อสายกษัตริย์ที่ถูกต้อง) หลี่ซือเหยาจึงรายงานต่อฮ่องเต้เฉียนหลงตามข้อมูลที่ม่อซื่อหลินบอกอีกต่อหนึ่ง  ซึ่งเฉียนหลงได้ตำหนิกันเอินซื่อ (พระเจ้ากรุงธนบุรี) อย่างรุนแรงว่า เป็นผู้ฉกฉวยโอกาสตั้งตนเป็นใหญ่ และหวังได้รับตราตั้งเป็นกษัตริย์จากราชสำนักจีน (ข้อ ๕๔ หน้า ๑๓๙)  [ตรงนี้แปลกมาก ทั้งๆที่สี่ฉวนและม่ายเซิน และม่อซื่อหลินยังไม่ได้เข้ามายังอยุธยา แล้วไปได้หนังสือจากพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ขอให้จีนแต่งตั้งตนเองเป็นกษัตริย์มาจากที่ใด  เข้าใจว่าพวกม่อซื่อหลินและเจ้าจุ้ยคงทำเอกสารแอบอ้างเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี เพื่อให้ขอให้แต่งตั้งเป็นกษัตริย์ จะได้อ้างความชอบธรรมมากกว่า แต่เผอิญเฉียนหลงไม่เห็นด้วย จึงอดไป ] เพราะม่อซื่อหลินเพิ่งเจอกับพระเจ้ากรุงธนบุรีโดยตรง เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีมาตีเมืองไห่เตียน(พุทไธมาศ)แตก เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๔ แต่ชิงสือลู่กลับไม่มีบันทึกถึงเรื่องนี้ แสดงว่าม่อซือหลินปกปิดข่าวไม่ให้ราชสำนักจีนรู้]

               หลังจากที่หลินอี้และม่อหยวนเกาเข้าเฝ้าแล้ว ต่อจากนั้นม่อซื่อหลินจึงอาสาเป็นคนกลางของจีนติดต่อกับเซียนหลัว ?  เมื่อเฉียนหลงต้องการรู้ข้อมูลเร่งด่วนเกี่ยวกับเซียนหลัวเพื่อรบแตกหักกับพม่า  จึงให้หลี่ซือเหยามีหนังสือถึงม่อซื่อหลินมอบราชโอการส่งต่อให้เซียนหลัว เพื่อช่วยสกัดจับทหารพม่าที่แตกทัพหนีมาทางนั้น  (ที่จริงอยากให้ไทยช่วยตีกระหนาบพม่า เพราะจีนไม่เคยรบชนะพม่าจึงต้องการให้ไทยช่วย) และสั่งให้หลี่ซื่อเหยา “คัดเลือกนายทหารข้าราชบริพารที่ปรีชาสามารถและซื่อสัตย์เดินทางไปเหอเซียน(พุทไธมาศ)โดยด่วน เพื่อสอบถามม่อซื่อหลินถึงสภาพการณ์ที่แท้จริงระยะนี้ของเซียนหลัว ขอให้เขาตอบมาอย่างละเอียดด้วย"  (ตรงนี้ก็แสดงว่าจีนไม่เคยได้ติดต่อกับสยามโดยตรง จีนรู้จักสยามผ่านคนอื่นเสมอ) หลี่ซือเหยาได้มอบหมายให้ไช่ฮั่น เป็นผู้นำหนังสือไปมอบให้ม่อซื่อหลิน แต่รอหลายเดือนเฉียนหลงก็ยังไม่ได้รับข่าว จึงสอบถามหลี่ซือเหยา  หลี่ซื่อเหยาทูลตอบว่า “...การเดินทางจากกวางตุ้งไปถึงเซียนหลัวประมาณ ๑๐,๓๐๐ ลี้ ต้องรอลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ในเดือน ๓ ปีหน้า เรือจึงจะสามารถแล่นกลับมาได้ ขณะนี้ยังไม่สามารถกำหนดเวลาแน่นอนในการทราบข่าวคราวได้” 
          ครั้นล่วงมาถึงเดือน ๖ ของปีถัดมา ล่วงเลยเวลาที่เรือต้องกลับตามที่หลี่ซื่อเหยากล่าวไว้เป็นเวลาหลายเดือน ก็ยังไม่มีข่าวคราวจากม่อซื่อหลินแต่อย่างใด ทำให้ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงตำหนิหลี่ซื่อเหยาอย่างรุนแรงถึงขนาดมีรับสั่งให้หลี่ซื่อเหยา “ต้องปรับปรุงแก้ไขการทำงาน”  ไช่ฮั่นได้รับคำสั่งให้เดินทางตั้งแต่เดือน ๗ ของปีที่ ๓๔(พ.ศ. ๒๓๑๒) แห่งรัชกาลเฉียนหลง แต่เดินทางถึงเหอเซียน(พุทไธมาศ) ในวันที่ ๒๙ เดือนอ้ายของปีถัดไปใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งปี  ไช่ฮั่นอ้างว่า”...เมื่ออยู่กลางทะเลถูกลมพัดเสากระโดงขาด หางเสือเรือหักจึงเสียเวลาการเดินทาง…” แต่เฉียนหลงไม่เชื่อ (ข้อ ๖๑ หน้า ๑๕๐) จึงสั่งให้หลี่ซื่อเหยาสืบสวน ปรากฏว่าลูกเรือและทหารที่ติดตามไช่ฮั่นบอกว่า “..ไช่ฮั่นมีความหวาดกลัวการท่องทะเลเริ่มตั้งแต่วันที่ออกเดินทางจากกวางตุ้ง จึงอ้างว่า “เกิดลมพายุซึ่งเป็นเท็จเพื่อหาเหตุพัก หลังจากนั้นก็แวะจอดพักตลอดทาง แม้กระทั่งขึ้นฝั่งพักแรมชั่วคราวก็มี จึงทำให้เสียเวลา..” นอกจากรายงานของไช่ฮั่น ม่อซื่อหลินยังมีหนังสือถึงหลี่ซือเหยาให้กราบทูลฮ่องเต้เฉียนหลงว่า ขณะนี้ได้นัดหมายกับหัวหน้าเผ่าชนเมืองต่างๆ แถบชายฝั่งทะเลของเซียนหลัว เตรียมใช้กำลังโจมตีกันเอินซื่อ เพื่อยกเจ้าจุ้ยทายาทของกษัตริย์อยุธยาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ขอให้ทางราชสำนักจีนสนับสนุนด้วย หากดำเนินการสำเร็จก็จะขอให้ช่วยสกัดจับโจรพม่าม่อซื่อหลินก็คงจะดำเนินการให้อย่างดี หรือหากตัวเองทำไม่ได้ก็ขอเป็นธุระจัดส่งหนังสือถึงเซียนหลัวต่อไป

             หลังจากไช่ฮั่นต้องโทษ  ม่อซื่อหลินได้มีหนังสือถึงหลี่ซือเหยาขอให้กราบทูลเฉียนหลงยกโทษให้ไช่ฮั่นด้วย (ข้อ ๖๒ หน้า ๑๕๓) จึงถูกหลี่ซือเหยาตำหนิ (แสดงว่าม่อซือหลินกับไซ่ฮั่น และม่ายเซิน สมคบคิดกันทำบางอย่างแน่นอน)
            ชิงสือลู่ บันทึกว่า เมื่อไช่ฮั่นส่งมอบสาสน์ของราชสำนักชิงให้แก่ม่อซื่อหลิน ม่อซือหลินและไช่ฮั่น เห็นตรงกันว่า ต้องนำเรื่องนี้แจ้งพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงจะสามารถบรรลุถึงภารกิจในการสกัดจับกุมพม่า  ถ้าไช่ฮั่นพูดจริง ก็ถือว่าเอกสารฉบับนี้ จึงเป็นหนังสือของราชสำนักจีนฉบับแรกที่มีถึงพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยฝากไปกับเรือสินค้าของพ่อค้าชาวจีน และต่อมาราชสำนักจีนได้รับมอบเชลยพม่าจากเซียนหลัวพร้อมหนังสือตอบจากพระเจ้ากรุงธนบุรี (ข้อ ๖๓ หน้า ๑๕๔) ที่ฝากไปกับเรือสินค้าชาวจีนไปถึงม่อซื่อหลิน เพื่อส่งไปยังจีนต่อไป เชลยพม่าเดินทางไปถึงเมืองจีนในเดือน ๘ ปีที่ ๓๖ แห่งรัชกาลเฉียนหลง (พ.ศ.๒๓๑๔) [ตรงนี้แปลกตรงที่ถ้าพระเจ้ากรุงธนบุรีส่งหนังสือฉบับนี้ไปจริง  แล้วทำไมพงศาวดารสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีกลับบอกว่าพระองค์ยกทัพไปตีเมืองไห่เตียนของม่อซื่อหลินแตกในปี ๒๓๑๔  แต่ม่อซื่อหลินหนีไปได้  ส่วนพระองค์ก็จับครอบครัวม่อซื่อหลินและเจ้าจุ้ยมายังกรุงธนบุรี และต่อมาก็ประหารชีวิตเจ้าจุ้ย  พระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งขุนพิพิธวาทีเป็นพระยาราชาเศรษฐี ว่าราชการเมืองพุทไธมาศ ภายหลังม่อซื่อหลินก็กลับมาตีเมืองคืนได้ครั้งหนึ่ง ก่อนถูกขุนพิพิธวาทีตีคืน แต่สองปีต่อมา (พ.ศ.๒๓๑๗) พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเกรงว่าขุนพิพิธวาทีอาจเป็นอันตรายจึงเรียกตัวกลับธนบุรี พร้อมญวนเข้ารีตจำนวนหนึ่ง  ม่อซื่อหลินจึงกลับมาครองไห่เตียน(พุทไธมาศ)อีกครั้ง]
          แล้วยิ่งแปลกเข้าใหญ่ (ข้อ ๖๕ หน้า ๑๕๖) เมื่อชิงสือลู่บันทึกว่า...วันจี่โฉว เดือนแปด ปีที่ ๓๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง (๒๓ กันยายน ค.ศ.๑๗๗๒/พ.ศ.๒๓๑๕) หลี่ซือเหย่าทูลรายงานเฉียนหลงว่า  ม่อซื่อหลินจัดให้เจ้าหน้าที่นำหนังสือรายงาน และส่งตัวเฉินจุ้นชิง คนอำเภอไห่เฟิง มณฑลกวางตุ้งพร้อมครอบครัวกลับภูมิลำเนา ถูกเฉียนหลงตำหนิว่า คนพวกนี้หลบหนีออกนอกประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้หลี่ซือเหยาสืบสวนและลงโทษขุนนางตามชายแดนที่พวกเหลียงส่างซ่วนกับพวกเดินทางออกไปได้   [มีข้อสงสัยตรงนี้ว่า ถ้าม่อซื่อหลินถูกพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบได้ในปี ๒๓๑๔ แล้วทำไมม่อซื่อหลินยังมีหนังสือไปรายงานราชสำนักจีนในปี ๒๓๑๔ ได้ล่ะ  ข้อสงสัยที่สอง ในเมื่อเอกสารเมืองเถ่งไฮ่ของจีนและนักประวัติศาสตร์ไทยเชื่อว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีมาจากเมืองจีน แล้วทำไมพระเจ้ากรุงธนบุรีถึงจับเฉินจุ้นชิง คนบ้านใกล้เรือนเคียงส่งกลับจีนด้วยล่ะ]

           ซึ่งตรงนี้ แสดงว่าหลี่ซื่อเหยา ก็คงเริ่มรู้สึกถึงข้อมูลที่ม่อซื่อหลินใส่ความสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีว่า “พินิจพิจารณาเบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้ คงจะเป็นว่าเมื่อสยามกรุงแตก เจาจุ้ย (เจ้าจุ้ย) พระราชนัดดาอันเป็นรัชทายาทได้หลบไปถึงเมืองนั้น มีหรือที่ม่อซื่อหลินจะไม่ฉวยโอกาสเพื่อคิดการใหญ่

           ดังนั้น หลี่ซื่อเหยาจึงเริ่มแคลงใจ ไม่เชื่อถือถ้อยคำของม่อซื่อหลินเหมือนเคย ราชสำนักชิงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงท่าทีต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ไม่ได้เย็นชาเมินเฉยเช่นแต่กาลก่อน และมิได้ก้าวก่าย ในกรณีความขัดแย้งกันระหว่างสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกับม่อซื่อหลิน ดังที่จักรพรรดิเฉียนหลงมีกระแสรับสั่งว่า “อันเซียนหลัวตั้งอยู่ ณ ทะเลอันไกลโพ้น มีระยะทางห่างไกลย่อมจะยากลำบากต่อการใช้กำลัง เมื่อผิ่เอียซิน ( พระยาสิน) ใช้พลังอันดุดันเข้าช่วงชิงราชบัลลังก์และเกิดการรบพุ่งแย่งชิงกัน ก็สมควรที่จะถือว่าเป็นเรื่องของนอกแคว้น ถ้าหากว่าม่อซื่อหลินซึ่งเป็นเมืองเหอเซียน ( พุทไธมาศ ) มีความประสงค์จะช่วยฟื้นฟูราชบัลลังก์ ก็ชอบที่จะปล่อยให้กระทำการตามกำลังความสามารถตามลำพัง โดยไม่จำเป็นที่จะไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
          แต่หลังจากเหตุการณ์นี้  ก็ไม่ปรากฏในบันทึกชิงสือลู่ว่าม่อซื่อหลินได้จัดส่งเชลยพม่าให้แห่งราชสำนักจีนอีก  กลับปรากฏในบันทึกชิงสือลู่ว่า ในวันอี่เหมา เดือนเก้า ปีที่สี่สิบแห่งรัชศกเฉียนหลง (๔ ตุลาคม ค.ศ.๑๗๗๕ /พ.ศ.๒๓๑๘) หลี่ซือเหยาได้รายงานว่า “เฉินว่านเซิง พ่อค้าเดินเรือนำหนังสือจากเจิ้งเจาแห่งเซียนหลัว(อาจเป็นม่อซือหลินเองก็ได้) มามอบให้ แจ้งว่าปราบเผ่าต่าหม่าได้แล้ว และขอส่งเจ้าเฉิงจางกับพวกจำนวน ๑๙ คน ซึ่งเป็นทหารยูนนานที่ตกเป็นเชลยศึกพม่า พร้อมอาสาไปรบกับอ่าหว่า โดยขอให้จีนช่วยขายกำมะถัน ๕๐ หาบ และกระทะเหล็กจำนวน ๕๐๐ ใบ  และปืนฉ่งจือแก่เซียนหลัวด้วย” ดังนั้น ถ้าถือเอาบันทึกชิงสือลู่เป็นหลัก ก็คงอาจกล่าวได้ว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีติดต่อกับราชสำนักจีนโดยตรงครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๓๑๘  ผ่านพ่อค้าเดินเรือชาวจีนส่งหนังสือแทนก็ว่าได้  แต่เรื่องนี้กลับไม่ปรากฏในพงศาวดารไทยสักฉบับ

