นันทิยมิคราชชาดก


ว่าด้วย พระยาเนื้อนันทิยะ

นันทิยมิคราชชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๑๐. นันทิยมิคราชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๓๘๕)

ว่าด้วยพญาเนื้อนันทิยะ

             (พ่อแม่ของเนื้อนันทิยโพธิสัตว์ต้องการจะเห็นลูก จึงส่งข่าวถึงลูกว่า)

             [๗๐] พ่อพราหมณ์ ถ้าท่านไปป่าอัญชันเมืองสาเกตุ ช่วยบอกเนื้อลูกชายในไส้ของข้าพเจ้าที่ชื่อนันทิยะด้วยว่า พ่อแม่ของเจ้าแก่เฒ่าปรารถนาจะพบเจ้า

             (เนื้อนันทิยโพธิสัตว์ประกาศข้อความนี้ว่า)

             [๗๑] ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าได้กินหญ้า น้ำ และข้าวของพระราชา ก้อนข้าวของพระราชานั้น ข้าพเจ้าจะไม่พยายามกินให้เสียเปล่า

             [๗๒] ข้าพเจ้าจะหันข้างให้พระราชาผู้ทรงถือธนู เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะพึงพ้นความตาย ได้รับความสุข พบเห็นพ่อแม่ได้บ้าง

             (พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า)

             [๗๓] เมื่อก่อนเราได้เป็นพญาเนื้อ ๔ เท้า มีรูปงามชื่อว่านันทิยะ อยู่ ณ ที่ประทับของพระเจ้าโกศล

             [๗๔] พระเจ้าโกศลได้เสด็จมาที่อัญชนามฤคทายวัน ทรงโก่งธนู สอดลูกศรเพื่อจะฆ่าเรา

             [๗๕] เราได้หันข้างให้พระราชาผู้ทรงเหนี่ยวธนูพระองค์นั้น เมื่อนั้นเราจึงพ้นความตาย ได้รับความสุข มาพบพ่อแม่

นันทิยมิคราชชาดกที่ ๑๐ จบ

อวาริยวรรคที่ ๑ จบ

----------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

นันทิยมิคราชชาดก

ว่าด้วย พระยาเนื้อนันทิยะ

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดา จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
               ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือภิกษุ ได้ทราบว่า เธอเลี้ยงคฤหัสถ์หรือ? เมื่อเธอกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. เมื่อพระองค์ตรัสตามว่า เป็นอะไรกับเธอ? เมื่อเธอทูลว่า เป็นมารดาบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.
               จึงตรัสว่า ดีแล้ว ดีแล้วภิกษุ เธอรักษาวงศ์ของโบราณกบัณฑิตทั้งหลายไว้ เพราะว่าโบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้เกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ก็ได้ให้แม้ชีวิตแก่มารดาบิดาทั้งหลาย แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าโกศลครองราชสมบัติอยู่ในสาเกตนคร แคว้นโกศล พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดเนื้อ เติบโตแล้วมีชื่อว่านันทิยมฤค ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ เลี้ยงมารดาบิดา.
               ครั้งนั้น พระเจ้าโกศลได้เป็นกษัตริย์ที่มีพระทัยฝักใฝ่กับการล่าเนื้อเท่านั้น ก็พระองค์ไม่โปรดให้คนทั้งหลายทำกสิกรรมเป็นต้น ทรงมีบริวารมาก เสด็จไปล่าเนื้อทุกวัน. คนทั้งหลายจึงประชุมปรึกษากันว่า พ่อคุณเอ๋ย พระราชาพระองค์นี้ทรงทำการงดงานของพวกเรา แม้การครองเรือนก็จะล่มจม ถ้ากระไรแล้ว พวกเราควรล้อมสวนป่าอัญชัน สร้างประตู ขุดสระโบกขรณีไว้ปลูกต้นไม้ แล้วมีมือถือไม้ค้อนและกระบองเป็นต้น เข้าป่าไปฟาดพุ่มไม้ต้อนเนื้อมาล้อมไว้ ให้เข้าอยู่คอกในสวนเหมือนวัว แล้วปิดประตูไว้ จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทำงานของพระองค์.
               ทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า นั่นเป็นอุบายที่ดีในเรื่องนี้ พากันจัดเตรียมสวนไว้แล้วเข้าป่าไปล้อมสถานที่ไว้ประมาณโยชน์หนึ่ง.
               ขณะนั้น เนื้อชื่อนันทิยะพาพ่อแม่ไปนอนอยู่ที่พื้นดินในป่าดอนเล็กๆ แห่งหนึ่ง. คนทั้งหลายมีมือถือโล่และอาวุธเป็นต้น พากันล้อมดอนนั้น โดยเอาแขนเกี่ยวแขนกัน คือจับมือกัน ได้มองเห็นเนื้อฝูงหนึ่งจึงพากันเข้าไปดอนนั้น.
               เนื้อนันทิยะเห็นพวกเขาแล้วคิดว่า วันนี้เราควรจะสละชีพให้ชีวิตเป็นทานเพื่อพ่อแม่ แล้วลุกขึ้นไหว้พ่อแม่ แล้วขอขมาพ่อแม่ว่า ข้าแต่พ่อและแม่ ถ้าคนเหล่านี้เข้ามาดอนนี้แล้ว จักเห็นพวกเราทั้ง ๓ ท่านทั้ง ๒ คงอยู่ได้ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง การอยู่ได้ชีวิตของท่านเป็นสิ่งประเสริฐ ลูกจักให้ทานชีวิตเพื่อพ่อเพื่อแม่ พอคนทั้งหลายยืนที่ชายดอนฟาดพุ่มไม้เท่านั้น ก็จะออกไป ครานั้นพวกเขาจะเข้าใจว่า ในดอนเล็กๆ นี้ คงจักมีเนื้อตัวเดียวเท่านั้น ไม่พากันเข้าไปดอน ขอพ่อแม่จงอย่าประมาทเถิด. ดังนี้แล้วได้เป็นผู้เตรียมพร้อมจะไปยืนอยู่แล้ว.
               พอคนทั้งหลายยืนที่ชายดอนโห่แล้วตีพุ่มไม้เท่านั้น เขาก็ออกจากดอนนั้นไป. คนเหล่านั้นเข้าใจว่า ในดอนนี้คงจักมีเนื้อตัวเดียวเท่านี้แหละ จึงไม่พากันเข้าดอน. ครั้งนั้น นันทิยะได้ไปเข้าอยู่ในระหว่างเนื้อทั้งหลาย คนทั้งหลายได้พากันต้อนเนื้อทุกตัวเข้าสวนแล้วกั้นประตูไว้ ทูลให้พระราชาทรงทราบแล้วไปสู่ที่ของตนๆ.
               ต่อแต่นั้นมา พระราชาก็เสด็จโดยลำพังพระองค์เอง หรือทรงส่งอำมาตย์คนหนึ่งไปนำเอาเนื้อมา ด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงไปยิงเนื้อตัวหนึ่งแล้วเอามันมาดังนี้. จึงเนื้อทั้งหลายพากันตั้งวาระกันไว้ เนื้อตัวที่ถึงวาระจะยืนอยู่ที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง คนทั้งหลายจะยิงเนื้อนั้นแล้วเอามา.
               ฝ่ายนันทิยะก็ดื่มน้ำในสระโบกขรณีและกินหญ้าในสวนนั้น ตลอดเวลาที่วาระของเขายังไม่ถึง. ครั้งนั้น โดยเวลาล่วงไปหลายวัน พ่อแม่ของเขาอยากจะพบเขา คิดว่า นันทิยะมฤคราชลูกเรามีพลังเหมือนช้างสมบูรณ์ด้วยกำลัง ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ คงจักกระโดดข้ามรั้วมาเยี่ยมพวกเราแน่นอน เราทั้งหลายจักส่งข่าวไปหาเขา แล้วยืนที่ใกล้ทางเห็นพราหมณ์คนหนึ่ง จึงถามเขาด้วยคำพูดของคนว่า พ่อคุณ, ท่านจะไปไหน?
               เมื่อเขาตอบว่า เมืองสาเกต ดังนี้แล้ว
               เมื่อจะส่งข่าวไปหาลูก จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-
               ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ถ้าหากท่านไปป่าอัญชัน เมืองสาเกตไซร้ ท่านจงบอกลูกผู้เกิดแต่อกของฉัน ชื่อนันทิยะว่า พ่อแม่ของเจ้าแก่แล้วและพวกเขาอยากจะพบเจ้า.
               คาถานั้นมีเนื้อความว่า
               ท่านพราหมณ์ ถ้าหากท่านไปเมืองสาเกตไซร้ ในเมืองสาเกตมีสวนชื่อว่าอัญชนวัน ในสวนนั้น มีเนื้อชื่อว่านันทิยะผู้เป็นบุตรของฉัน ท่านพึงบอกเขาว่า มารดาบิดาของเจ้าแก่แล้วอยากจะพบเจ้า ตลอดเวลาที่ยังไม่ตาย.
               เขารับคำว่า ดีแล้ว ไปถึงเมืองสาเกต แล้วรุ่งขึ้นก็เข้าสวนถามว่า ใครชื่อว่านันทิยมฤค. เนื้อมาแล้วยืนอยู่ใกล้พราหมณ์นั้น บอกว่า ข้าพเจ้า.
               พราหมณ์บอกเรื่องนั้นให้ทราบแล้ว.
               นันทิยะได้ยินคำนั้นแล้ว เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ว่า
               ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าจะต้องไปแต่จะไม่กระโดดข้ามรั้วไป เพราะข้าพเจ้ากินเหยื่อกินน้ำและหญ้า ที่เป็นของพระราชาแล้ว เหยื่อเป็นต้นนั้นตั้งอยู่ในฐานะเป็นหนี้สำหรับข้าพเจ้า ทั้งข้าพเจ้าก็อยู่ในท่ามกลางหมู่เนื้อเหล่านี้มานานแล้ว ขึ้นชื่อว่าการไปโดยไม่ได้แสดงกำลังของตน ไม่ทำความสวัสดีให้พระราชานั้น และเนื้อทั้งหลายเหล่านั้น ไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า แต่เมื่อถึงวาระของตนแล้ว ข้าพเจ้าจักทำความสวัสดีแก่ท่านเหล่านั้นสุขสบาย แล้วจึงจะมาดังนี้
               ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:-
               เรากินอาหาร กินน้ำและหญ้าของพระราชาแล้ว ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เราจะไม่พยายามกินอาหารพระราชทานนั้นเปล่าๆ
               เราจักเอียงข้างให้พระราชาผู้ทรงมีธนูในพระหัตถ์ ทรงยิงเมื่อใด เมื่อนั้น เราจะพ้นภัยเป็นสุขใจ คงเห็นแม่บ้าง.
               พราหมณ์ได้ฟังคำนั้นแล้วก็หลีกไป ในเวลาต่อมาในวันที่เป็นวาระของเนื้อนันทิยะ พระราชาได้เสด็จมายังสวนพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมาก. ฝ่ายเนื้อมหาสัตว์ได้ยืนอยู่ ณ ที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง พระราชาทรงโก่งลูกธนูด้วยหมายพระทัยว่า เราจักยิงเนื้อ. มหาสัตว์ไม่หนีไปเหมือนสัตว์ทั้งหลาย ที่ถูกมรณภัยคุกคามแล้วหนีไป เป็นเหมือนไม่มีภัย ทำเมตตาให้เป็นปุเรจาริกแล้ว ได้ยืนเอียงข้างที่อ้วนพีให้เป็นเป้า ไม่กระดิกเลย.
               พระราชาไม่อาจปล่อยลูกศรออกไปได้ด้วยอำนาจของเมตตานั้น.
               พระมหาสัตว์จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงปล่อยลูกศรไม่ออกหรือ ขอพระองค์จงทรงปล่อยเถิด.
               ร. ดูก่อนมฤคราช เราไม่สามารถปล่อยออกไปได้.
               ม. ข้าแต่มหาราช ถ้าเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงรู้คุณธรรมของผู้มีคุณธรรม. ครั้งนั้นพระราชาทรงเลื่อมใสพระโพธิสัตว์ ทรงทิ้งธนู แล้วตรัสว่า แม้ท่อนไม้ท่อนนี้ไม่มีจิตใจ ก็ยังรู้คุณธรรมของท่านก่อน ฝ่ายข้าพเจ้าเป็นมนุษย์มีจิตใจหารู้ไม่ ขอจงให้อภัยฉัน ฉันให้อภัยเจ้า.
               ม. ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงพระราชทานอภัยแก่ข้าพระพุทธเจ้าก่อน ส่วนฝูงเนื้อในอุทยานนี้จักทำอย่างไร?
               ร. แม้สัตว์เหล่านี้ เราก็ให้อภัย
               มหาสัตว์ ครั้นให้พระราชทานอภัยแก่เนื้อในป่า นกที่บินอยู่ในอากาศ และปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำทุกตัวอย่างนี้แล้ว ได้ให้พระราชาทรงประดิษฐานอยู่ในศีล ๕ แล้วทูลว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมดาพระราชาควรทรงละการลุอำนาจอคติ ไม่ทรงยังทศพิธราชธรรมให้กำเริบ ครองราชย์โดยธรรม โดยสม่ำเสมอ ดังนี้.
               พระมหาสัตว์ได้แสดงราชธรรมที่กล่าวไว้อย่างนี้ โดยผูกเป็นคาถาไว้ทีเดียวว่า :-
               ขอพระองค์จงทรงตรวจดูกุศลธรรมเหล่านี้ที่สถิตอยู่แล้วในพระองค์ คือ ทาน ศีล การบริจาค ความซื่อตรง ความอ่อนโยน ความเคร่งครัด ความไม่พิโรธ การไม่เบียดเบียน ความอดทน ความไม่ผิดพลาด. (ทานํ สีลํ ปริจฺจาคํ อาชฺชวํ มทฺทวํ ตปํ อกฺโกธํ อวิหึสญฺจ ขนฺตี จ อวิโรธนํ)
               ต่อแต่นั้นไป ปิติและโสมนัสจะเกิดแก่พระองค์หาน้อยไม่ ดังนี้แล้ว พักอยู่ในราชสำนัก ๒-๓ วัน จึงทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์จงทรงโปรดให้ราชบุรุษตีสุวรรณเภรี เดินไปประกาศการพระราชทานอภัยแก่สรรพสัตว์ ในพระนคร อย่าได้ทรงประมาท ดังนี้แล้วจึงไปเยี่ยมพ่อแม่.
               คาถาดังต่อไปนี้ เป็นคาถาของท่านผู้รู้ยิ่งแล้ว.
               ในเมืองใกล้ที่ประทับของพระเจ้าโกศล ได้มีสัตว์ ๔ เท้า มีรูปร่างงดงาม โดยชื่อว่านันทิยะ
               พระเจ้าโกศลทรงคาดศรแล้ว ได้เสด็จมาที่ป่าพระราชทานชื่ออัญชันแล้ว ทรงโก่งธนูเพื่อจะทรงยิงเรานั้น.
               ปางเมื่อเราเอียงข้างให้พระราชาพระองค์นั้น ผู้ทรงมีศรในพระหัตถ์ทรงยิง เราพ้นจากภัยแล้วมีความสุขใจ ได้มาพบแม่.
               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ประกาศสัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประมวลชาดกไว้
               ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาบิดา ดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล
               พ่อแม่ คือพระยามฤคในครั้งนั้น ได้แก่ ตระกูลมหาราช
               พราหมณ์ได้แก่ พระสารีบุตร
               พระราชาได้แก่ พระอานนท์
               ส่วนนันทิยมฤคราชได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถานันทิยมิคราชชาดกที่ ๑๐    

--------------------------------           

 

หมายเลขบันทึก: 719800เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2024 04:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม 2024 04:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท