คำนำเสนอหนังสือ ที่ ศ. ดร. เกษียร เตชะพีระ เขียนในหนังสือ และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ การเมือง วัฒนธรรม ของนักศึกษาและปัญญาชนก่อน ๑๔ ตุลาฯ โดย ประจักษ์ ก้องกีรติ นำสู่ชื่อบันทึกนี้ โดย ท่านให้ความเห็นว่า หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องพัฒนาการของการเมืองวัฒนธรรมไทย
ที่จริงหนังสือชุด สยามพากษ์ ทั้ง ๘ เล่ม ของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน น่าจะจัดอยู่ในหนังสือที่สื่อเรื่องการเมืองวัฒนธรรมไทย ทั้งสิ้น และผมอ่านไปแล้ว ๒ เล่ม คือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรีย์ กับ กว่าจะครองอำนาจนำ โดยตอนนั้นผมคิดว่า เป็นหนังสือเชิงประวัติศาสตร์ แนวประวัติศาสตร์การเมือง และรู้สึกชื่นชมยินดีที่ในวงวิชาการไทยมีการเชื่อมโยงบูรณาการระหว่าง ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ออกมาเป็นหนังสือชุดนี้
ดร. เกษียร ใช้คำว่า “การเมืองวัฒนธรรม” ผมตีความต่อว่า หนังสือชุดนี้สื่อวัฒนธรรมการเมืองไทยได้ดีมาก
ความจำเพาะหรือแตกต่างของหนังสือเล่มนี้เสนอไว้ในบทที่ ๑ ประโยคสุดท้ายของหน้า ๘ ต่อหน้า ๙ ว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ ๑๔ ตุลาฯ มักเน้นที่เหตุการณ์ แต่หนังสือเล่มนี้มุ่งเสนอ “กระบวนการทางประวัติศาสตร์” ที่ผมตีความว่า ประวัติศาสตร์ทั่วไปมักมุ่งเสนอ what แต่หนังสือเล่มนี้มุ่งเสนอ why ที่นำสู่ความซับซ้อนและไม่ชัดเจน (ambiguity) ของเรื่องราวที่นำสู่ ๑๔ ตุลาฯ
อ่านจากบทที่ ๑ แล้ว เห็นชัดเขนว่า หนังสือเล่มนี้มุ่งเสนอให้เห็นความซับซ้อนของที่มาและที่ไปของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ คือเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ เป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ ของการเมืองวัฒนธรรมไทย ที่มีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา และปัจจัยเกี่ยวข้องก็มีความซับซ้อนมาก มีปัจจัยจากต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
หนังสือเล่มนี้มี ๖ บท ผมเพิ่งอ่านถึงบทที่ ๒ การก่อตัวทางสังคมของนักศึกษา และเครือข่ายวาทกรรมของปัญญาชน โดยค่อยๆ ละเลียดทีละหน้าสองหน้า พร้อมกับสะท้อนคิดไป ว่าหากมีข่าวฉาวจากผู้ปกครองบ้านเมืองหลากหลายฝ่ายอย่างในปัจจุบัน เกิดขึ้นในปี ๒๕๑๔ หรือ ๒๕๑๕ นักศึกษาและปัญญาชนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร คนด้อยปัญญาด้านการเมืองอย่างผมนึกไม่ออก ว่าจะอธิบายการเมืองและวัฒนธรรมไทยยุคหลัง ๙ ตุลา อย่างไร ยิ่งหลังปี ๒๕๕๗ ยิ่งนึกไม่ออก
นึกออกอย่างเดียวว่า หลัง ๒๕๕๗ สังคมไทยเมินเฉยต่อการทุจริตกินบ้านกินเมืองมากขึ้น ยอมรับการขึ้นสู่อำนาจเพื่อผลประโยชน์ทางลับ มากขึ้น กลไกตรวจสอบทางสังคมอ่อนแอลง ไม่ทราบว่าผมสรุปผิดหรือเปล่า
วิจารณ์ พานิช
๒๖ ก.พ. ๖๗
หลัง ๒๕๕๗ สังคมไทยเมินเฉยต่อการทุจริตกินบ้านกินเมืองมากขึ้น ยอมรับการขึ้นสู่อำนาจเพื่อผลประโยชน์ทางลับ มากขึ้น กลไกตรวจสอบทางสังคมอ่อนแอลง
เห็นด้วยค่ะ แต่สังคมไทยก็ยังมีกลุ่มคนที่ลุกขึ้นมาตรวจสอบอย่างแข็งขัน และยังมุ่งมั่นที่จะทำต่อไป แต่คนกลุ่มนี้ก็ต้องถูกกล่าวหา ยัดข้อหาร้ายแรง บดขยี้อย่างต่อเนื่อง อนิจจา