และในวันติงเว่ย เดือนสิบสอง ปีที่สี่สิบเอ็ดแห่งรัชศกเฉียนหลง (๑๘ มกราคม ค.ศ.๑๗๗๗ /พ.ศ.๒๓๒๐) ตามที่หลี่ซือเหยารายงานว่า (ข้อ ๖๗ หน้า ๑๖๐) “พ่อค้าเดินเรือชื่อม่อกว่างอี้ ได้นำหยางเฉาพิ่งกับพวก ๓ คน เป็นพ่อค้ายูนนานกลับคืนภูมิลำเนา โดยเจิ้งเจาฝากมากับเรือโดยสาร พร้อมหนังสือรายงาน และขอซื้อกำมะถันอีก ๑๐๐ หาบ” [ตรงนี้แปลกที่ถ้าพระเจ้ากรุงธนบุรีมีเชื้อสายชาวจีน  ทำไมพระองค์จึงขยันจับชาวจีนที่ลอบหนีออกจากจีนไปค้าขายที่ประเทศพม่าด้วย ไม่สงสารชาวจีนที่เป็นเชื้อสายเดียวกับพระองค์บ้างหรือ]  

ต่อมาในวันจี่โฉว เดือนห้า ปีที่สี่สิบสองแห่งรัชศกเฉียนหลง (๒๙ มิถุนายน ค.ศ.๑๗๗๗ /พ.ศ.๒๓๒๐) หยางจิ่งซู ทูลว่า “การจะติดต่อกับเซียนหลัวนั้น เดิมหลี่ซือเหยาจะจัดส่งให้ม่อซื่อหลิน ฝากต่อให้เซียนหลัว แต่ตอนนี้ไม่มีใคร จึงต้องรอพ่อค้าเดินเรือไป” (ตรงนี้ยิ่งชัดเจนว่า จนถึงปี พ.ศ. ๒๓๒๐ ราชสำนักจีนไม่ได้ติดต่อกับพระเจ้ากรุงธนบุรีโดยตรง) (ข้อ ๖๘หน้า ๑๖๑)  และในวันอี่ไฮ่ เดือนเจ็ด ปีที่สี่สิบสองแห่งรัชศกเฉียนหลง (๑๔ สิงหาคม ค.ศ.๑๗๗๗ /พ.ศ.๒๓๒๐) เฉียนหลงสั่งให้จุนจีต้าเฉิน ฝากส่งตราตั้งมากับพ่อค้าเรือชาวจีนมอบให้กับเจิ้งเจา(พระเจ้ากรุงธนบุรี) และกล่าวว่า “อดีตรัชทายาทสกุลเจ้าแห่งเซียนหลัว ได้รับตราตั้งจากจีนมาตลอด” (ข้อ ๖๙ หน้า ๑๖๑) ตรงนี้แปลกที่ทำไมพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาทุกฉบับไม่เคยกล่าวถึงเลย อาจจะมีคนแย้งว่า เพราะราชสำนักอาจจะอาย จึงต้องปิดบัง ก็ต้องแย้งว่าแล้วทำไมพระราชพงศาวดารกล่าวถึงคำพูดพระราชสาส์นพวกชาติตะวันตกได้อย่างละเอียดล่ะ

ในขณะเดียวกัน ในวันปิงซี เดือนเจ็ด ปีที่สี่สิบสองแห่งรัชศกเฉียนหลง (๒๕ สิงหาคม ค.ศ.๑๗๗๗ /๒๓๒๐) พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ส่งทูตอี๋จำนวน ๓ คน พร้อมส่งตัวชาวพม่า มีอ่ายเฮอ อ่ายจั่วกับพวกจำนวน ๖ คน (จะถือว่าเป็นครั้งแรกที่พระเจ้ากรุงธนบุรีติดต่อกับจีนโดยตรงอย่างเป็นทางการ โดยไม่ผ่านม่อซือหลิน หรืออาจจะไม่ใช่พระเจ้ากรุงธนบุรีได้หรือไม่)  ในบันทึกชิงสือลู่(ข้อ ๗๐ หน้า ๑๖๒) กล่าวว่า “เฉียนหลงบอกว่าหนังสือแจ้งที่ร่างแทนหลี่ซือเหยาไปถึงเจิ้งเจา ในครั้งก่อนๆนั้น ความจริงมีเจตนาหยั่งเชิงเจิ้งเจาและเซียนหลัวมากกว่า ดังนั้นเมื่อเจิ้งเจาส่งรายงานมาด้วยตนเอง และจะส่งราชบรรณาการมาเหมือนครั้งก่อน จึงแสดงว่าเจิ้งเจามีความนบนอบจริงใจ” ตรงนี้แสดงว่าเฉียนหลงปี ๒๓๒๐ ไม่ไว้ใจม่อซื่อหลินแล้ว และการที่เจิ้งเจาส่งหนังสือผ่านพ่อค้าเรือถือว่าไม่เคารพพระองค์ (คิดว่าไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น) คราวนี้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาเป็นทางการ แสดงว่ายอมพึ่งจีนจริง จึงพร้อมให้ตราตั้งเป็นกษัตริย์แก่เจิ้งเจาได้เลย   แต่ตรงนี้ก็ชวนให้สงสัยว่าในเมื่อบันทึกชิงสือลู่ บอกว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีส่งฑูตไปเป็นทางการ  ทำไมไม่ฝากให้ทูตนำกลับมาด้วย  กลับบอกว่าได้ฝากส่งไปกับพ่อค้าเรือแล้วเมื่อเดือนแปด แล้วคาดว่าหนังสือตอบกลับของเจิ้งเจาจะมาถึงระหว่างเดือนสาม-เดือนสี่  (ชิงสือลู่ ข้อ ๗๑ หน้า ๑๖๕ วันอี่ซือ เดือนสอง ปีที่สี่สิบสามแห่งรัชศกเฉียนหลง (๑๒ มีนาคม ค.ศ.๑๗๗๘ /พ.ศ.๒๓๒๑)    

แต่วันอี่ไฮ่ เดือนแปด ปีที่สี่สิบสามแห่งรัชศกเฉียนหลง (๘ ตุลาคม ค.ศ.๑๗๗๘ /พ.ศ.๒๓๒๑) ชิงสือลู่บันทึกว่า กุ้ยหลิน รายงานว่า “เจิ้งเจาทำหนังสือขอยืดเวลาถวายเครื่องราชบรรณาการฝากมากับเรือพ่อค้า  และสาระก่อน-หลังขัดแย้งกัน  กรณีเจิ้งเจาความที่แจ้งมาครั้งแล้วครั้งเล่า จะเท็จจริงประการใดก็ยังเชื่อถือทีเดียวไม่ได้” (ข้อ ๗๓ หน้า ๑๖๖) ทำไมครั้งที่แล้วส่งทูตมาโดยตรง แต่ทำไมครั้งนี้กลับมักง่ายฝากส่งมากับเรือพ่อค้าล่ะ  ตรงนี้แสดงว่า มีการแอบอ้างพระเจ้ากรุงธนบุรีทำหนังสือถึงราชสำนักจีนเป็นแน่

ในวันเกิงเซิน เดือนเจ็ด ปีที่สี่สิบหกแห่งรัชศกเฉียนหลง (๘ ตุลาคม ค.ศ.๑๗๘๑ /พ.ศ.๒๓๒๔) บันทึกชิงสือลู่(ข้อ ๗๔ หน้า ๑๖๘-๑๖๙) บันทึกว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี จะเข้ามาขอถวายเครื่องราชบรรณาการแน่นอน  และจะขอใบอนุญาตไปค้าขายกับเซี่ยหมิง, หนิงปอ และที่อื่นๆ ด้วย” แต่ทางราชสำนักจีนขอให้นำกลับคืนไป เพราะไม่ได้ตั้งใจมาคำหับเฉียนหลงโดยตรง  เพราะมีของบรรณาการที่เตรียมมอบให้กับกรมลี่ปู้ สำนักงานข้หลวงใหญ่กวางต่ง ที่ว่าการกว่างตง นายห้างต่างๆ  และยังขอให้ทางจีนช่วยขายสินค้าแลกเป็นเงินใช้จ่ายระหว่างเดินทางของทูต  ขุนนางจีนไม่พอใจมาก  และขุนนางจีนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมเซียนหลัวจึงรู้ว่าเซี่ยหมิงและหนิงปอจะมีพ่อค้าที่สามารถไปค้าขายได้ที่ญี่ปุ่น  แต่เมื่อตรวจดูเรือที่บรรทุกสินค้าเข้ามาด้วย พบว่าเป็นเรือของพวกอำเภอเฉิงไห่ และซินฮุ่ย แสดงว่าต้องมีพวกพ่อค้ายุยงเซียนหลัวแน่ 

บันทึกชิงสือลู่ ระบุว่า ต่อมาทางจีนสืบสวนพบว่า “ก่อนที่คณะทูตจากกรุงธนบุรีจะเดินทางไปถึง ได้มีเรือบรรทุกเครื่องราชบรรณาการจำนวน ๒ ลำ ไปถึงอำเภอหนานไฮ่ (ปัจจุบันคือเมืองกวางเจา) มณฑลกวางตุ้งเมื่อเดือน ๒ โดยนำพระราชสาสน์มา ๒ ฉบับ  พระราชสาสน์ฉบับหนึ่งกราบทูลว่า ได้จัดส่งทูตมาถวายเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งมีช้างพลายและช้างพังอย่างละหนึ่งเชือกและสินค้าพื้นเมือง จึงขอให้ช่วยกราบบังคมทูลแทนเพื่อทรงทราบ แต่ท้ายพระราชสาสน์กราบทูลว่า  “แผ่นดินสยามเพิ่งจะสงบราบคาบ ท้องพระคลังร่อยหรอ การจะสร้างพระนครขึ้นใหม่จึงขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีสินค้าพื้นเมือง ประสงค์จะปล่อยเรือบรรทุกไปขาย ณ เมืองเซี่ยเหมิน หนิงปอ จึงขอได้โปรดออกใบอนุญาตด้วย  ขออนุญาตให้นายห้างช่วยจ้างต้นหนแล่นเรือไปค้าขายที่ญี่ปุ่น ฯลฯ” 

และพระราชสาสน์อีกฉบับหนึ่งกราบทูลว่า “เรือที่บรรทุกสิ่งของเครื่องบรรณาการมี ๔ ลำ เรือสินค้า ๗ ลำ และมีฝาง งาช้าง นอแรดเป็นสิ่งของนอกบรรณาการ  ส่วนฝางและไม้แดงขอมอบให้กระทรวงพิธีการ สำนักข้าหลวง และของขวัญที่มอบให้นายห้างต่างๆ ด้วย ขออนุญาตให้นำสินค้านอกจากนั้นขายไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคณะทูต นอกจากนั้น ยังได้กล่าวถึงว่าขอซื้อถาดทองแดง เตาทองแดง อิฐ และขอปล่อยเรือเปล่ากลับไปก่อนด้วย”

สรุปได้ว่า เรือของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เข้ามาถวายเครื่องราชบรรณาการมี ๑๑ ลำ เป็นของชาติอื่นๆ ๒ ลำ นอกนั้นเป็นเรือของพ่อค้ามณฑลกว่างตงเอง  เนื่องจากเซียนหลัวเคยขออนุญาตค้าขายกับจีน จึงมีพวกพ่อค้าจีนติดต่อกัน จึงเล่าเรื่องการค้ากับพวกเจ้อเจียง ฝูเจียน หนิงปอ และเซี่ยหมิงให้เซียนหลัวฟัง แต่พวกเซียนหลัวและชาวบ้านไม่รู้ว่ามีข้อห้าม  แต่เมื่อมีหนังสือทูลฮ่องเต้เฉียนหลง พระองค์กลับให้รับเครื่องราชบรรณาการเอก และงานช้าง นอแรดเท่านั้น ส่วนอื่นให้เขาหาทางจำหน่ายที่กว่างตงด้วยตนเอง (วันซินโฉ่ว เดือนเก้า ปีที่สี่สิบหกแห่งรัชศกเฉียนหลง (๑๘ ตุลาคม ค.ศ.๑๗๘๑ /พ.ศ.๒๓๒๔)  ตรงนี้อาจชี้ให้เห็นว่า มีขุนนางบางคนแอบอ้างพระเจ้ากรุงธนบุรีออกไปค้าขายส่วนตัวเอง  หรือไม่ก็ตั้งใจจะทำลายความน่าเชื่อถือพระเจ้ากรุงธนบุรีก็เป็นได้ (ถ้าบันทึกนี้เป็นจริง ใครเป็นคนคุมกรมเจ้าท่า หรือพระคลังยุคนี้ ?)  

วันกุยไฮ่ เดือนอ้าย ปีที่สี่สิบเจ็ดแห่งรัชศกเฉียนหลง (๙ มีนาคม ค.ศ.๑๗๘๒ /พ.ศ.๒๓๒๕) พระเจ้ากรุงธนบุรีแต่งทูตไปถวายพระราชสาส์น (ตรงนี้แปลกที่ทำไมพระเจ้ากรุงธนบุรี ยังไม่ใช้ตราโลโตที่จีนมอบให้ ประทับตราไปด้วย ทั้งๆที่ชิงสือลู่บอกว่าได้มอบให้กับเจิ้งเจาเมื่อปี ๒๓๒๑ แล้ว) พร้อมของพื้นเมืองเป็นเครื่องราชบรรณาการอย่างเป็นทางการ (ข้อ ๗๖-๗๗ หน้า ๑๗๒) โดยมีพระยาสุนทรอภัย-ราชทูต หลวงพิไชยเสน่หา-อุปทูต หลวงพจนาพิมล-ตรีทูต ขุนพจนาพิจิตร-ท่องสื่อ และหมื่นพิพิธวาจา-ปันสื่อ เริ่มออกเดินทางเดือน ๕ ถึงกวางตุ้งเดือน ๗ กว่าจะได้เฝ้าฮ่องเต้เฉียนหลง อีก ๖ เดือนต่อมา  พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงใช้ชื่อในพระราชสาส์นว่า "สมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุธยา" และเรียกจักรพรรดิเฉียนหลงว่า "สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้ง" จักรพรรรดิเฉียนหลงทรงต้อนรับคณะทูตไทยเป็นอย่างดี พระราชทานเลี้ยงโต๊ะที่พระตำหนักซัมเกาสุ่นฉาง ต่อมาเดือนเมษายนพระยาสุนทรอภัยตาย จีนทำพิธีเซ่นไหว้ในวันซินโฉ่ว เดือนสาม (๑๖ เมษายน) และเป็นครั้งสุดท้ายของการติดต่อจีนของพระเจ้ากรุงธนบุรีแบบเป็นทางการ       

ต่อมาเดือน ๗ หลวงพิชัยเสน่หาอุปทูตได้นำคณะทูตกลับเมืองไทย เมื่อคณะทูตกลับถึงเมืองไทย ปรากฎว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ถูกสำเร็จโทษ เปลี่ยนแผ่นดินเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ วัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างที่ซื้อกลับมา จึงได้นำมาใช้ในการสร้างพระราชวังแห่งใหม่

                               

        รูป พระราชสาสน์สุพรรณบัฏและเครื่องภาชนะของพระเจ้าพระมหานครศรีอยุธยา                                          (พระเจ้ากรุงธนบุรี ) -ปัจจุบันอยู่ที่ไทเป

.

สรุปเอกสาร-หลักฐานจากประเทศจีน
            หลักฐานเรื่องพระราชประวัติส่วนพระองค์นั้นมีปรากฏเพียงหลักฐานเดียว คือ ปรากฏในร่างพระราชพงศาวดารราชวงศ์ชิง  หัวข้อประวัติเสียนหลอ(สยาม) ที่ต้วน ลีเซิง อ้างถึงในหนังสือ “พลิกต้นตระกูลไทย” กล่าวสรุปถึงเหตุการณ์เมื่อคราวพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯให้จัดส่งคณะทูตบรรณาการเดินทางไปเจริญพระราชไมตรียังราชสำนักจีนในปีพ.ศ.๒๓๒๔ ว่า  “...เมื่อครั้งอาอิ๋วถีเอีย(อยุธยา)กรุงแตก (ทำไมครั้งนี้กลับไม่ใช้คำว่าอยุธยา คือ "เซียนหลัว" ล่ะ) “เจิ้งเจา” (พระเจ้ากรุงธนบุรี) ซึ่งเป็นขุนนางเสียนหลออยู่ในระหว่างยกทัพไปรบกับกัมพูชา  ครั้นเมื่อทราบข่าวกรุงแตกก็นำทัพกลับและทำการรบกับพม่าหลายครั้งหลายคราวรวมเวลาทำสงครามอยู่หลายปีแต่เมื่อพม่าต้องรบกับจีนเจิ้งเจา จึงถือโอกาสที่พม่าอ่อนกำลังเข้าตีจนพม่าแตกพ่ายไปและกู้ชาติได้สำเร็จ  เจา(เจิ้งเจา)เป็นชาวจีนกวางตุ้งบิดาทำการค้าขายที่เสียนหลอให้กำเนิดเจา(เจิ้งเจา)ครั้นเมื่อเติบใหญ่ปรากฏว่าเป็นผู้มีความเก่งกาจสามารถจึงได้เข้ารับราชการที่เสียนหลอ   เมื่อตีทัพพม่าแตกแล้ว ชาวเมืองจึงเห็นพร้อมกันอัญเชิญให้เป็นกษัตริย์ย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่ผันกู่ (บางกอก) ได้ปราบปรามข้าศึกและให้ความร่มเย็นแก่ราษฎรในการปกครองอาณาจักรจึงมีความมั่นคงเป็นลำดับ เมื่อปีที่  ๔๖(หมายถึงปีที่ ๔๖ แห่งรัชกาลเฉียนหลงซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๓๒๔)

สำหรับชิงสือลู่ที่กล่าวถึงเรื่องราวพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น  ได้จดบันทึกขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้เฉียนหลง  แบบคร่าวๆ  แต่มาเรียบเรียงบันทึกในสมัยฮ่องเต้เกาจงตามลำดับเหตุการณ์ หลังจากฮ่องเต้เฉียนหลงสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว   ชิงสือลู่มีหลายหมวดมาก เป็นการรวมเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ชิงและฮ่องเต้ (เฉพาะรัชสมัยของ “คังซี”กับ “เฉียนหลง” ๒ พระองค์นี้ ใช้เวลาครองราชย์รวมกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว) และได้เริ่มรวบรวมจัดทำใหม่อย่างจริงจัง หลังจากเริ่มศักราชสาธารณรัฐจีน ในปี ค.ศ.1912 (พ.ศ.๒๔๕๕) ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่สำเร็จเรียบร้อยดี  เพราะเอกสารส่วนใหญ่เจียงไคเช็คขนไปไว้ที่ไต้หวัน  นักวิชาการที่รวบรวมจัดทำพงศาวดารราชวงศ์ชิง คงประมวลเอาจากเอกสารจากไทยที่มีไปยังราชสำนักจีน มิได้รวบรวมจากบันทึกหรือเอกสารจีนของจีนโดยตรง เพราะเอกสารระหว่างฮ่องเต้เฉียนหลงกับอาณาจักรเสียนหลอ ตั้งแต่พระเจ้ากรุงธนบุรี จนถึงสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ของไทยนั้น ยังจัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานพระราชวังแห่งชาติไทเป ประเทศไต้หวัน ฉะนั้นพงศาวดารราชวงศ์ชิงที่จะจัดทำขึ้น  ก็คงเป็นแค่”ต้นร่าง”ที่ยังไม่มีการตรวจทานแก้ไข(ชำระ)ใหม่แต่อย่างใด 

หลักฐานสำคัญที่ทำให้ทราบได้ทันทีว่าฮ่องเต้เฉียนหลงและเหล่าข้าราชการจีน ไม่ทราบพระราชประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรีเลยคือ ”พระราชสาส์น” ของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ที่มีไปถึงฮ่องเต้เฉียนหลงฉบับแรกที่ผลัดแผ่นดินใหม่ ดังนี้ “...ครั้นถึงเดือน ๕ จ.ศ. ๑๑๔๔ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าให้หลวงอภัยชลทีและขุนภักดีกัลป์ยา อัญเชิญพระราชสาสน์ แจ้งข่าวการผลัดแผ่นดินในกรุงสยามไปพระราชทานข้าหลวงมณฑล กวางตุ้งและกวางสี ใจความว่า  “...เจิ้งหัว(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ประมุขแห่งประเทศเสียนหลอขอถวายบังคม ด้วยเหตุที่ได้จัดส่งเรือมารับราชทูตพร้อมกับถวายรายงานเรื่องพระราชบิดาถึงแก่สิ้นพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้ารำลึกถึงด้วยความเสียใจว่า เมื่อปีที่แล้วเจิ้งเจา(พระเจ้ากรุงธนบุรี) พระราชบิดาอดีตประมุขของประเทศผู้ทรงล่วงลับไปแล้วได้จัดส่งราชทูตเดินทางโดยทะเลมาถวายเครื่องราชบรรณาการแด่ราชสำนักแห่งสรวงสวรรค์ ครั้นถึงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ เรือฟู่กัง(เรือนอกบรรณาการ)เดินทางกลับเสียนหลอโดยมีเจ้าหน้าที่ราชบรรณาการ อันมี(พระยาราชสกุล นายศักดิ์ และนายเวรมหาดเล็ก) พร้อมบุคคลอื่นเป็นผู้นำกลับ”

ตรงนี้ตรงกับบันทึกชิงสือลู่ (ข้อ ๗๘ หน้า ๑๗๓) ว่า...ในวันซินโฉ่ว เดือนเก้า ปีที่สี่สิบเจ็ดแห่งรัชศกเฉียนหลง (๑๓ ตุลาคม ค.ศ.๑๗๘๒/พ.ศ.๒๓๒๕) เฉียนหลงได้รับรายงานจากซ่างอานว่า “เจิ้งหัว(ร.๑) จะเข้ามาถวายเครื่องราชบรรณาการ เนื่องจากเจิ้งเจาผู้เป็นพ่อ (พระเจ้ากรุงธนบุรี) ได้สิ้นพระชนม์แล้ว” 

ส่วนพระราชพงศาวดารไทย สมัย ร.๑ กล่าวว่า วันซินไฮ่ เดือนห้า ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง (วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕)  รัชกาลที่ ๑ มีหนังสือถึง “จงตกหมูอี” ทั้งสอง ให้กราบทูลต่อเฉียนหลงว่าจะขอถวายเครื่องราชบรรณาการ และบรรยายว่า “ในวาระที่เจิ้งเจาจะสิ้นพระชนม์ ได้ทรงสั่งเสียให้ “หัว”(เจิ้งหัว-ร.๑) ขอให้มีความสุขุมรอบคอบอย่าได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงโบราณราชประเพณี และให้ยึดถือผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นใหญ่ตลอดทั้งให้เคารพนบน้อมและเชื่อฟังราชสำนักแห่งสวรรค์เป็นสำคัญ  และหลังจากที่พระราชบิดาสิ้นพระชนม์แล้วและ “หัว”(สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ)ได้ทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองดินแดนภายใต้การปกครองจึงสงบเรียบร้อยอยู่รอดปลอดภัย ครั้นเมื่อคำนึงถึงโบราณราชประเพณีว่าเสียนหลอเป็นประเทศในอาณัติจึงสมควรจะได้ถวายรายงานถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น   บัดนี้ได้จัดให้หลวงอภัยชลทีนำส่งสาสน์ถึงท่าน พร้อมทั้งได้จัดให้นายสมุทรวาณิชนำเรือมารับทูตบรรณาการ(หมายถึงคณะทูตสยามของพระพิชัย)กลับประเทศ ต่อเมื่อถึงกำหนดวาระการถวายเครื่องราชบรรณาการ”เจิ้งหัว”จักได้เตรียมสิ่งของพื้นเมืองอย่างดีถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการตามประเพณีปฏิบัติอย่างแน่นอน  ทั้งนี้เพื่อหวังให้พระราชบิดาผู้ทรงล่วงลับไปแล้วได้รับผลบุญจากพระมหากรุณาธิคุณ แห่งองค์จักรพรรดิชั่วกัปชั่วกัลป์อันจะทำให้”เจิ้งหัว”สำนึกในพระพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์จักรพรรดิตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด” 

ตรงนี้แปลกตรงที่ ร.๑ ทำไมจึงรีบส่งสาส์นไปยังราชสำนักจีนในเดือนห้า ทั้งๆที่เพิ่งจะประหารชีวิตพระเจ้ากรุงธนบุรีในเดือนห้า ปราบดาภิเษกตัวเองเป็นกษัตริย์ในเดือนห้า (๖ เมษายน ๒๓๒๕) ก่อนที่ทูตจะกลับจากเมืองจีนมาถึงไทยในเดือนเจ็ด แสดงว่า พร้อมช่วงชิงสถานการณ์อย่างทันท่วงที หรือ เตรียมทำทุกอย่างเพื่อยึดอำนาจไว้นานแล้วนั่นเอง  แล้วยิ่งแปลกที่ทำไมเรือทูตสองลำจึงไม่เจอกันระหว่างทาง 

ต่อมาวันเจี่ยเฉิน เดือนแปด ปีที่สี่สิบเก้าแห่งรัชศกเฉียนหลง (5 ตุลาคม ค.ศ.1784/พ.ศ.๒๓๒๗) เฉียนหลงมีรับสั่งให้พาทูตไทยเข้าเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการ แต่ตำหนิว่าทำไม ร.๑ ไม่เขียนพระราชสาส์นมาขอใบตราตั้งด้วยตนเอง (ข้อ ๗๙ หน้า ๑๗๔) ซึ่งทูตไทยเก่งมากบอกว่า ร.๑ ไม่กล้า ด้วยเกรงว่าจะบังอาจ ถ้าขอด้วยตนเอง จะมีผู้ตำหนิติเตียนได้  ก็เลยไม่กล้าขอโดยที่ยังไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ(ตรงนี้แปลกที่รีบไปทูลเฉียนหลงทันทีในเดือนห้า ปีที่ทูตไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรียังติดต่อกับราชสำนักจีนอยู่ ว่าเจิ้งเจาผู้เป็นพ่อเสียชีวิตแล้ว แต่คราวนี้เว้นมา ๒ ปีตั้งแต่บอกว่าพ่อตาย ถึงส่งทูตไปถวายเครื่องราชบรรณาการ และขอใบตราตั้ง เตรียมตัวนานมากก็ยังบอกว่าไม่กล้าอีกหรือ ?  เข้าใจว่าคงลองหยั่งเชิงจีน กลัวจีนรู้ความจริงว่า ร.๑ ไม่ใช่ลูกเจิ้งเจา) 

กว่าที่เฉียนหลงจะมอบใบแต่งตั้ง ร.๑ ก็ล่วงเลยมา ๒ ปีกว่า (ข้อ ๘๐ หน้า ๑๘๖) จนในวันอู่อู้ เดือนสิบสอง ปีที่ห้าสิบสองแห่งรัชศกเฉียนหลง (๖ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๗๘๗/พ.ศ.๒๓๓๐)จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งเจิ้งหัวเป็นกษัตริย์เซียนหลัว   

สรุปว่า พระราชสาสน์ที่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีไปถึงฮ่องเต้เฉียนหลง เพื่อคงสถานะกษัตริย์ที่ถูกต้องไว้เพื่อให้ราชสำนักจีนยอมรับ  จึงต้องระบุว่าพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากรุงธนบุรี

  •                 

                                  รูปพระราชสาสน์คำหับของ ร.๑ ฉบับภาษาจีนประทับตราโลโต

(ตราประทับในเอกสาร เป็นตรากษัตริย์สยามที่ฮ่องเต้เฉียนหลงพระราชทานให้พระเจ้ากรุงธนบุรี)

                      

                    รูปพระราชสาสน์พระเจ้ากรุงธนบุรี ที่มีไปถึงฮ่องเต้เฉียนหลง  

                                ขณะยังไม่มีตราโลโต (ตราที่เฉียนหลงมอบให้)

 

          พระราชสาส์นคำหับของพระเจ้ากรุงธนบุรีส่งไปเมืองจีน จุลศักราช 1143 (พ.ศ. ๒๓๒๔) 

เขียนด้วยอักษรไทยและจีน จัดแสดงอยู่ที่ Southern Branch of The National Palace Museum เมืองเจียอี้ ไต้หวัน  ส่วนข้อความภาษาไทย คือ  "สมเดจพระเจ้ากรุงพระมหาณคอรศรีอยุทธ่ยาปราบฎาพีเสกใหม่"  มีอักษรจีนกำกับด้านล่างว่า 暹羅國望閣新城國長鄭昭 แปลว่า "ประมุขนครใหม่บางกอกแห่งประเทศเซียนหลัว-เจิ้งเจา

 

จากหนังสือของฮ่องเต้เฉียนหลงที่มีมายังพระเจ้ากรุงธนบุรี ชี้ให้เห็นว่าราชสำนักจีน เมื่อหมดยุค”หลี่ซื่อเหยา”และ”ม่อซือหลิน แล้ว  แทบไม่มีข้อมูลใดๆของ”เซียนหลัว”(สยาม) ที่ราชสำนักจีนรับรู้อีกเลย ขนาดกรุงธนบุรีผลัดแผ่นดิน และผู้นำในการผลัดแผ่นดินมีพระราชสาสน์ไปบอกว่าเป็น”ราชโอรส”ของกษัตริย์องค์ก่อนก็ยอมรับ และบันทึกตามนั้น (แปลกตรงที่ ถ้ามีพ่อค้าชาวจีนเดินเรือมาค้าขายกับเซียนหลัว(สยาม)จริงก็น่าจะรู้ และเล่าต่อๆกัน  ขุนนางจีนที่รับผิดชอบแถวกวางโจว ก็น่าจะรู้ไปด้วย และรายงานๆไปถึงราชสำนักจีนบ้าง แต่กลับไม่มีในบันทึกชิงสือลู่เลย ผิดกับบันทึกของชาวตะวันตกที่บันทึกอย่างละเอียด) มาจนถึงปัจจุบันก็ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอย่างใดทั้งสิ้น ก็ยังคงเข้าใจว่าสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แล้วจะให้ฮ่องเต้เฉียนหลงและราชสำนักจีนทราบพระราชประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีที่แท้จริงได้อย่างไร   ฉะนั้นประวัติของพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่อ้างว่าเขียนขึ้นในรัชสมัยฮ่องเต้เฉียนหลงว่ามีพระราชบิดาเป็นชาวจีนนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่เคยมีในบันทึกชิงสือลู่ยุคฮ่องเต้เฉียนหลงและเกาจง  เว้นแต่จะเขียนเติมขึ้นใหม่ในภายหลังที่เจียงไคเช็คขนเอกสารสือลู่ของจีนทุกยุคมายังไต้หวันมากกว่าเพื่อหวังจะดึงไทยเป็นพวกต่อต้านเหมาเจ๋อตุงและพวกด้วยกันหรือเปล่า  หรือเพื่ออ้างว่าไทย-จีนพี่น้องกันมาตั้งแต่พระเจ้ากรุงธนบุรี, แม้ ร.๑ ก็มีมารดาเชื้อสายจีน, ร.๒ ก็มีมเหสี-เจ้าจอมที่มีเชื้อสายจีนเหมือนกัน ดังนั้นต้องคอยช่วยเหลือกัน เช่น ช่วยพวกก๊กมินตั๋งเข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนไทย และ สุสานพระเจ้ากรุงธนบุรีก็สร้างขึ้นในสมัยนี้ไม่ใช่หรือ ?

ต้นฉบับสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) ค.ศ. 1833 (พ.ศ. ๒๓๗๖) ระหว่างสยามกับสหรัฐอเมริกาในสมัยรัชกาลที่ 3  เนื้อหาสนธิสัญญาเขียนเป็น 4 ภาษาคือ ไทย โปรตุเกส จีน อังกฤษ  ข้อความ "สมเดจ์พระพุทธิเจ้าอยู่หัว ณะ กรุงพระมหานครศรีอยุธยา" เขียนในภาษาจีนว่า 暹羅國‎王

พระราชลัญจกรโลโต (駱駝) ที่ราชสำนักจีนมอบให้สยาม สลักภาษาจีนและภาษาแมนจู
ภาษาจีนมีข้อความว่า 暹羅國王之印 แปลว่า "ตราแห่งกษัตริย์เซียนหลัว"

                                                                 ...........

 

บทสรุป  :  ในเมื่อทุกเอกสารที่นำมาอ้างอิงเป็นหลักฐานในการเขียนประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรี  หรือนำมาแต่งเป็นนิยายประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีของนักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ นักค้นคว้า หรือนักเขียนนิยาย  ต่างก็มีข้อสงสัยทั้งประเด็นที่มา และเนื้อหาทุกฉบับว่าถูกดัดแปลง(ชำระ) มาโดยศัตรู หรือเอกสารต่างประเทศ  ก็ถูกบุคคลรุ่นหลังแปลเอาตามบริบทประวัติศาสตร์ที่เขึ้นมาจากเอกสารของไทยและความเชื่อของตนเอง   แล้วเราจะมีหลักฐานชิ้นใดยืนยันว่าพระประวัติเดิมตั้งแต่ประสูติของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่แท้จริงเป็นอย่างไรได้กันแน่   

คำถามนี้ผมก็จนสติปัญญาเหมือนกัน  เพราะผมก็ไม่มีญาณทางในที่จะย้อนไปเห็นเหตุการณ์ในสมัยยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายได้   แต่ถ้าจะให้ผมตอบให้ได้   ผมก็คงต้องใช้ “การตีความ หรือ การวิเคราะห์ความเชื่อมโยงเหตุการณ์” จากเอกสารที่ถูก “ชำระ” หรือ “ดัดแปลง” น้อยที่สุด ซึ่ง "แนวโน้มความเชื่อ" ของผมมีหลายชิ้น

ชิ้นที่ ๑ ได้แก่ “จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี” ที่ ร.๕ มีพระราชวินิจฉัยว่า “…ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าหนังสือฉบับนี้ไม่มีความเท็จเลย ความที่คลาดเคลื่อนนั้นด้วยลืมบ้าง ด้วยทราบผิดไปบ้าง เรียงลงไม่ถูกเปนภาษาไม่สู้แจ่มแจ้งบ้าง ทั้งวิธีเรียงหนังสือในอายุชั้นนั้นไม่สู้จะมีเครื่องมือสําหรับเขียนบริบูรณ์แลคล่องแคล่วเหมือนอย่างทุกวันนี้  แต่เปนเคราะห์ดีที่สุดที่จดหมายกรมหลวงนรินทรเทวีฉบับนี้ ไม่ปรากฏแก่นักเลงแต่งหนังสือในรัชกาลที่ ๔ ฤๅในรัชกาลปะจุบันนี้ ตกอยู่ในก้นตู้ได้จนถึงรัตนโกสินทรศก 127 นี้ นับว่าเปนหนังสือพรมจารีไม่มีด้วงแมลงได้เจาะไชเลย  ความยังคงเก่าบริบูรณ์ เว้นไว้แต่หนังสือไม่ใช่เปนตัวหนังสือเก่าแท้...” 

ชิ้นที่ ๒  ได้แก่ “พงศาวดารเหนือ” ที่แม้จะปีศักราชจะคลาดเคลื่อน  แต่เนื้อหาใจความกลับยังถูกต้อง เพราะไม่ได้ถูกชำระ(เขียนเรียบเรียงใหม่)  เพียงแต่นำเอกสารเก่าๆมาเรียบเรียงตามลำดับเท่านั้น  เช่น การสร้างพระพุทธรูปและวัดพนัญเชิง  อโยธยาเดิม ฯลฯ  มีข้อความตอนหนึ่งในบานแผนกว่า “พระยานักเลงมีเชื้อสายพระเจ้ามักกะโท จะตั้งเมืองใหม่ที่ธนบุรี”     

ชิ้นที่ ๓ คือ “พระราชพงษาวดารแปลจากภาษารามัญ” ฉบับกรมหลวงวงศาธิราช(สนิท) แปล   และฉบับที่หอพระสมุดวชิรญาณได้มาจากเมืองพม่าเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔  แล้วให้มองต่อเป็นผู้แปลเป็นภาษาไทย  ต่อมากรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ให้ข้าราชการหลายท่านแปลและเรียบเรียงใหม่ ปัจจุบันกรมศิลปากรจัดพิมพ์ใหม่ ให้ชื่อว่า “คำให้การชาวกรุงเก่า”  ตรงบาญชีพระนามเจ้านาย ที่กล่าวว่า “เจ้าฟ้าสุรินทรกุมาร ได้อุปราชาภิเศกเปนพระมหาอุปราชต่อมาได้เสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระภูมินทราธิราช (คือสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) พระองค์มีพระอรรคชายาเดิม ทรงพระนามเจ้าฟ้าทองสุก (ในหนังสือพระราชพงษาวดารเรียกว่าเจ้าท้าวทองสุก เมื่อเสวยราชย์ตั้งเปนกรมหลวงราชานุรักษ์หรือประชานุรักษ) ตั้งเปนพระอรรคมเหษี มีพระราชโอรสธิดากับพระอรรคมเหษี ๕ พระองค์ คือ ที่ ๑ เจ้าฟ้าหญิงเทพ ที่ ๒ เจ้าฟ้าหญิงประทุม ที่ ๓ เจ้าฟ้าชายนเรนทร์ ที่ ๔ เจ้าฟ้าชายอภัย ที่ ๕ เจ้าฟ้าชายปรเมศร์ (พระนามเจ้าฟ้า ๕ พระองค์นี้ ตรงกับหนังสือพระราชพงษาวดาร แต่​หนังสือพระราชพงษาวดารไม่ได้ลำดับตามพระชันษาอย่างหนังสือเรื่องนี้ สมเด็จพระเจ้าท้ายสระได้พระองค์เอี้ยง ธิดาเจ้าบำเรอภูธรเปนพระชายา แต่เมื่อยังเปนพระบัณฑูรใหญ่อีกองค์ ๑ แต่หาได้กล่าวในหนังสือนี้ไม่)”

ชิ้นที่ ๔ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒ หน้า ๓๒๒ ตอนหนึ่งกล่าวว่า ....สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงให้เบิกตัวกรมหมื่นเทพพิพิธมาเข้าเฝ้าที่หน้าพระที่นั่ง แต่กรมหมื่นเทพพิพิธไม่ยอมกราบถวายบังคม พระเจ้าตากสินจึงตรัสว่า "ตัวเจ้าหาบุญวาสนาบารมีมิได้ ไปอยู่ที่ใดก็พาพวกพ้องผู้คนที่นับถือ พลอยพินาศฉิบหายเสียที่นั่น ครั้นจะเลี้ยงไว้ก็จักพาคนที่หลงเชื่อถือบุญ พลอยล้มตายเสีย เจ้าอย่าอยู่เลย จงตายเสียครั้งนี้ทีเดียวเถิด อย่าให้เกิดจลาจลในแผ่นดิน สืบไปข้างหน้าอีกเลย." ตรัสแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงให้ลงพระราชอาญา ให้สำเร็จโทษประหารชีวิต กรมหมื่นเทพพิพิธด้วยท่อนจันทน์ตามประเพณี....   ท่านผู้อ่านลองวิเคราะห์คำพูดของพระเจ้ากรุงธนบุรีตอนนี้  มีนัยยะถึงสถานะพระเจ้ากรุงธนบุรีรกับกรมหมื่นเทพพิพิธอยู่ด้วย 

ชิ้นที่ ๕  หลักฐานจากพระนามของพระเจ้ากรุงธนบุรีคราวทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ  ซึ่งพระองค์มีพระนามเต็มว่า “....พระศรีสรรเพชร สมเด็จบรมธรรมิกราชาธิราชรามาธิบดี บรมจักรพรรดิศร บวรราชาบดินทร์ หริหรินทร์ธาดาธิบดี ศรีสุวิบูลย์ คุณรุจิตร ฤทธิราเมศวร บรมธรรมิกราชเดโชชัย พรหมเทพาดิเทพ ตรีภูวนาธิเบศร์ โลกเชษฏวิสุทธิ์ มกุฏประเทศ คตามหาพุทธังกูร บรมนาถบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกนพรัฐ ราชธานีบุรีรมย์อุดมพระราชนิเวศมหาสถาน”   พระนามนี้เป็นพระนามที่ค้นพบในสมัยรัชกาลที่ ๕ จากพระบรมราชโองการตั้งเจ้าผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช

จดหมายเหตุกรุงธนบุรีในสมุดไทยดำ ชื่อพระราชสาสน์และศุภักษรโต้ตอบกรุงธนบุรีและกรุงศรีสัตนาคนหุตจุลศักราช ๑๑๔๐ ใช้คำว่าพระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถ อิศวรบรมนาถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทอิศวรบรมนาถบรมบพิตร หรือ สมเด็จพระมหาเอกาทุศรุทอิศวรบรมนารถบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี  ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณอขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร์ โลกเชฏฐวิสุทธิ์ รัตนมกุฎประเทศคตามหาพุทธางกูร บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว

พระปรมาภิไธยที่จารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า  “สมเด็จพระรามาธิบดี”   เป็นพระปรมาภิไธยเดียวกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ๓ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง), สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐาธิราช) และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ดังนั้น  พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงเป็น "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๔”

จากหลักฐานทั้ง  ๕ ชิ้น พอจะบอกได้ว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นลูกของใคร มีเชื้อสายจากที่ใดได้บ้างนะครับ  แต่แม้ว่าท่านจะถูกคนรุ่นหลังบิดเบือนว่าเป็นลูกเจ๊กลูกจีนก็ตาม  ต่อมาไม่ถึง ๑๐๐ ปี ท่านก็ได้กลับมาเกิดใหม่  มาช่วยพัฒนาประเทศสยามให้รุ่งเรืองทุกๆด้าน  แก้ปัญหาการรุกดินแดนของชาติตะวันตก  ปฏิรูปประเทศให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ  เพราะท่านปรารถนาพุทธภูมิ แม้การทำสงครามกอบกู้แผ่นดิน ก็เพื่อ “พุทธบูชา” ทำให้แผ่นดินสงบสุข  สามารถจรรโลงพระพุทธศาสนาสืบต่อไป   

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ


ความเห็น

sr
เขียนเมื่อ

Thank you for for this collection of data and discernment.

It offers many challenging historical analyses and verification exercises. Much of history is about people and people’s perception of truth and lie. ‘Truth’ is further complicated by languages, wordings, renditions, translations in contexts and intentions. History is better quest far beyond novels for inquiring minds.


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย